วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 4 [3/8 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 4
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 4 Part 2


ภาพที่ไร้ความหมายมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของผมไม่หยุด
ผมยืนอยู่ในห้องของโรงแรมที่มีผนังสีขาวและทิวทัศน์ที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ จากนั้นผมกำลังยืนอยู่กลางสวนขนาดใหญ่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จากนั้นก็เป็นชั้นสองของร้านอาหารสไตล์ตะวันตก
—ซาคุโนะสุเกะ โอดะ สมาชิกพอร์ตมาเฟียผู้มีคติประจำใจว่า ‘จะไม่ฆ่าใครไม่ว่าอย่างไรก็ตาม’
ผมยืนอยู่ในตรอก เศษขยะกระจายอยู่ทั่วพื้น จากนั้นก็เป็นบาร์อันเงียบสงัดในเวลากลางดึก ลิฟท์แก้วในศูนย์บัญชาการของพอร์ตมาเฟีย และที่นั่งข้างหน้าต่างในโรงน้ำชา
—การแต่งนิยายก็เหมือนการเขียนชีวิตผู้คน
—นายมีคุณสมบัติที่จะทำอย่างนั้น
ชายมีหนวดคนนั้นพูดเรื่องจริงรึเปล่า หรือเขาแค่พูดส่งๆไปเท่านั้น ผมมีคุณสมบัติที่จะเขียนเรื่องราวชีวิตของผู้คนจริงๆรึเปล่า
ถึงแม้คำพูดของเขาจะเป็นความจริง แต่มันก็เป็นเรื่องในอดีต
ตัวผมในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเขียนเรื่องราวนั้นอีกแล้ว
ที่ข้างสถานที่เกิดเหตุระเบิด ผมลุกขึ้นยืนด้วยสองขาที่สั่นระริก ผมเดินเข้าไปภายในรถบัสเพื่อตรวจสอบ แต่ถึงไม่ต้องทำอย่างนั้นผมก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นอย่างไร
หลังจากนั้นผมก็หลบออกจากที่ตรงนั้นก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตกว่าเดิม ผมลากขาเดินไปยังร้านอาหารตะวันตก
—พวกเขาเป็นทหาร
—พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตได้โดยปราศจากการต่อสู้ พวกเขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ปราศจากผู้นำ
ในร้านอาหารไม่มีแสงไฟส่องสว่าง
ทุกอย่างเงียบสงัด
ผมมองไปรอบๆทันทีที่เข้าไปด้านใน ลุงเจ้าของร้านตายแล้ว
เขายืนพิงชั้นวางเครื่องใช้ที่อยู่หลังเค้าท์เตอร์และถูกยิงสามนัดที่หน้าอก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ตอนนั้นเขาคงคว้าของรอบตัวมาโต้กลับ ฝ่ามือของเขากำทัพพีที่ใช้ทำแกงกระหรี่เอาไว้แน่น เขาจะต่อสู้กับทหารของมิมิคด้วยทัพพีได้ยังไง? ที่นี่เป็นเพียงร้านอาหารตะวันตกภายใต้การคุ้มกันของพอร์ตมาเฟียเท่านั้น
ผมปิดเปลือกตาของเขา ในที่สุดเขาก็ดูเหมือนคนตายขึ้นมาบ้าง
ผมรู้สึกว่าวิญญาณของผมถูกดึงออกมาจนถึงขีดสุด มันคือเสียงร่ำไห้ของจิตวิญญาณที่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
มีดของศัตรูปักอยู่บนเค้าท์เตอร์ภายในร้าน มีดเล่มนั้นพุ่งทะลุแผนที่และปักติดอยู่บนเค้าท์เตอร์ ผมดึงมันออกและมองแผนที่
