วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 1 [4/4 แปลไทย]


คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 1 [4/4]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
ทรานส์อิ้ง : Part 8 Part 9
← Previous : Chapter 1 Part 3/4


ดาไซเปิดฝากล่องและมองเข้าไปด้านใน จากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ ทำให้ผมเห็นว่ามันคืออะไร
––––
นี่มันหมายความว่ายังไง
เซฟนี้ถูกพบที่ห้องของอันโกะ ไม่ว่าจะเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ในห้องอย่างพอดิบพอดีและการที่สิ่งๆนี้ถูกซ่อนอยู่ในช่องระบายอากาศหมายความว่าอันโกะจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเซฟกล่องนี้ พูดง่ายๆคือมันเป็นของๆเขา
ในใจของผมคาดหวังว่าจะมีสิ่งมีค่าอยู่ด้านใน ถึงขนาดที่อันโกะเก็บมันเอาไว้อย่างมิดชิดและชายเหล่านั้นพยายามฆ่าผมเพื่อให้ได้มันไป
แต่ยังไงก็ตามมันก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมหวังเอาไว้
ปืนพกสีเทานอนนิ่งอยู่ด้านใน
“ทำไม” ผมถามโดยไม่ต้องคิด “ดาไซ นายบอกว่าปืนนี่เป็นสัญลักษณ์ของพวกมันใช่ไหม แล้วนี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น”
ดาไซไม่ได้ตอบโดยทันที เขาหรี่ตาลงและจ้องมองไปที่ความว่างเปล่า
“มีแค่เจ้านี่เรายังสรุปอะไรไม่ได้หรอก” ดาไซพูดอย่างระมัดระวัง “บางทีอันโกะอาจจะยึดปืนนี่มาจากพวกมัน หรือไม่ก็อาจจะถูกนำมาวางเอาไว้ในบ้านของอันโกะเพื่อบิดเบือนหลักฐานและป้ายสีให้กับใครบางคนก็ได้ นี่อาจจะไม่ใช่ปืน มันอาจจะเป็นสัญลักษณ์หรือบางที––”
“ฉันเข้าใจแล้ว เรายังมีข้อมูลไม่มากพอ” ผมตัดบทดาไซ “เรายังมีข้อมูลไม่มาก ฉันจะตรวจสอบปืนนี่อีกครั้ง ขอโทษที่รบกวนนาย”
“โอดะซาคุ..” ดาไซเอ่ยปากพูดและผมเอ่ยตัดบทเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณที่มาช่วย ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง ถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะบอกนายแล้วกัน”
ดาไซมองผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ผมเห็นความไม่พอใจในแววตาของเขา
ผมเบือนสายตาหลบ สังหรณ์ใจไว้แล้วว่าการที่ไล่ตามเรื่องนี้มันเหมือนมีหินที่หนักอึ้งถ่วงหัวใจของผม เช่นเดียวกับร่างทั้งร่างที่ถูกถ่วงลงไปในก้นบึ้งของความมืด
“งั้นฉันจะบอกสิ่งที่รู้ให้แล้วกัน” ท่าทางของดาไซดูเฉยชา “เมื่อวานตอนที่เราดื่มกันอยู่ที่บาร์ อันโกะบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาหลังจากเสร็จงานใช่ไหม”
“ใช่”
อันโกะพูดว่าเขาเพิ่งไปโตเกียวเพื่อไปนำนาฬิกาโบราณที่ถูกลักลอบเข้าประเทศกลับมา
“เขาโกหก”
––ว่าไงนะ
“นายเห็นกระเป๋าของอันโกะรึเปล่า เขามีบุหรี่ ร่มพับแล้วก็นาฬิกา ร่มนั่นเปียกเขาเลยใช้ผ้าห่อมันเอาไว้และที่โตเกียวก็ฝนตกด้วย”
“แล้วยังไงล่ะ” ผมถาม “ร่มของเขาเปียกเพราะฝนตก มันก็ถูกแล้วไม่ใช่รึไง”
“ถ้าอันโกะพูดความจริง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ร่มนั่นเลย” ดาไซพูด หรี่ตาลง ผมไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้ “อันโกะน่าจะขับรถไปที่จุดนัดพบ ถ้าอย่างนั้นเขาจะใช้ร่มตอนไหนล่ะ มันไม่ใช่ก่อนหน้านั้นแน่นอนเพราะร่มนั่นวางทับอยู่บนนาฬิกา และมันก็ไม่ใช่หลังจากนั้นด้วย”
“ทำไม”
