คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 1 [4/4]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous : Chapter 1 Part 3/4
ดาไซเปิดฝากล่องและมองเข้าไปด้านใน จากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ ทำให้ผมเห็นว่ามันคืออะไร
––––
นี่มันหมายความว่ายังไง
เซฟนี้ถูกพบที่ห้องของอันโกะ ไม่ว่าจะเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ในห้องอย่างพอดิบพอดีและการที่สิ่งๆนี้ถูกซ่อนอยู่ในช่องระบายอากาศหมายความว่าอันโกะจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเซฟกล่องนี้ พูดง่ายๆคือมันเป็นของๆเขา
ในใจของผมคาดหวังว่าจะมีสิ่งมีค่าอยู่ด้านใน ถึงขนาดที่อันโกะเก็บมันเอาไว้อย่างมิดชิดและชายเหล่านั้นพยายามฆ่าผมเพื่อให้ได้มันไป
แต่ยังไงก็ตามมันก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมหวังเอาไว้
ปืนพกสีเทานอนนิ่งอยู่ด้านใน
“ทำไม” ผมถามโดยไม่ต้องคิด “ดาไซ นายบอกว่าปืนนี่เป็นสัญลักษณ์ของพวกมันใช่ไหม แล้วนี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น”
ดาไซไม่ได้ตอบโดยทันที เขาหรี่ตาลงและจ้องมองไปที่ความว่างเปล่า
“มีแค่เจ้านี่เรายังสรุปอะไรไม่ได้หรอก” ดาไซพูดอย่างระมัดระวัง “บางทีอันโกะอาจจะยึดปืนนี่มาจากพวกมัน หรือไม่ก็อาจจะถูกนำมาวางเอาไว้ในบ้านของอันโกะเพื่อบิดเบือนหลักฐานและป้ายสีให้กับใครบางคนก็ได้ นี่อาจจะไม่ใช่ปืน มันอาจจะเป็นสัญลักษณ์หรือบางที––”
“ฉันเข้าใจแล้ว เรายังมีข้อมูลไม่มากพอ” ผมตัดบทดาไซ “เรายังมีข้อมูลไม่มาก ฉันจะตรวจสอบปืนนี่อีกครั้ง ขอโทษที่รบกวนนาย”
“โอดะซาคุ..” ดาไซเอ่ยปากพูดและผมเอ่ยตัดบทเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณที่มาช่วย ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง ถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะบอกนายแล้วกัน”
ดาไซมองผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ผมเห็นความไม่พอใจในแววตาของเขา
ผมเบือนสายตาหลบ สังหรณ์ใจไว้แล้วว่าการที่ไล่ตามเรื่องนี้มันเหมือนมีหินที่หนักอึ้งถ่วงหัวใจของผม เช่นเดียวกับร่างทั้งร่างที่ถูกถ่วงลงไปในก้นบึ้งของความมืด
“งั้นฉันจะบอกสิ่งที่รู้ให้แล้วกัน” ท่าทางของดาไซดูเฉยชา “เมื่อวานตอนที่เราดื่มกันอยู่ที่บาร์ อันโกะบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาหลังจากเสร็จงานใช่ไหม”
“ใช่”
อันโกะพูดว่าเขาเพิ่งไปโตเกียวเพื่อไปนำนาฬิกาโบราณที่ถูกลักลอบเข้าประเทศกลับมา
“เขาโกหก”
––ว่าไงนะ
“นายเห็นกระเป๋าของอันโกะรึเปล่า เขามีบุหรี่ ร่มพับแล้วก็นาฬิกา ร่มนั่นเปียกเขาเลยใช้ผ้าห่อมันเอาไว้และที่โตเกียวก็ฝนตกด้วย”
“แล้วยังไงล่ะ” ผมถาม “ร่มของเขาเปียกเพราะฝนตก มันก็ถูกแล้วไม่ใช่รึไง”
“ถ้าอันโกะพูดความจริง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ร่มนั่นเลย” ดาไซพูด หรี่ตาลง ผมไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้ “อันโกะน่าจะขับรถไปที่จุดนัดพบ ถ้าอย่างนั้นเขาจะใช้ร่มตอนไหนล่ะ มันไม่ใช่ก่อนหน้านั้นแน่นอนเพราะร่มนั่นวางทับอยู่บนนาฬิกา และมันก็ไม่ใช่หลังจากนั้นด้วย”
“ทำไม”