แผนที่นั้นแสดงให้เห็นบริเวณภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ที่ดินส่วนตัวเก่าแก่บนแผนที่มีเครื่องหมาย ‘X’ สีแดงและคำว่า  ‘สุสานของภูติผี’ ถูกเขียนเอาไว้อยู่
นี่คือข้อความของมิมิคจากอังเดร ผมพับมันและเก็บใส่กระเป๋า
ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นสองและเข้าไปในห้องลับที่ลุงเตรียมเอาไว้ให้ผม ภายในนั้นมีกล่องใส่อาวุธครบมือถูกเตรียมเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ผมถอดเสื้อและสวมเสื้อกันกระสุน ก่อนจะสวมเสื้อทับ ผมกระชับซองปืนบนสายหนังที่บ่าทั้งสองข้างและติดกระดุมที่ด้านหลัง
ผมตรวจสอบปืนทั้งสองกระบอก เช็ดฝุ่นออกและทาน้ำมัน และผมก็เช็คปากกระบอกอีกครั้งว่ามีอะไรติดอยู่หรือไม่
ผมปลดกระสุนออกและปล่อยไกปืนเพื่อสร้างความคุ้นเคย หลังจากนั้นผมบรรจุกระสุนลงในแม็กและใส่มันกลับเข้าไปในปืน ผมชักปืนขึ้นเพื่อบรรจุกระสุนลูกแรกเข้าไปในรังเพลิงและเตรียมปืนอีกกระบอกด้วยวิธีเดียวกัน จากนั้นก็เสียบปืนทั้งสองลงในซอง
ช่างเป็นการกระทำโดยอัตโนมัติราวกับการท่องบทสวดมนต์ แต่หากในตอนนั้นจิตใจของผมลอยออกห่างจากร่างไปทุกที ร่อนเร่เข้าไปในความทรงจำในอดีต เมื่อก่อนผมเป็นคนอย่างไร ผมเคยไล่ตามอะไร ผมพูดคุยกับใคร ผมมีความรู้สึกอะไร ผมวางแผนที่จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
ตัวผมในตอนนี้รู้ดีว่าทุกสิ่งที่ผมไล่ตามในอดีตนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษไร้ค่า
ผมรัดแผงใส่กระสุนสำรองไว้รอบข้อมือและสวมโค้ทกันกระสุน ผมยัดระเบิดมือและกระสุนทั้งหมดใส่กระเป๋าโค้ท ผมตัดสินใจไม่เอาผ้าพันแผลและยาแก้ปวดติดไปด้วยถึงแม้ว่าจะลังเลอยู่บ้างแต่ยังไงซะผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มัน
ในทางกลับกัน ผมหยิบไม้ขีดไฟและบุหรี่ก่อนที่จะเดินออกไปยังห้องถัดไป
ห้องนั้นเคยเป็นห้องที่เด็กๆใช้เล่นกัน ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งมาเล่นกับพวกเขาในห้องนี้
ทุกอย่างดูเหมือนเดิม ที่เตียงยังมีสีเทียนเปรอะอยู่ตรงราวจับ พื้นไม้ยังคงเลอะเทอะ วอลเปเปอร์เริ่มหลุดลอก สิ่งเดียวที่ต่างไปคือเงาของเด็กทั้งห้าคนที่ควรจะอยู่ตรงนั้น
“ราตรีสวัสดิ์ โคสึเกะ”
ผมพูดในขณะที่จุดบุหรี่ นั่นคือชื่อของเด็กชายคนโต
“ราตรีสวัสดิ์ คาสึมิ ราตรีสวัสดิ์ ยู ราตรีสวัสดิ์ ชินจิ ราตรีสวัสดิ์ ซากุระ”
ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ผมจ้องมองมันอย่างเงียบสงัด
“หลับให้สบายล่ะ ฉันจะแก้แค้นให้พวกนายเอง”
ผมคีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วและมองกลุ่มควัน บุหรี่ดับลงก่อนที่ควันจะสลายไป
ผมเดินออกจากห้อง


“โอดะซาคุ!”
ในขณะที่ผมกำลังเดินออกจากร้านอาหาร เสียงที่คุ้นเคยเรียกผมเอาไว้
“มีอะไรดาไซ?”
