วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 4 [1/8 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 4
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 3 Part 4


ว่ากันว่าอารมณ์ของผู้คนมักแปรผันตามสภาพอากาศ แต่สภาพอากาศกลับไม่แปรผันตามอารมณ์ของผู้คน วันนั้นในโยโกฮาม่ามีแสงแดดสดใส เป็นวันที่มีอากาศอบอุ่น
ผมเดินไปตามถนนด้วยท่าทางเซื่องซึม มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยสิ่งของพะรุงพะรัง และนั่นทำให้ผมยิ่งดูซึมกะทือลงยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เป็นเพราะอารมณ์ของผมยังไม่เข้าที่เข้าทางซะมากกว่า ในตอนนั้นมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยขนมและของเล่น ผมคงต้องฝึกฝนอีกซักหน่อยเพื่อที่จะได้ถือของพวกนี้ด้วยท่าทางที่ร่าเริงกว่านี้
ของในมือผมเป็นของขวัญสำหรับเด็กๆที่ต้องมีชีวิตอย่างเศร้าสร้อยในฐานะผู้ลี้ภัย เด็กพวกนั้นคงจะรู้สึกเบื่อกับที่พักที่ดาไซเตรียมเอาไว้ให้ ผมรู้สึกหน่วงในใจ ไม่รู้ว่าของเล่นมากมายพวกนี้จะช่วยให้พวกเขากลับมายิ้มแย้มได้เหมือนเดิมรึเปล่า สิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าเพียงพอแล้วมันอาจไม่เคยพอสำหรับเด็กๆเลยก็เป็นได้
ผมได้ยินเสียงผิวปากของเด็กหนุ่มที่กำลังขี่จักรยานมาจากที่ไกลๆ เด็กๆที่วิ่งนำแม่ของพวกเขาไปและวิ่งไล่จับอะไรบางอย่าง สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้กับสงครามระหว่างองค์กรอาชญากรรมสององค์กร ช่างแตกต่างกันราวกับคนละโลก
ผมนึกถึงองค์กรมิมิคขณะเดินไปตามถนน
คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย
อังเดรพูดว่า “ฉันจะทำให้นายเข้าใจ” คำๆนั้นเหมือนเป็นคำสาปที่ลากผมให้เข้าร่วมในการต่อสู้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับเสียงร้องไห้อันแสนเจ็บปวดของเด็กคนหนึ่ง คนที่สามารถเข้าใจเขาได้มีเพียงลูกน้องหรือศัตรูของเขาเท่านั้น และเขาก็หวังให้ผมเป็นสิ่งหลัง
ผมไม่รู้ว่าการฆ่ากันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สงครามคงไม่จบจนกระทั่งองค์กรใดองค์กรหนึ่งถูกกำจัดทิ้งไป มันไม่มีทางที่จะสงบสุขเลยงั้นเหรอ การที่เราเข้าใจกันและขีดเส้นแบ่งขอบเขตอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้เลยงั้นเหรอ
และตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องของเด็กๆด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ผมจะลาออกจากพอร์ทมาเฟีย ผมไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่กว่าจะถึงวันนั้น วันที่เด็กๆโตขึ้นและเป็นพนักงานบริษัท วิศวกร หรือนักกีฬา ผมได้ยินว่าเด็กคนโตฝันอยากเป็นมาเฟียเหมือนผม และมันทำให้ผมปวดหัว แต่ก็คงพอมีทางอยู่บ้างที่จะโน้มน้าวเขาให้เปลี่ยนใจ พอถึงวันนั้นผมจะโยนปืนของผมทิ้ง นั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่างและเริ่มเขียนนิยาย