“ดูจากความเปียกของร่ม มันไม่น่าจะถูกใช้งานแค่สองถึงสามนาที น่าจะอย่างน้อยซักครึ่งชั่วโมง ถึงเขาจะเดินตากฝนเป็นเวลานานแต่กางเกงกับรองเท้าของเขาก็ยังแห้งสนิท เวลานัดเจรจาคือสองทุ่ม พวกเราเจอกันตอนห้าทุ่ม ถ้าเขาใช้ร่มในช่วงสามชั่วโมงหลังจากการเจรจาเขาคงไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้กางเกงกับรองเท้าแห้ง”
“เขาอาจจะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน”
“ในกระเป๋าไม่มีเสื้อผ้าที่เขาเปลี่ยน อีกอย่างมันไม่มีที่พอใส่ด้วย”
บางทีอันโกะอาจกลับบ้านไปเปลี่ยนแล้วทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นั่นก็ได้–– มันคือสิ่งที่ผมอยากพูด แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเขาคงทิ้งของทั้งหมดเอาไว้ที่บ้านก่อนจะมาที่บาร์
“ร่มนั่นไม่ได้ถูกใช้ก่อนการเจรจาหรือหลังจากนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ได้ถูกใช้ระหว่างการเจรจาเช่นกัน กระดาษที่ห่อนาฬิกาไม่เปียกน้ำและนาฬิกาโบราณแบบนั้นก็ไม่ควรที่จะโดนน้ำเหมือนกัน แปลว่าการเจรจาเกิดขึ้นภายในร่ม”
“ถ้าอย่างนั้นความจริงคือ––”
“ที่ฉันเดาคือ นาฬิกานั่นไม่ได้มาจากการเจรจาแต่เป็นของอันโกะตั้งแต่แรก เป็นสาเหตุที่ทำไมกล่องของมันอยู่ด้านในสุดของกระเป๋าเพราะเขายัดมันไว้ก่อนที่จะเดินทาง อันโกะไม่ได้ไปเจรจาแต่เขานัดพบใครบางคนไว้ คุยกันประมาณชั่วโมงกว่าและรอเวลากลับ”
“ทำไมนายคิดว่าเขาไปพบคนอื่น”
“สายลับอย่างอันโกะมักจะเลือกถนนตอนฝนตกเป็นจุดนัดพบ ตราบใดก็ตามที่เขายังถือร่มไว้ ตำรวจหรือกล้องวงจรปิดก็จะไม่เห็นหน้าเขา ถ้ามีคนพยายามแอบฟังเสียงฝนก็จะกลบหมดไม่เหมือนกับการคุยกันในที่ร่ม”
ผมเข้าใจในสิ่งที่ดาไซพยายามจะสื่อทั้งหมด แต่ด้วยความหวังอันน้อยนิด ผมพยายามยกข้อโต้แย้งอื่นขึ้นมา
“อันโกะอาจจะพูดโกหกจริง แต่เขาเป็นถึงสายลับสุดยอดของพอร์ตมาเฟีย บางทีเขาอาจจะมีการนัดพบที่บอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้ เราไม่ควรโทษเขา...”
“ถ้าเป็นแบบนั้น เขาแค่พูดว่า ‘ฉันบอกไม่ได้’ แบบนั้นไม่ว่าฉันหรือนายก็จะไม่พูดถึงมัน”
“.....”
ใช่ ดาไซพูดถูก
“แสดงว่าอันโกะโกหกเรื่องการนัดเจรจาแล้วก็ใช้นาฬิกานั่นเพื่อสร้างหลักฐานที่อยู่ ถ้านายลองคิดให้ลึกลงไปสักหน่อย นายคิดว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องการนัดพบให้พวกเรารู้ล่ะ”
––หรืออันโกะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
สายตาของดาไซช่างเย็นเยียบ เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาพูดออกมา
––การเจรจานั่นเสร็จกี่โมงน่ะ
ผมนึกขึ้นได้ว่าจู่ๆดาไซก็ถามขึ้นหลังจากเห็นกล่องกระดาษ ผมจำได้ เขาสังเกตเห็นบางอย่างและสรุปเรื่องนี้ออกมา ดาไซถามเพื่อความแน่ใจของตัวเอง
––อันโกะ มิมิค การจู่โจม
ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาทุกที
“โอดะซาคุ นายควรระวังตัวไว้ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับแก้วน้ำล่ะนะ ตอนนี้น้ำมันกำลังจะล้นออกมา” ดาไซพูด “ถ้านายโยนอะไรลงไปเพิ่ม มันคงล้นแก้ว นายไม่มีทางรับมือกับมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก จากตรงนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องอื่นเอง ส่วนเรื่องของอันโกะก็ฝากนายด้วยล่ะ”
“อา ตกลง..”