“โอดะซาคุ ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันก็ยังต้องห้ามนายอยู่ดี ถึงนายจะทำแบบนั้นไป
“ถึงฉันจะทำ เด็กๆก็ไม่กลับมางั้นสินะ”
ดาไซเงียบไปราวกับเหนื่อยที่จะค้านต่อ ก่อนที่เขาจะพูดว่า “ถ้าจะให้เทียบดูแล้ว ตอนนี้ทหารของพวกมิมิคน่าจะเหลืออยู่ประมาณยี่สิบคน พวกเขายังมีกำลังเสริมอีก ฐานทัพของพวกมันน่าจะอยู่รอบๆภูเขาทางทิศตะวันตก ส่วนรายละเอียดก็
“ฉันรู้แล้วล่ะว่าพวกมันอยู่ที่ไหน ฉันได้จดหมายเชิญแล้ว”
ผมยื่นแผนที่ให้ดาไซ บนแผนที่มีคำว่า ‘สุสานของภูติผี’ ถูกเขียนเอาไว้ ดาไซมองมันพร้อมขมวดคิ้ว
“ตอนนี้พวกมันค่อยๆมารวมกำลังกันอยู่ที่จุดเดียวแล้ว ถึงพวกเราจะรวบรวมสมาชิกจากมาเฟียทั้งหมดมาก็ไม่แน่ว่าเราจะชนะพวกมันได้รึเปล่า”
“ไม่จำเป็นต้องเรียกกำลังเสริมหรอก”
“ฟังฉันนะโอดะซาคุ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน บอสเหมือนจะเข้าร่วมการประชุมลับกับกรมผู้ใช้พลังพิเศษโดยมีอันโกะเป็นคนกลาง ฉันไม่รู้อะไรเพิ่มเพราะมันถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด แต่มันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ นอกจากพวกมิมิคน่ะ ฉันรู้สึกว่า
“เบื้องหลังงั้นหรอ” ผมมองไปที่ดาไซ “มันไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรอกดาไซ ทุกอย่างมันจบแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันไม่สำคัญ ไม่มีอะไรเปลี่ยนสิ่งที่ฉันจะทำได้หรอก ฉันพูดถูกไหม”
“โอดะซาคุ” ดาไซเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันหวังว่านายจะให้อภัยที่ฉันพูดตรงๆแบบนี้ แต่ได้โปรดอย่าไป นายคิดว่านายไปแล้วนายจะมีสิ่งให้พึ่งพาได้ นายหวังว่าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นหรอ นายคิดว่าจะมีสิ่งๆนั้นจริงๆหรอ โถ่.. นายรู้สึกเปล่าว่าทำไมฉันถึงเข้าร่วมพอร์ตมาเฟีย”
ผมมองไปที่ดาไซ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่มีซักครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมา
“ฉันเข้าร่วมพอร์ตมาเฟียเพราะฉันหวังว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น ความรุนแรง ความตาย สัญชาตญาณดิบ ความปรารถนา การที่ฉันอยู่ร่วมกับผู้คนที่แสดงความรู้สึกเหล่านี้ออกมาอย่างง่ายดายทำให้ฉันคิดว่าฉันจะสามารถเห็นความเป็นมนุษย์ของผู้คนได้อย่างใกล้ชิด และฉันก็จะได้
ในเวลานั้น ดาไซเงียบไป
”แบบนั้น ฉันอาจจะเจอเหตุผมสำหรับการมีชีวิตอยู่ก็ได้”
ผมมองดาไซ เขามองผมตอบ
“ฉันต้องการเป็นนักเขียนนิยาย” ผมพูด “ฉันเชื่อว่าถ้าฉันฆ่าคน ถึงจะเป็นหน้าที่ก็ตาม ฉันจะสูญเสียคุณสมบัตินั้นไป ฉันเลยไม่ได้ฆ่าใคร แต่นั่นมันจบแล้วล่ะ ฉันไม่มีคุณสมบัตินั้นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“โอดะซาคุ!”