“ดูจากความเปียกของร่ม มันไม่น่าจะถูกใช้งานแค่สองถึงสามนาที น่าจะอย่างน้อยซักครึ่งชั่วโมง ถึงเขาจะเดินตากฝนเป็นเวลานานแต่กางเกงกับรองเท้าของเขาก็ยังแห้งสนิท เวลานัดเจรจาคือสองทุ่ม พวกเราเจอกันตอนห้าทุ่ม ถ้าเขาใช้ร่มในช่วงสามชั่วโมงหลังจากการเจรจาเขาคงไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้กางเกงกับรองเท้าแห้ง”
“เขาอาจจะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน”
“ในกระเป๋าไม่มีเสื้อผ้าที่เขาเปลี่ยน อีกอย่างมันไม่มีที่พอใส่ด้วย”
บางทีอันโกะอาจกลับบ้านไปเปลี่ยนแล้วทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นั่นก็ได้–– มันคือสิ่งที่ผมอยากพูด แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเขาคงทิ้งของทั้งหมดเอาไว้ที่บ้านก่อนจะมาที่บาร์
“ร่มนั่นไม่ได้ถูกใช้ก่อนการเจรจาหรือหลังจากนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ได้ถูกใช้ระหว่างการเจรจาเช่นกัน กระดาษที่ห่อนาฬิกาไม่เปียกน้ำและนาฬิกาโบราณแบบนั้นก็ไม่ควรที่จะโดนน้ำเหมือนกัน แปลว่าการเจรจาเกิดขึ้นภายในร่ม”
“ถ้าอย่างนั้นความจริงคือ––”
“ที่ฉันเดาคือ นาฬิกานั่นไม่ได้มาจากการเจรจาแต่เป็นของอันโกะตั้งแต่แรก เป็นสาเหตุที่ทำไมกล่องของมันอยู่ด้านในสุดของกระเป๋าเพราะเขายัดมันไว้ก่อนที่จะเดินทาง อันโกะไม่ได้ไปเจรจาแต่เขานัดพบใครบางคนไว้ คุยกันประมาณชั่วโมงกว่าและรอเวลากลับ”
“ทำไมนายคิดว่าเขาไปพบคนอื่น”
“สายลับอย่างอันโกะมักจะเลือกถนนตอนฝนตกเป็นจุดนัดพบ ตราบใดก็ตามที่เขายังถือร่มไว้ ตำรวจหรือกล้องวงจรปิดก็จะไม่เห็นหน้าเขา ถ้ามีคนพยายามแอบฟังเสียงฝนก็จะกลบหมดไม่เหมือนกับการคุยกันในที่ร่ม”
ผมเข้าใจในสิ่งที่ดาไซพยายามจะสื่อทั้งหมด แต่ด้วยความหวังอันน้อยนิด ผมพยายามยกข้อโต้แย้งอื่นขึ้นมา
“อันโกะอาจจะพูดโกหกจริง แต่เขาเป็นถึงสายลับสุดยอดของพอร์ตมาเฟีย บางทีเขาอาจจะมีการนัดพบที่บอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้ เราไม่ควรโทษเขา...”
“ถ้าเป็นแบบนั้น เขาแค่พูดว่า ‘ฉันบอกไม่ได้’ แบบนั้นไม่ว่าฉันหรือนายก็จะไม่พูดถึงมัน”
“.....”
ใช่ ดาไซพูดถูก
“แสดงว่าอันโกะโกหกเรื่องการนัดเจรจาแล้วก็ใช้นาฬิกานั่นเพื่อสร้างหลักฐานที่อยู่ ถ้านายลองคิดให้ลึกลงไปสักหน่อย นายคิดว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องการนัดพบให้พวกเรารู้ล่ะ”
––หรืออันโกะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
สายตาของดาไซช่างเย็นเยียบ เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาพูดออกมา
––การเจรจานั่นเสร็จกี่โมงน่ะ
ผมนึกขึ้นได้ว่าจู่ๆดาไซก็ถามขึ้นหลังจากเห็นกล่องกระดาษ ผมจำได้ เขาสังเกตเห็นบางอย่างและสรุปเรื่องนี้ออกมา ดาไซถามเพื่อความแน่ใจของตัวเอง
––อันโกะ มิมิค การจู่โจม
ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาทุกที
“โอดะซาคุ นายควรระวังตัวไว้ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับแก้วน้ำล่ะนะ ตอนนี้น้ำมันกำลังจะล้นออกมา” ดาไซพูด “ถ้านายโยนอะไรลงไปเพิ่ม มันคงล้นแก้ว นายไม่มีทางรับมือกับมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก จากตรงนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องอื่นเอง ส่วนเรื่องของอันโกะก็ฝากนายด้วยล่ะ”
“อา ตกลง..”
