วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 4 [8/8 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 4
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 4 Part 7


“หนังสือเล่มสุดท้ายมันน่าสนใจมาก” ผมพูด
ที่ผ่านมาผมไม่เคยได้อ่านหนังสือเล่มไหนที่ตรึงใจขนาดนี้มาก่อน ตัวอักษรทุกบรรทัดซึมเข้าไปในจิตใจของผม ราวกับผมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร
ชายที่ให้หนังสือเล่มนั้นกับผมบอกว่า “หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แย่” แต่ผมกลับรู้สึกตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง ผมไม่ได้กินอะไรทั้งวันและอ่านหนังสือเล่มนั้นจนจบในรวดเดียว หลังจากที่ผมอ่านจบ ผมเริ่มอ่านมันใหม่อีกครั้ง
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นจบ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ ผมมีความคิดว่าโลกทั้งใบของผมเมื่อก่อนและหลังได้อ่านหนังสือเล่มนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านั้นผมทำเพียงปลิดชีวิตผู้คน เข่นฆ่าเพื่อภารกิจ แต่หนังสือเล่มนั้นเปิดโลกใหม่ให้แก่ผม ราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง
แต่ถึงอย่างนั้นหนังสือเล่มนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
หน้าหนังสือบางหน้าก่อนตอนจบถูกฉีกออก ด้วยสาเหตุนั้นเองทำให้ผมไม่รู้ส่วนที่สำคัญที่สุดของเนื้อเรื่อง ในบรรตาตัวละครพวกนั้น มีตัวละครตัวหนึ่งที่เป็นนักฆ่า และหน้าที่ถูกฉีกออกไปก็เป็นหน้าที่บอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงหยุดฆ่าคน
ทำไมนักฆ่าคนนั้นถึงหยุดฆ่าคน? ผมไม่มีข้อมูลมากพอในหน้าถัดไปที่จะสรุปมัน ผมรู้สึกหงุดหงิด ฉากนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดและเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เข้าใจตัวละครนี้ ผมไม่สามารถหาหนังสือเล่มนี้ได้ในร้านขายหนังสือมือสองได้ นั่นทำให้การสืบหาความจริงยากยิ่งกว่าเดิมถึงแม้ผมจะอยากรู้ซักแค่ไหน หลังจากนั้นชายมีหนวดคนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย
หลังจากที่หงุดหงิดอยู่ซักพัก ผมจึงคิดบทสรุปได้
—ถ้าอย่างงั้นก็เขียนมันสิ
บทสรุปของผมคือ ‘เขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง’
ผมตัดสินใจที่จะเป็นนักเขียนนิยายและเขียนเรื่องราวของนักฆ่าคนนั้นก่อนที่เขาจะหยุดฆ่าคน ในการที่จะเป็นนักเขียนนิยาย ผมจำเป็นต้องเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนอย่างถ่องแท้
ดังนั้นผมจึงหยุดฆ่าคน
ในหนังสือเล่มสุดท้ายนั้น ในหน้าสุดท้ายก่อนหน้าที่โดนฉีกออกไป มันเป็นคำพูดของตัวละครหลักพูดกับนักฆ่า
“ผู้คนมีชีวิตอยู่เพื่อรักษาชีวิตตนเอง พวกเขาจะเข้าใจมันก่อนที่จะตาย”
หลังจากที่ผมหยุดฆ่าคน ผมมักจะนึกถึงความหมายของมัน
บางทีมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลย มันอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่เชื่อมต่อระหว่างเนื้อหาทั้งสองหน้า แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นมัน ผมมักจะนึกถึงชายมีหนวดที่เป็นคนให้หนังสือเล่มนี้แก่ผม
วันนี้เองก็เช่นกัน
หรือว่าชายคนนั้นรู้ว่าผมมีอาชีพเป็นนักลอบสังหาร?
เป็นเพราะเขารู้ เขาจึงพูดคำๆนั้นกับผมเพื่อต้องการให้ผมหยุดฆ่า เขาให้หนังสือเล่มสุดท้ายแก่ผม ฉีกหน้าหนังสือบางหน้าออกและบอกให้ผมเขียนมันขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง
หรือชายคนนั้นอยากให้ผม “รักษาชีวิตตัวเอง” ผมแทบไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ครั้งแรกที่เราเจอกัน เขาบอกชื่อจริงของเขากับผมและผมมักจะลืมมัน จนเมื่อไม่นานมานี้ผมถึงนึกออก
ชายคนนั้นชื่อนัตสึเมะ โซเซกิ
ชื่อเดียวกันกับชื่อของนักเขียนที่ปรากฎอยู่บนปกของหนังสือเล่มนั้น




“ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นวีบุรุษ” อังเดรพูด
เขาเคยออกรบ
เพื่อประเทศบ้านเกิด เพื่อความยุติธรรม ยืนหยัดเคียงข้างเพื่อนร่วมรบและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่
เขาได้รับชัยชนะจำนวนนับไม่ถ้วนและปกป้องเพื่อนพ้องอีกมากมายระหว่างมหาสงครามที่เกิดขึ้น มากจนไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้
ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นวีรบุรุษ
เขาเป็นทหารปกป้องประเทศ ปกป้องผู้คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินที่เขาเติบโต อังเดรเชื่อว่าการตายเพื่อผู้คนเหล่านั้นเป็นชะตาชีวิตของเขาเอง
ระหว่างการสู้รบครั้งหนึ่ง อังเดรและลูกน้องใต้สังกัดอีกสี่สิบคนบุกโจมตีกำแพงเมืองที่มีทหารกว่าหกร้อยนายรักษาการณ์อยู่ พวกเขาสามารถโค่นศัตรูลงได้ทั้งหมดและเข้ายึดครองเมือง แต่ทว่าพวกเขากลับถูกทรยศโดยพันธมิตรของตัวเอง ในเวลานั้น การเจรจายุติสงครามเกือบจะสิ้นสุดลงและเพื่อที่จะตัดช่องทางการสื่อสารทั้งหมดของศัตรู หัวหน้าทหารใช้เขาเป็นเครื่องมือ
การโจมตีกำแพงเมืองของอังเดรเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาสงบศึก ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม พันธมิตรของพวกเขาส่งทหารเข้ามาปราบปรามอังเดรและผู้ทรยศคนอื่น เขาและพวกจึงต้องหยิบอาวุธและปลอมตัวเป็นศัตรูเพื่อฝ่าวงล้อมออกมา
พวกเขาปลอมตัวเป็นศัตรูของตัวเอง กลายเป็นกองทัพภูติผีที่ฆ่าไม่ตาย
อังเดรฆ่าเพื่อนร่วมชาติของตนและฝ่าวงล้อมออกมา พวกเขายังคงมีชีวิตต่อไปโดยที่ไม่มีสถานที่ให้พักพิง พวกเขาคืออาชญากรสงคราม กองทัพที่ไร้ซึ่งผู้บังคับบัญชา
หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาร่อนเร่ไปทั่ว พวกเขากลายเป็นทหารรับจ้างที่ทำงานสกปรก จนถึงตอนนี้มันไม่มีวีรบุรุษอีกต่อไป ชีวิตของพวกเขาที่ไม่ควรถูกหลอกใช้และควรจะจบไปตั้งแต่การต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิด กลับกลายเป็นความเลือนรางสกปรกและจมลงสู่จุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
บางคนในกลุ่มของอังเดรฆ่าตัวตาย อังเดรไม่ได้ห้ามพวกเขา เขาไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถห้ามพวกเขาได้
แต่ก็มีบางคนที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ พวกเขาเป็นทหารหาญ การฆ่าตัวตายจะทำให้ศักดื์ศรีของตนเสื่อมเสีย ไม่ว่าจะผ่านการต่อสู้ ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียพวกพ้อง พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นั่นคือความหมายที่แท้จริงของตัวตนในอดีตของพวกเขา และเป็นแรงกระตุ้นเลือดทหารในกายของพวกเขาในทุกวันนี้
พวกเขาแสวงหาสนามรบ สถานที่ที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นทหารกล้า สถานที่ที่สามารถหาเหตุผลของการต่อสู้ ถึงแม้พวกเขาจะต้องจบชีวิตลง มันก็ช่วยเตือนความจำว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นใคร
พวกเขากลายเป็นภูติผีที่ล่องลอยอยู่ในสนามรบ
สูญเสียบ้านเกิด สูญเสียศักดิ์ศรี แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาก็ยังคงต่อสู้ต่อไป