ผมหยุดเดินก่อนจะถึงออฟฟิศ สถานที่ที่ดาไซเตรียมเอาไว้ให้เด็กๆอาศัยคือบริษัทขจัดภาษีนำเข้าที่มีพอร์ตมาเฟียคอยหนุนหลังอยู่ อาคารสองชั้นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งถูกชะโลมด้วยลมทะเลทุกวันจนเกือบขึ้นสนิม ที่ข้างตึกมีที่จอดรถและรถบัสสีเหลืองจอดนิ่งอยู่
ผมได้ยินว่าดาไซขอยืมอาคารทั้งหลังและไล่ให้พนักงานย้ายไปอยู่ออฟฟิศอื่น เขาเป็นชายที่ทำทุกอย่างอย่างสุดโต่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะดาไซคิดว่าเด็กพวกนั้นอาจจะถูกโจมตี
ผมหิ้วของเดินขึ้นบันไดพลางนึกในใจว่าใครเหมาะกับของเล่นชิ้นไหนบ้าง
ผมเดินไปตามระเบียงทางเดิน เปิดประตูห้องที่สมควรจะมีเด็กๆรออยู่ด้านใน
แต่กลับไม่มีใครที่นั่น
โต๊ะพลิกคว่ำอยู่ในห้อง มีรูขนาดใหญ่อยู่ที่ผนังและรอยของๆบางสิ่งถูกลากไปตามพื้น สีเทียนที่ตกอยู่นถูกเหยียบจนแบนติดพื้นโดยรอยเท้าขนาดใหญ่ ผมได้ยินเสียงสิ่งของหนักๆตกลงบนพื้น ก่อนที่จะรู้ว่ามันคือเสียงของถุงของเล่นที่ผมถือมาด้วย
ผมวิ่งอย่างไร้สติ กระโจนออกจากห้องและลงบันไดออกไปด้านนอก
รถบัสสีเหลืองคันเมื่อครู่กำลังเคลื่อนออกไป
ผมมองไปที่หน้าต่างด้านหลังของรถและเห็นแขนของคนยื่นออกมาจากช่องว่างระหว่างผ้าม่าน ฝ่ามือเล็กทุบกระจกรถ ก่อนที่ผมจะเห็นหน้าเขา ใบหน้าของเขาถูกซ้อมจนเบ้าตาบวมเป่ง
เด็กชายมองเห็นผมและเบิกตากว้าง เขาคือเด็กคนโตที่มีความฝันอยากเป็นมาเฟีย เมื่อเขาเห็นผม เขาจึงดึงผ้าม่านออกอย่างไร้ความลังเล ผมเห็นเด็กคนอื่นๆอยู่ด้านหลัง เขาดึงผ้าม่านออกให้ผมได้เห็นภายในรถ
ทหารของมิมิคเห็นเข้าและกระชากไหล่เด็กชายกลับไป ผ้าม่านถูกดึงปิด เงาของเขาหายไป
ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไล่ตามรถบัสที่กำลังเร่งความเร็ว
มือข้างนึงของผมเท้าลงบนสิ่งกีดขวางก่อนที่ผมจะกระโดดข้ามมันไป ผมวิ่งขนานไปกับรถบัส รถค่อยๆเร่งความเร็วขึ้น มือของผมควานหาปืนที่มักจะอยู่ภายใต้แจ็คเก็ต แต่ช่างเป็นเรื่องน่าขำที่วันนี้มาเฟียอย่างผมกลับไม่ได้พกมันมาด้วย
ผมเห็นว่ารถบัสกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน หลังจากที่ข้ามสะพานไปจะต้องผ่านทางเลี้ยวและมุ่งเข้าสู่ถนนที่เชื่อมไปยังทางด่วน ถ้าหากพวกมันหนีไปได้ถึงตรงนั้น ผมก็คงไม่มีหวังที่จะไล่ตามได้ทัน ผมต้องทำอะไรซักอย่าง
ผมกระโจนขึ้นบันไดก่อนที่จะวิ่งไปกลางสะพานลอยและกระโดดไปยังสะพานที่อยู่ติดกัน สะพานนี้ถูกติดตั้งตาข่ายเหล็กเอาไว้ ผมยึดมันเอาไว้แน่นไม่ให้ตัวเองตกลงไปก่อนที่จะปืนข้ามตาข่ายและกระโดดลงบนพื้นอีกด้าน
ผมวิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามของสะพาน พื้นถนนใต้ผมคือสี่แยก รถบัสที่จับเด็กๆไปกำลังจะขับผ่านใต้เท้าผม
ผมกะเวลากระโดด
แจ็กเก็ตของผมสะบัดปลิวในอากาศ
ผมกระโดดลงบนหลังคาของมินิแวนที่ขับอยู่หน้ารถบัส เข่าและมือของผมสัมผัสลงบนหลังคาเพื่อต้านแรงลม ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากยานพาหนะด้านใต้