ผมกับเขาสบตากัน และเราก็เดินออกจากตรอกนั้น
ในตอนนั้นเอง ผมเพิ่งรู้ตัว
ศัตรูเมื่อก่อนหน้าลุกขึ้นมา
“ดาไซ!!” ผมตะโกนลั่นและยกปืนเล็งไปที่เขา
“อย่าขยับ..” เขาคำรามด้วยเสียงแหบแห้ง
ไม่ว่าผมหรือลูกน้องของดาไซจะเป็นคนยิง มันก็เข้าประชิดตัวดาไซแล้ว กระบอกปืนของมันเล็งไปที่ดาไซอย่างแม่นยำ
ศัตรูใช้มือข้างขวายกปืนขึ้นในขณะที่มืออีกข้างก็กดลงบนแผลข้างลำตัว เขาแทบยืนไม่อยู่ เกือบทั้งร่างพิงอยู่ที่กำแพงเพื่อไม่ให้ล้มลงไป ถึงจะเป็นแบบนั้นดาไซก็อยู่ในระยะยิงพอดี พวกเราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ
“ไม่น่าเชื่อ” ดาไซมองไปที่อีกฝ่ายราวกับว่าเห็นตัวประหลาด “ลุกขึ้นมาได้ทั้งๆที่โดนยิงเข้าไปขนาดนั้น ฟื้นตัวเร็วจริงๆแฮะ”
หนึ่งในสองนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือกำลังใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายลากดาไซลงหลุมไปพร้อมๆกัน
“ดาไซ อย่าขยับ ฉันจะหาวิธีเอง” ผมค่อยๆจับกระบอกปืนอย่างเชื่องช้า
เมื่อปากกระบอกปืนถูกเล็งไปที่ดาไซ ชายคนนั้นสามารถฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงผมจะยิงตัดขั้วหัวใจของมันภายในนัดเดียวแต่ก็ยังมีเวลาพอให้มันเหนี่ยวไก เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถึงผมจะไม่อยากเสี่ยงกับมันแต่ผมก็ไม่มีทางเลือก
“องค์กรของนายมีชื่อว่า ‘มิมิค’ ฉันพูดถูกไหม”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้ ทั้งสีหน้าและคำพูด
“ฉันไม่หวังคำตอบจากนายหรอก ในทางกลับกันฉันประทับใจพวกนายมากๆ ไม่ค่อยมีองค์กรไหนที่กล้าเข้ามาปะทะกับพวกเราตรงๆหรอกนะ ยิ่งกว่านั้น ไม่เคยมีใครเล็งปืนมาที่ฉันด้วยจิตสังหารมากมายขนาดนี้มาก่อน”
ดาไซเดินเข้าไปหาเขาราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน
“ดาไซ อย่า!” ผมพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ฉันหวังว่านายจะเห็นความตื้นตันในตาฉัน” ดาไซเอ่ยต่อขณะก้าวเท้าเข้าใกล้ “สิ่งที่นายต้องทำคืองอนิ้วอีกนิดหน่อย ฉันรอให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนหงุดหงิดไปหมดแล้ว กลัวแค่ว่านายจะยิงไม่โดนนี่สิ”
ดาไซยิ้มขณะเข้าไปประชิด ระยะทางจากเขาถึงมือปืนห่างกันไม่ถึงสามเมตร
“นายควรเล็งที่หัวใจไม่ก็หัว ฉันแนะนำให้เล็งหัวดีกว่า ฉันให้โอกาสแค่ครั้งเดียว เพื่อนฉันคงไม่ใจดีให้นายยิงเป็นครั้งที่สองแน่” ดาไซจิ้มนิ้วลงบนหน้าผาก ตรงหว่างคิ้วของเขา “นายทำได้อยู่แล้ว นายเป็นสไนเปอร์นี่นา หน้านายมีรอยจากการใช้ไรเฟิล และนายไม่ใช่คนที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์”
รอยตำหนิบนใบหน้าด้านซ้ายของมือปืนเป็นรอยจากการเล็งยิงไรเฟิลมาเป็นเวลานาน ผู้สังเกตการณ์ที่ใช้กล้องส่องทางไกลไม่มีรอยแบบนั้น
ศัตรูถือปืนด้วยมือที่สั่นระริก ดาไซพูดถูก– เขามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจการยิง เขาคงจะไม่ทำอย่างนั้น
ดาไซหยุดยืนในระยะประชิดพร้อมเอ่ยเชิญชวน
“เอาล่ะ ยิงเลย ใกล้ขนาดนี้นายไม่พลาดแน่” ดาไซยิ้ม “ถึงนายจะยิงหรือไม่นายก็จะโดนฆ่าอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นนายควรจะใช้โอกาสนี้ฆ่าผู้บริหารของศัตรูไปด้วยนะ”
“ดาไซ!!” ผมตะโกน ราวกับว่ามีระยะทางหลายพันกิโลเมตรคั่นอยู่ระหว่างผมกับเขา
“ได้โปรดเถอะ ฆ่าฉัน ทำให้ฉันตื่นจากความฝันของโลกที่พังทลายนี้ที เอาเลย เร็วๆเข้า ยิงฉันสิ!”