ผมกับเขาสบตากัน และเราก็เดินออกจากตรอกนั้น
ในตอนนั้นเอง ผมเพิ่งรู้ตัว
ศัตรูเมื่อก่อนหน้าลุกขึ้นมา
“ดาไซ!!” ผมตะโกนลั่นและยกปืนเล็งไปที่เขา
“อย่าขยับ..” เขาคำรามด้วยเสียงแหบแห้ง
ไม่ว่าผมหรือลูกน้องของดาไซจะเป็นคนยิง มันก็เข้าประชิดตัวดาไซแล้ว กระบอกปืนของมันเล็งไปที่ดาไซอย่างแม่นยำ
ศัตรูใช้มือข้างขวายกปืนขึ้นในขณะที่มืออีกข้างก็กดลงบนแผลข้างลำตัว เขาแทบยืนไม่อยู่ เกือบทั้งร่างพิงอยู่ที่กำแพงเพื่อไม่ให้ล้มลงไป ถึงจะเป็นแบบนั้นดาไซก็อยู่ในระยะยิงพอดี พวกเราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ
“ไม่น่าเชื่อ” ดาไซมองไปที่อีกฝ่ายราวกับว่าเห็นตัวประหลาด “ลุกขึ้นมาได้ทั้งๆที่โดนยิงเข้าไปขนาดนั้น ฟื้นตัวเร็วจริงๆแฮะ”
หนึ่งในสองนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือกำลังใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายลากดาไซลงหลุมไปพร้อมๆกัน
“ดาไซ อย่าขยับ ฉันจะหาวิธีเอง” ผมค่อยๆจับกระบอกปืนอย่างเชื่องช้า
เมื่อปากกระบอกปืนถูกเล็งไปที่ดาไซ ชายคนนั้นสามารถฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงผมจะยิงตัดขั้วหัวใจของมันภายในนัดเดียวแต่ก็ยังมีเวลาพอให้มันเหนี่ยวไก เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถึงผมจะไม่อยากเสี่ยงกับมันแต่ผมก็ไม่มีทางเลือก
“องค์กรของนายมีชื่อว่า ‘มิมิค’ ฉันพูดถูกไหม”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้ ทั้งสีหน้าและคำพูด
“ฉันไม่หวังคำตอบจากนายหรอก ในทางกลับกันฉันประทับใจพวกนายมากๆ ไม่ค่อยมีองค์กรไหนที่กล้าเข้ามาปะทะกับพวกเราตรงๆหรอกนะ ยิ่งกว่านั้น ไม่เคยมีใครเล็งปืนมาที่ฉันด้วยจิตสังหารมากมายขนาดนี้มาก่อน”
ดาไซเดินเข้าไปหาเขาราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน
“ดาไซ อย่า!” ผมพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ฉันหวังว่านายจะเห็นความตื้นตันในตาฉัน” ดาไซเอ่ยต่อขณะก้าวเท้าเข้าใกล้ “สิ่งที่นายต้องทำคืองอนิ้วอีกนิดหน่อย ฉันรอให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนหงุดหงิดไปหมดแล้ว กลัวแค่ว่านายจะยิงไม่โดนนี่สิ”
ดาไซยิ้มขณะเข้าไปประชิด ระยะทางจากเขาถึงมือปืนห่างกันไม่ถึงสามเมตร
“นายควรเล็งที่หัวใจไม่ก็หัว ฉันแนะนำให้เล็งหัวดีกว่า ฉันให้โอกาสแค่ครั้งเดียว เพื่อนฉันคงไม่ใจดีให้นายยิงเป็นครั้งที่สองแน่” ดาไซจิ้มนิ้วลงบนหน้าผาก ตรงหว่างคิ้วของเขา “นายทำได้อยู่แล้ว นายเป็นสไนเปอร์นี่นา หน้านายมีรอยจากการใช้ไรเฟิล และนายไม่ใช่คนที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์”
รอยตำหนิบนใบหน้าด้านซ้ายของมือปืนเป็นรอยจากการเล็งยิงไรเฟิลมาเป็นเวลานาน ผู้สังเกตการณ์ที่ใช้กล้องส่องทางไกลไม่มีรอยแบบนั้น
ศัตรูถือปืนด้วยมือที่สั่นระริก ดาไซพูดถูก– เขามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจการยิง เขาคงจะไม่ทำอย่างนั้น
ดาไซหยุดยืนในระยะประชิดพร้อมเอ่ยเชิญชวน
“เอาล่ะ ยิงเลย ใกล้ขนาดนี้นายไม่พลาดแน่” ดาไซยิ้ม “ถึงนายจะยิงหรือไม่นายก็จะโดนฆ่าอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นนายควรจะใช้โอกาสนี้ฆ่าผู้บริหารของศัตรูไปด้วยนะ”
“ดาไซ!!” ผมตะโกน ราวกับว่ามีระยะทางหลายพันกิโลเมตรคั่นอยู่ระหว่างผมกับเขา
“ได้โปรดเถอะ ฆ่าฉัน ทำให้ฉันตื่นจากความฝันของโลกที่พังทลายนี้ที เอาเลย เร็วๆเข้า ยิงฉันสิ!”