คำพูดของอังเดรยืดยาว ผมเองก็เช่นกัน
เวลาผ่านไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างพวกเราทั้งสองคน เรายังคงหยั่งรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดอยู่เสมอ
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เวลากลับยังไม่ผ่านไปแม้แต่เสี้ยววินาที ผมยังคงยิงทหารจากมิมิคและอังเดรก็ยังคงยิงสมาชิกพอร์ตมาเฟีย
ในโลกอีกใบ ผมกำลังเล็งปากกระบอกปืนไปที่อังเดรเช่นเดียวกับปากระบอกปืนของเขาชี้มาที่ผม
“ใกล้จะถึงเวลาสำหรับจุดจบแล้วล่ะ” ในโลกใบนั้น อังเดรเอ่ยขึ้น
“บอกฉัน อังเดร” และในโลกใบเดียวกัน ผมเอ่ยถามเขา “พวกนายไม่เคยคิดถึงการตามหาสถานที่แห่งใหม่บ้างหรอ ทำไมพวกนายไม่ลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตดูซักหน่อย นอกเหนือจากการตามหาความตายและสนามรบ ไม่มีหนทางอื่นเลยเหรอ”
“เปลี่ยนการใช้ชีวิต? ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” เขายิ้ม แววตาแห่งความโศกเศร้าของเขาฉายออกมาอย่างชัดเจน “ฉันสาบานกับคู่หูว่าฉันจะตายอย่างทหาร อย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
ปากกระบอกปืนของเราชี้เข้าหากันและกัน แต่ทางกลับกัน พวกเรากำลังเผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบในโลกแห่งความเป็นนิรันด์ ราวกับเป็นเพื่อนที่กำลังร่วมบทสนทนากัน
อังเดรมองผม ผมสามารถมองเห็นความจริงใจในแววตาของเขาได้
“แต่.. มันอาจจะเป็นไปได้ ถ้าพวกเราเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเราตั้งแต่แรก ตอนที่พวกเรายังสามารถเป็นอย่างอื่นได้นอกจากทหาร เหมือนกับการที่นายหยุดฆ่าคน ถ้าหากฉันแข็งแกร่งเหมือนนาย บางทีซักวัน ฉันอาจจะ..”
มีเพียงสองชีวิตเหลืออยู่ในห้องโถงแห่งนี้
กระบอกปืนทั้งสองเล็งไปที่หัวใจ
อังเดรไม่ได้สวมเกราะกันกระสุน เกราะของผมเองก็ถูกถอดออกไปในการต่อสู้ก่อนหน้า ถ้าหากถูกยิง บาดแผลก็จะอันตรายถึงชีวิต
ไกปืนถูกเหนี่ยว ลูกกระสุนทั้งสองถูกยิงออกมา
แต่พวกเรากลับยิ้มให้กันและกัน
ในช่วงเวลายาวนานที่ใช้ไปกับการพูดคุย พวกเราเข้าใจกันราวกับเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี
—มีการยืนยันออกมาแล้วว่าเมื่อพลังพิเศษที่เหมือนกันมาเผชิญหน้ากัน ผลลัพธ์ของมันจะเป็นการเสียการควบคุมพลัง และหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อก็เป็นเรื่องยากเกินจะคาดเดา
หรือโลกใบนี้คือ “ความแปลกประหลาดของพลังพิเศษ”
“ฉันยังมีอีกเรื่องที่ยังต้องจัดการให้จบ” ผมพูด “ฉันยังไม่ได้บอกลาเพื่อนของฉัน ในโลกใบนี้ มีชายคนหนึ่งที่มักจะเห็นฉันเป็นแค่ ‘คนธรรมดา’ เขาไม่มีความสนใจในโลกของพลังพิเศษ”
“ชายคนนั้นที่แสวงหาความตายเหมือนฉันใช่รึเปล่า?”
“เปล่า” ผมพูด “ฉันไม่คิดอย่างนั้น ตอนแรกฉันคิดว่านายกับดาไซเหมือนกันมาก เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง กระโดดเข้าใส่ความตายและก้าวเข้ามายังโลกแห่งความรุนแรงและการต่อสู้ แต่มันไม่เหมือนกัน ดาไซเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ฉลาดเกินไป เขาเป็นแค่เด็กขี้แงที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ในความมืด โลกแห่งความว่างเปล่า.. ว่างเปล่าเกินกว่าที่พวกเราจะสัมผัสได้”
ดาไซปราดเปรื่องเกินไป
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเหงา
ผมและอันโกะสามารถอยู่เคียงข้างดาไซเพราะพวกเราเข้าใจความเหงาที่โอบล้อมเขาอยู่ แต่ถึงแม้พวกเราจะอยู่เคียงข้างเขา เราก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปในโลกของเขาได้
แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่ผมไม่ได้เสียมารยาทบุกรุกเข้าไปในโลกของเขา
กระสุนถูกยิงออกมาจากกระบอกปืน
มันทะลุเข้ามาในอกของพวกเรา
“จนถึงตอนนี้ กระสุนที่นายยิงก็ยังไร้ที่ติ” อังเดรยิ้ม “ฉันจะไปเจอลูกน้องของฉันแล้ว ฝากทักทายเด็กๆด้วยล่ะ”
ลูกกระสุนของพวกเราตรงเข้าเป้า
ในเวลานั้น “ความแปลกประหลาด” สลายไป
ลูกกระสุนเจาะผ่านอกและทะลุออกไปด้านหลัง
อังเดรและผมล้มลงพร้อมกัน ในตอนนั้นเอง ผมได้ยิงเสียงฝีเท้า


“โอดะซาคุ!”


Next → Final Scene

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น