ดาไซยังคงชี้ที่หัวของตัวเองและเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ศัตรูกัดปากพร้อมกดน้ำหนักลงบนไกปืน
––นี่มันวิกฤตแล้ว
ผมและเขาลั่นไกในเวลาเดียวกัน
ภายในตรอกแคบสว่างวาบขึ้นด้วยประกายไฟจากปากกระบอกปืนทั้งสอง
กระสุนพุ่งทะลุผ่านแขนของสไนเปอร์คนนั้น ร่างทั้งร่างของมันหมุนและล้มลง
ดาไซถอยกลับออกมา กระสุนเฉียดเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา พริบตาที่ยาวนานราวกับนิรันดร์ ลูกน้องของดาไซสาดกระสุนใส่ศัตรู ร่างของเขาพรุนเละ เลือดไหลรินราวกับน้ำตก ก้อนเนื้อกระเด็นไร้ทิศทางก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสิ้นลม
ดาไซขยับถอยออกมาสองสามก้าว
“น่าผิดหวังจัง” ดาไซเอ่ยขึ้นขณะยังค้างอยู่ในท่าเดิม “ฉันรอดมาได้อีกแล้ว”
ดาไซบิดขี้เกียจ ผิวเหนือหูขวาของเขาเป็นรอยถาก เลือดไหลซึมออกมาจากแผล
กระสุนพลาดไปแค่นิดเดียว
ผมมองดาไซ มันมีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับการกำเนิดของดวงวิญญาณที่จะทำลายล้างทุกอย่างให้สลายเป็นผุยผง
“โทษที นายคงตกใจสินะ” ดาไซพูดขึ้นขณะสำรวจบาดแผล
“ฉันแสดงละครเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันจะพลาด รอยบนหน้าของเขาอยู่ฝั่งซ้ายใช่ไหม นั่นแปลว่าเขาเป็นพวกถนัดซ้าย แต่ตะกี้เขาถือปืนด้วยมือขวา เขาใช้มือที่ไม่ถนัดแถมยังแทบยืนไม่อยู่ โอกาสนัดเดียวกับปืนเก่าๆแบบนั้น เขาไม่มีทางยิงโดนอยู่แล้วล่ะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองรอยยิ้มบนใบหน้าของดาไซในขณะที่เขาอธิบาย
“หลังจากนั้นฉันก็แค่พูดเพื่อถ่วงเวลารอให้แขนของเขาหมดแรง ตราบใดที่ฉันแกล้งเดินช้าๆ เขาจะไม่ยิงในทันทีแน่ จากนั้นก็แค่รอให้โอดะซาคุคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิด เป็นไง”
“ก็มีเหตุผลดี”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมตอบ ผมไม่สามารถทำใจพูดต่อไปได้
หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นี้ หากความสัมพันธ์กับผมกับเขาไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ มันคงไม่น่าแปลกใจถ้าผมจะต่อยหน้าเขา แต่ตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้
ผมเก็บปืนใส่ซองและหันหลัง ก่อนเดินออกมา
ทุกฝีเท้าที่ผมก้าวเดิน ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังแตกสลายและตัวผมกำลังร่วงลงสู่หลุมลึก
ภาพของดาไซที่ชี้นิ้วไปยังศรีษะของตัวเองและเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับกระบอกปืน สีหน้าของเขาราวกับเด็กที่กำลังจะร้องไห้ ภาพนั้นมันติดตาผมเกินไป





วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 1 [3/4 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era (Chapter 1, 3/4)
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
ทรานส์อิ้ง : Chapter 5 Chapter 6 Chapter 7
← Previous Chapter 1 part 2/4