ผมหันหลังกลับไป คนที่ขับรถบัสคือทหารของมิมิค เขาจ้องมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ศัตรูคือทหาร พวกมันมีกันอย่างน้อยสองคนพร้อมอาวุธครบมือ ส่วนผมไม่มีแม้แต่อาวุธหรือกำลังเสริม แต่เพราะผมได้เห็นเงาของเด็กคนอื่นๆที่อยู่ด้านใน ผมจึงพอจะนึกหาทางออกได้อยู่บ้าง
รถบัสเร่งความเร็วขึ้นและมุ่งหน้ามาหาผม ดูเหมือนว่าคนขับรถตัดสินใจที่จะขยี้ผมไปพร้อมๆกับมินิแวน สถานการณ์เช่นนี้มักจะทำให้คนปกติขวัญผวาและวิ่งหนีไป ถ้าหากผมไม่ได้เห็นใบหน้าสะบักสะบอมของเด็กๆผมคงจะทำแบบเดียวกัน
ผมพึมพัมคำขอโทษอยู่ในใจก่อนจะเตะกระจกมองข้างใต้เท้าอย่างแรงจนได้ยินเสียงแตกของโลหะ ผมเอื้อมมือไปคว้ามันไว้ก่อนที่มันจะร่วงหลุดออกจากตัวรถ
ในเวลาเดียวกัน รถบัสชนเข้ากับมินิแวน
ผมเกาะรถแน่น ยึดตัวติดกับหลังคาในจังหวะที่มินิแวนหมุนคว้างก่อนที่ผมจะขว้างกระจกมองข้างในมือใส่คนขับรถบัสที่กำลังจะชักปืนออกมาจากซอง
กระจกมองข้างสีแดงขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับกระจกรถบัสพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของคนขับ เขามีท่าทีงงงวยก่อนที่จะต้องกระทืบเบรคแทนที่จะชักปืนออกมา
รถบัสหักเลี้ยวอย่างกระทันหันราวกับแรดเมาค้างก่อนที่มันจะหยุดลง
ในเวลานั้น รถมินิแวนที่ผมใช้เป็นที่รองเท้าก็หยุดลงเช่นกัน ผมกระโดดลงมาบนถนน
ในขณะที่ผมกำลังหันกลับไปหารถบัส ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจของผมถูกบีบอัดอย่างรุนแรง เสียง “ปัง ปัง!” ดังขึ้นในสมอง ทัศนียภาพทั้งหมดกลายเป็นสีขาวสลับแดงก่อนที่ผมจะวิ่งไปยังรถบัสอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
ฉันจะทำให้นายเข้าใจ
คนขับรถนั่นถือเครื่องส่งสัญญาณอยู่
ตอนนี้ผมเพิ่งจะเข้าใจความหมายของมัน แต่ร่างกายของผมกลับไม่ขยับเขยื้อน เขากดปุ่มเครื่องส่งสัญญาณ ช่วงเวลานั้นยาวนานราวกับชั่วนิรันด์
ทันใดนั้นเองรถบัสก็ระเบิด
ร่างของผมโดนแรงอัดอากาศจนปลิวไปด้านหลัง ผมหมดสติไประหว่างลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ผมจะได้สติอีกครั้งเมื่อหลังของผมปะทะเข้ากับรถยนต์อย่างจัง
ผมมองไปที่รถบัส
เปลวไฟลุกโชนออกมาจากหน้าต่างทุกบาน ชิ้นส่วนของรถบัสที่ถูกระเบิดลอยขึ้นสูงกลางอากาศและตกลงมาปะทะกับพื้นถนน เศษกระจกร่วงกราวราวกับสายฝน
ผมอยากจะวิ่งเข้าไป ถึงแม้จะเป็นเสี้ยววินาที ผมอยากจะวิ่งที่รถบัส แต่ในความเป็นจริง ผมกลับหกล้มอย่างไม่เป็นท่าและกลิ้งลงบนน้ำมันที่รั่วออกมา รถบัสลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ ความร้อนระอุลามเลียไปทั่วก่อนที่ตัวรถจะทลายลงเป็นสองส่วน
ผมรู้สึกถึงคาวเลือดในลำคอ ผมได้ยินเสียงหวี่ดังขึ้นในหูกลบทุกเสียงรอบตัวหายไปจนหมด
—พวกเราทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ!
คอของผมเจ็บแปลบ ผมไม่สามารถหายใจได้ ผมได้ยินเสียงคนกรีดร้องในที่ๆไกลออกไป คอของผมเจ็บปวดราวกับมันจะระเบิดออกมา
ก่อนที่ผมจะตระหนักได้ว่า คนที่กำลังกรีดร้องคือตัวผมเอง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!”
Next → Chapter 2 Part 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น