ดาไซยังคงชี้ที่หัวของตัวเองและเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ศัตรูกัดปากพร้อมกดน้ำหนักลงบนไกปืน
––นี่มันวิกฤตแล้ว
ผมและเขาลั่นไกในเวลาเดียวกัน
ภายในตรอกแคบสว่างวาบขึ้นด้วยประกายไฟจากปากกระบอกปืนทั้งสอง
กระสุนพุ่งทะลุผ่านแขนของสไนเปอร์คนนั้น ร่างทั้งร่างของมันหมุนและล้มลง
ดาไซถอยกลับออกมา กระสุนเฉียดเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา พริบตาที่ยาวนานราวกับนิรันดร์ ลูกน้องของดาไซสาดกระสุนใส่ศัตรู ร่างของเขาพรุนเละ เลือดไหลรินราวกับน้ำตก ก้อนเนื้อกระเด็นไร้ทิศทางก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสิ้นลม
ดาไซขยับถอยออกมาสองสามก้าว
“น่าผิดหวังจัง” ดาไซเอ่ยขึ้นขณะยังค้างอยู่ในท่าเดิม “ฉันรอดมาได้อีกแล้ว”
ดาไซบิดขี้เกียจ ผิวเหนือหูขวาของเขาเป็นรอยถาก เลือดไหลซึมออกมาจากแผล
กระสุนพลาดไปแค่นิดเดียว
ผมมองดาไซ มันมีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับการกำเนิดของดวงวิญญาณที่จะทำลายล้างทุกอย่างให้สลายเป็นผุยผง
“โทษที นายคงตกใจสินะ” ดาไซพูดขึ้นขณะสำรวจบาดแผล
“ฉันแสดงละครเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันจะพลาด รอยบนหน้าของเขาอยู่ฝั่งซ้ายใช่ไหม นั่นแปลว่าเขาเป็นพวกถนัดซ้าย แต่ตะกี้เขาถือปืนด้วยมือขวา เขาใช้มือที่ไม่ถนัดแถมยังแทบยืนไม่อยู่ โอกาสนัดเดียวกับปืนเก่าๆแบบนั้น เขาไม่มีทางยิงโดนอยู่แล้วล่ะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองรอยยิ้มบนใบหน้าของดาไซในขณะที่เขาอธิบาย
“หลังจากนั้นฉันก็แค่พูดเพื่อถ่วงเวลารอให้แขนของเขาหมดแรง ตราบใดที่ฉันแกล้งเดินช้าๆ เขาจะไม่ยิงในทันทีแน่ จากนั้นก็แค่รอให้โอดะซาคุคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิด เป็นไง”
“ก็มีเหตุผลดี”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมตอบ ผมไม่สามารถทำใจพูดต่อไปได้
หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นี้ หากความสัมพันธ์กับผมกับเขาไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ มันคงไม่น่าแปลกใจถ้าผมจะต่อยหน้าเขา แต่ตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้
ผมเก็บปืนใส่ซองและหันหลัง ก่อนเดินออกมา
ทุกฝีเท้าที่ผมก้าวเดิน ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังแตกสลายและตัวผมกำลังร่วงลงสู่หลุมลึก
ภาพของดาไซที่ชี้นิ้วไปยังศรีษะของตัวเองและเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับกระบอกปืน สีหน้าของเขาราวกับเด็กที่กำลังจะร้องไห้ ภาพนั้นมันติดตาผมเกินไป
Next → Chapter 2 Part 1-2/9