ผมเริ่มปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าโดยการหาตำแหน่งของอันโกะ แต่ผมก็ไม่มีเบาะแสอะไรมากนัก การตามหาสายลับที่หายไปขององค์กรแตกต่างกับการตามหาแมวหายโดยสิ้นเชิง (อันที่จริงผมเคยตามหาแมวที่หายไปจนเจอ ผมเลยค่อนข้างมั่นใจกับเคสนี้พอสมควร) ในกรณีที่แมวหาย คุณเพียงแค่ต้องเฝ้ารอที่จุดให้อาหารหรือบริเวณโดยรอบ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้เลยซักนิดว่าอันโกะชอบไปกินข้าวที่ไหน
ผมเดาได้สองอย่าง
มีเหตุผลสองข้อสำหรับการหายตัวไปของอันโกะ ข้อแรกคือเขาหายไปโดยการถูกลักพาตัว อีกข้อคือตั้งใจหายตัวไปเอง หากเป็นอย่างหลังก็ไม่มีทางที่ผมจะทำอะไรได้ อันโกะไม่ใช่พวกชอบต่อต้านหรือประท้วงด้วยการหนีออกจากบ้าน เขาสามารถเตรียมเงินทุนได้ง่ายๆถ้าหากเขาตั้งใจจะหายตัวไปจริง ด้วยจำนวนเงินมากมายขนาดนั้น เขาคงหนีไปอีกฟากนึงของโลกและใช้ชีวิตพเนจรไปเรื่อยๆ ความคิดนั้นทำให้ผมขีดฆ่าความเป็นไปได้นั้นออกจากลิสต์
ความเป็นไปได้อีกอย่างคือเขาถูกบังคับพาตัวไป จากความคิดของหัวหน้า องค์กรของฝ่ายศัตรูอาจจะกำลังหมายตาข้อมูลที่อยู่กับอันโกะ และนั่นคือสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ผมหวังว่าอันโกะจะทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เหมือนกับเด็กหนุ่มในนิทานเรื่องหนึ่งที่ทิ้งเศษขนมปังเอาไว้เป็นเบาะแส
ผมตัดสินใจตรวจสอบบริเวณรอบบ้านของอันโกะ
จนถึงกระทั่งตอนนี้ ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา พวกเราทั้งสามคนมักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอันโกะหรือดาไซ การพูดถึงชีวิตส่วนตัวก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
พวกเราสามคนเหมือนโจรผู้โดดเดี่ยวที่มักจะมาแวะพักในชายคาเดียวกันในคืนที่ฝนตก พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่เราก็ยังคงพูดคุยกันไปเรื่อยๆอยู่ดี
ผมนึกขึ้นมาได้ว่าอันโกะเคยพูดว่าเขาเดินทางบ่อย ย้ายไปมาหลายโรงแรม และเนื่องจากชีวิตของเขาต้องเสี่ยงอันตรายอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงพักแค่โรงแรมที่มีการคุ้มกันจากพอร์ตมาเฟียเท่านั้น โรงแรมเหล่านี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความส่วนตัวของผู้ที่มาพักเป็นอย่างมาก พวกเขามักมีผู้ติดตามเป็นการ์ดพร้อมอาวุธครบมือ หากบุคคลธรรมดาจะเข้าพักต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเท่านั้น
ผมลองโทรไปถามโรงแรมที่ว่า พอได้ยินว่าผมเป็นสมาชิกจากองค์กร น้ำเสียงจากปลายสายก็สุภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและตั้งใจตอบคำถามของผมเป็นอย่างดี ถ้าหากว่าเป็นการคุยกันต่อหน้า เขาคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นและเกาะขาผมไว้ไปแล้ว
ผ่านไปสามสาย ในที่สุดผมก็ได้ที่อยู่ของอันโกะ
โรงแรมสิบแปดชั้นตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก รอบข้างเป็นบรรดาตึกและสวนสาธารณะ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด ความสงบเช่นนี้เป็นลักษณะเด่นของพื้นที่ที่ถูกปกครองโดยพอร์ตมาเฟีย และเป็นความสงบที่อันโกะน่าจะชื่นชอบ