ผมเดินผ่านเขาไป ถึงดาไซจะตะโกนเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่หันกลับไป


ผมเดินไปทางทิศตะวันตก
ผู้คนต่างเดินไปบนเส้นทางอันคุ่นเคยของตัวเอง พวกเขามีที่ให้ไป มีผู้คนให้พบเจอ มีบ้านให้กลับ นั่นคือโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ โลกที่ผมอยากจะเขียนลงไปในนิยาย เด็กๆพวกนั้นก็เหมือนกัน ควรจะได้เดินในเส้นทางของโลกใบนี้และเป็นส่วนหนึ่งของมัน
—พวกเขาได้รับความสงบสุขแล้ว ความสงบสุขที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้
ผมคิดถึงคำพูดนั้น คำพูดที่อันโกะเคยพูดเมื่อนานมาแล้ว
พวกเขาได้ไปอยู่ในที่ๆสงบสุขแล้วจริงหรอ พวกเขาไม่ได้กลายเป็นวิญญาณที่ต้องร่อนเร่บนโลกนี้ใช่รึเปล่า
เหมือนอังเดร หรือผม
ขณะที่ผมเดิน ผมชนเข้ากับเด็กชายร่างเล็กที่อยู่ด้านหน้า
“หวาาา!”
ผมไม่เป็นอะไร แต่เด็กคนนั้นเสียหลักและล้มลง สิ่งของที่เขาถือมาด้วยกระจัดกระจายลงบนพื้น
“ทำอะไรของนาย เดินไม่มองทางเลยรึไง นายลืมตาอยู่ไม่ใช่หรอ ไม่เห็นรึไงว่าข้างหน้ามีอะไรน่ะ โถ่อุปกรณ์สืบสวนที่ผมจะเอาไปให้ประธาน”
ผมช่วยเขาเก็บของ มันคือกระดาษโน้ต ปากกา กล้องและกระเป๋ารวบรวมหลักฐาน ราวกับว่าเขาคือบุคคลเก็บรวบรวมหลักฐานเพื่อสอบสวนคดีฆาตกรรม
“นายเป็นตำรวจหรอ” ผมถามออกไปอย่างช่วยไมไ่ด้
“ตำรวจหรอ?” ดวงตาเล็กๆของเขาหรี่ลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เป็นสีหน้าที่แสดงความขยะแขยงสุดๆ “อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับพวกไร้ประโยชน์แบบนั้น นายจำผมไม่ได้หรอ นี่คือชื่อของคนที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจดจำได้ดีเลยล่ะ เพราะผมคือนักสืบที่เก่งที่สุดในโลก เอโดกาวะ
“ขอโทษนะ” ผมขัดจังหวะเขา “ฉันมีธุระต้องรีบไป ขอตัวก่อนล่ะ”
“เฮ้ เฮ้ นายโง่มากเลยนะทีทิ้งโอกาสที่จะได้คุยกับผมน่ะ ผมเป็นนักสืบที่มีชื่อเสียง เมื่อไหร่ที่นายได้เห็นพลังพิเศษของผมนายจะมองผมเปลี่ยนไปแน่นอน ถ้านายสงสัยผมจะแสดงให้ดู เหตุผลที่นายต้องรีบไปน่ะคือ
เด็กหนุ่มผู้มีท่าทีสดใสพร้อมเสียงหัวเราะร่าเริงพิจารณาผมอย่างตั้งใจ
“นาย
เขาหรี่ตาลง
ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบๆตัวเขาเย็นลง ลึกลงไปในนัยน์ตาของเขา แววตาบางอย่างของอมุนษย์ปรากฏขึ้น
“นาย” เสียงของเขาสุขุมลง “ผมจะไม่ทำอันตรายนาย แต่นายจะไปต่อไม่ได้นะ ลองคิดดูอีกทีดีไหม”
“ทำไม?”
“เพราะถ้านายไป นายจะ— ตายน่ะสิ?”
ผมหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดและหันหลังให้กับเขา มุ่งหน้าต่อไปในทิศทางเดิม
“ฉันรู้”

Next → Chapter 4 Part 4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น