ผมรับกุญแจมาจากผู้จัดการและมุ่งหน้าไปยังห้องที่อันโกะเช่าเอาไว้ ตามที่ผู้จัดการบอก เมื่อหกเดือนที่แล้วอันโกะจ่ายค่าเช่าห้องนี้และย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะงานที่ทำ ทำให้เขาไม่ได้กลับมาบ่อยนัก หากกลับมาก็จะค้างอยู่แค่คืนเดียวและออกไปในเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้จัดการยังบอกอีกว่านอกจากอันโกะแล้ว ไม่มีใครเข้าหรือออกห้องนั้นแม้แต่คนเดียว
ห้องที่อันโกะเช่าเป็นห้องเดี่ยวที่สะอาดสะอ้าน
ภายในห้องสะอาดหมดจด ในส่วนของห้องรับแขกก็แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งอยู่ ชั้นหนังสือเต็มไปด้วยนวนิยายเก่าๆและหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นเมืองจากหลากหลายสถานที่ ช่องระบายอากาศถูกซ่อนอย่างแนบเนียนบนเพดาน เก้าอี้ไม้สีดำวางนิ่งสนิทอยู่ที่มุมห้อง
ภายในห้องนอนมีโต๊ะตัวเล็กและเตียงเดี่ยวที่ถูกผ้าปูที่นอนปูเอาไว้อย่างเรียบกริบ ใต้โคมไฟข้างหมอนมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางทิ้งอยู่ มันเป็นบันทึกของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะกับทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ของเขา
ห้องนี้บ่งบอกตัวตนของอันโกะได้ดี สะอาดสะอ้าน มีความรู้และไร้ชีวิตชีวา มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในห้องแบบนี้ได้อย่างไร
ผมยืนอยู่กลางห้องและเริ่มสำรวจสิ่งรอบตัว
ผมรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นมักจะไม่ให้ความสนใจ
“ซาคากุชิ อันโกะ สายลับแห่งพอร์ตมาเฟีย” ผมพยายามที่จะคิดแบบเขาโดยการพูดชื่อตำแหน่งของเขาออกมา “ชายหนุ่มแสนฉลาดที่เต็มไปด้วยความลับ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาย”
แน่นอนว่ามันไม่มีเสียงตอบรับ ผมเดินตรงไปยังหน้าต่าง
บานกระจกตรงหน้าสะท้อนวิวของถนนโยโกฮาม่า เบื้องล่างเป็นสวนสาธารณะ รอบข้างล้อมรอบด้วยสิ่งก่อสร้างอีกหลายตึก เมื่อตกกลางคืน ทัศนียภาพรอบด้านเป็นเหมือนกับทะเลสาบที่สะท้อนภาพของดวงดาวนับร้อย
ผมหันหลังให้กระจกและสำรวจรอบห้องอีกครั้ง ทันใดนั้นผมก็ขึ้นได้ว่าอะไรกำลังรบกวนจิตใจตนเองอยู่
ผมเป็นมาเฟียที่ไม่ฆ่าคน ด้วยเหตุผลนั้นผมจึงต้องลงเอยกับงานที่ยากลำบากอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะงานพวกนั้น ลางสังหรณ์ของผมจึงเริ่มเฉียบแหลมขึ้น ผมสามารถมองเห็นรายละเอียดที่แสนเปราะบางและค้นพบความจริงที่ไม่มีใครสามารถคาดคิดได้
เก้าอี้ไม้มุมห้องดูไม่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นและมันก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์โรงแรม ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่มีโต๊ะที่เอาไว้ใช้ร่วมกันอีกต่างหาก
ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อพิจารณาเก้าอี้ตัวนั้น หน้าตาของมันเหมือนกับเก้าอี้ทั่วไป ผมพลิกมันเพื่อตรวจดูสิ่งปกติด้านใต้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่ว่า
ผมวางมันลงที่เดิมและคุกเข่าลงเพื่อมองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมมองเห็นรอยขูดบนเบาะเก้าอี้ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน เมื่อมองใกล้เข้าไป ผมมองเห็นรอยสึกสีขาวบนนั้นที่ดูเหมือนกับรอยเท้า
ผมตรวจสอบทั่วห้องอีกครั้ง
––––ช่องระบายอากาศบนเพดาน
ผมหยิบเก้าอี้มาวางลงบนพื้นใต้ช่องระบายอากาศและเหยียบมันขึ้นไป มือของผมแตะเพดานพอดี ช่องระบายอากาศถูกติดทับไว้ด้วยตะแกรงพลาสติก ทำให้มองไม่เห็นว่าด้านในมีอะไร
หลังจากใช้เวลาซักพักผมก็แงะตะแกรงออกจากมันได้ ก่อนจะสอดมือเข้าไปเพื่อตรวจสอบภายในช่องระบายอากาศ นิ้วของผมสัมผัสเข้ากับบางอย่าง เสียงครูดดังขึ้นเมื่อผมดึงมันออกมา ก่อนที่เซฟใบเล็กจะปรากฏขึ้น
ผมก้าวลงมาจากเก้าอี้พร้อมกับเซฟในมือและปัดฝุ่นมัน
มันเป็นกล่องเซฟสีขาวที่สะดวกต่อการพกพาและล็อกอยู่ แต่ช่างทำกุญแจน่าจะเปิดมันได้ไม่ยาก ผมเขย่ามันอย่างแรง ก่อนจะเกิดเสียงจากสิ่งของภายในกระทบกันไปมา
ในขณะนั้นเอง ผมเห็นภาพบางอย่าง
กล่องเซฟสีขาวในมือของผมถูกย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม กำแพงเบื้องหน้าและพื้นต่างถูกย้อมไปด้วยสีแดง ราวกับถูกบางอย่างสาดเข้าใส่
มันคือเลือด เลือดของผม
ผมก้มลงมองหน้าอก เลือดไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
ผมหันกลับไปมองก่อนจะเห็นกระจกหน้าต่างแตกละเอียด ผมมองเห็นห้องๆหนึ่งจากอาคารที่อยู่ไกลออกไป ปากกระบอกปืนไรเฟิลส่องแสงสะท้อนกับแสงอาทิตย์
ผมคว้าปืนที่เหน็บอยู่ แต่แขนของผมกลับชะงักไปเพราะกระสุนอีกนัดที่ถูกยิงมา เลือดทะลักออกมาจากแขนก่อนที่ร่างของผมจะเสียหลักไป
กลิ่นเหล็กเอ่อล้นขึ้นมาในลำคอ ก่อนที่ความมืดจะเข้ามาแทนที่


.
.
.
.


ภาพทุกอย่างหายไป
ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมและถือกล่องเซฟไว้ในมือ กล่องยังคงเป็นสีขาวและกระจกหน้าต่างก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
ผมกอดกล่องเซฟเอาไว้และล้มตัวลงบนผืนพรม
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผมได้ยินเสียงของกระจกแตก รูสีดำปรากฏขึ้นบนกำแพงตรงหน้า ตามด้วยอีกรูหนึ่ง
ผมขยับตัวออกจากหน้าต่างและเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากตึกฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะหยิบปืนพกออกมาจากซอง หลังพิงกำแพงเอาไว้และยกปืนขึ้น
ผมเอื้อมมือหยิบบานกระจกบนโต๊ะด้วยความยากลำบากและเกือบทำมันหล่นเพราะมือที่ชื้นเหงื่อ ผมจับมันให้เหมาะมือหามุมสะท้อนภาพจากฝั่งตรงข้ามของอาคาร
ผมเห็นเงาตะคุ่มจากกระจกแต่ผมมองไม่เห็นรายละเอียดอย่างอื่น เขากำลังแพ็คบางอย่างและภายในเสี้ยววินาที เงาดำนั้นหายไป
ผมลดปืนในมือลงก่อนจะรู้ตัวว่าผมกำลังกลั้นหายใจอยู่
สไนเปอร์
อะไรอยู่ในห้องนี้และอันโกะเข้าไปพัวพันกับอะไรกันแน่ ผมเกือบจะถูกสไนเปอร์ฆ่าตาย จากการที่ผมไม่เห็นประกายไฟตอนที่มันยิงมาหรือเสียงของกระสุนที่แหวกอากาศ และการที่มันเก็บของและหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าจัดการกับเป้าหมายไม่สำเร็จ พวกนั้นต้องเป็นมืออาชีพอย่างแน่นอน
เพียงไม่นานก่อนหน้านี้ ผมตายจากการโดนกระสุนตัดเข้าที่ขั้วหัวใจ
มันคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากผมไม่มีพลังพิเศษ
ผมวิ่งออกมาด้วยความรวดเร็วจนแทบจะกระโจนลงจากขั้นบันได สไนเปอร์คงยังไปไม่ได้ไกล ผมต้องการที่จะรู้ตัวจริงของเขา ผมผลักแขกของโรงแรมออกไปให้พ้นทางและหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อขณะที่มุ่งหน้าไปยังตึกที่สไนเปอร์ซุ่มอยู่เมื่อครู่
สไนเปอร์ที่ดีสามารถยิงกระสุนทะลุหัวใจของเป้าหมายได้จากระยะห่างออกไปเป็นกิโลเมตร ถ้าหากมองจากความห่างของทั้งสองตึก มันไม่ไกลขนาดนั้น ผมคุ้นเคยกับตึกที่สไนเปอร์ซุ่มโจมตีเป็นอย่างดี ผมรู้จักทุกอาคารและถนน หรือแม้แต่ตรอกเล็กๆที่ไม่ได้ถูกวาดไว้บนแผนที่ และนั่นทำให้ผมสามารถจำกัดเส้นทางการหนีของศัตรูได้ในระยะเวลาอันสั้น
ผมจิ้มเบอร์และกดโทรออกในขณะที่กำลังวิ่งไปยังตึกนั่น
“นั่นดาไซรึเปล่า”
“อ้า–– หายากนะที่โอดะซาคุโทรหาฉัน ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ โฮะๆๆ อย่าเพิ่งบอกฉันล่ะ ฉันขอใช้สติปัญญาอันปราดเปรื่องของฉันเดาก่อน อืม– อ่ะ! โอดะซาคุต้องคิดมุกตลกออกแล้วอยากบอกฉันแน่ๆ เพราะแบบนั้นนายเลยโทรมา–”
“ฉันถูกสไนเปอร์โจมตี” ผมรีบพูด
ดาไซสูดหายใจลึกและเงียบไป
“ที่ห้องของอันโกะ ฉันกำลังไล่ตามมันอยู่ ตำแหน่งยิงคือตึกฝั่งตรงข้ามของถนนโคโช ถ้าจะหนีจากตรงนั้นต้องผ่านหน้าวัดโคคุโยหรือไม่ก็ท่าเรือ หรือไม่ก็มุ่งหน้าไปทางถนนด้านหลังร้านขายอุปกรณ์เดินเรือ––”
“นายอยากให้ฉันไปตัดเส้นทางหนีใช่ไหม”
ผมอึ้งไปนิดหน่อย เหตุผลที่ผมโทรหาดาไซเพราะผมคิดไม่ออกว่าจะขอให้ใครช่วยในระยะเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้ เขาเป็นหนึ่งในห้าผู้บริหารและเป็นที่สองรองจากหัวหน้าแห่งพอร์ตมาเฟีย ตามปกติแล้วคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนสำหรับการเข้าพบอย่างเป็นทางการ ผมโทรหาคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดนั้นและออกคำสั่งราวกับกำลังขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยพาสุนัขไปเดินเล่น
“ดาไซ ตอนนี้ฉันมีคำพยากรณ์สีเงินอยู่ ถ้านายไม่ว่าอะไร––”
“ไม่จำเป็นหรอกน่า ไอ้ของพรรคนั้นน่ะ นายอยู่ในอันตรายใช่ไหมล่ะ” ดาไซถามอย่างชัดเจน “ฉันจะเรียกคนให้ไปปิดถนนตรงนั้นให้และฉันจะไปที่นั่นด้วย อย่าไล่ตามจนเข้าใกล้เกินไปล่ะ โอดะซาคุ”
ผมขอบคุณเขาและกดวางสาย
สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือจดจ่ออยู่กับการวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สไนเปอร์นั่นเป็นคนแบบไหนกัน
สไนเปอร์ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวสูงมาก มีความอดทนเป็นเลิศและทำตามแผนการณ์อย่างเคร่งครัด หลังจากที่ล็อกตำแหน่งของเป้าหมายและเลือกตำแหน่งในการซุ่มยิงแล้ว พวกเขาจะรอจนกว่าเป้าหมายจะเข้ามาในระยะ และจะอยู่ในตำแหน่งเดิมทั้งวัน ถ้าหากเกิดความอ่อนล้าขึ้นมา พวกเขาก็จะรอต่อไปด้วยความหิวโหยทั้งอย่างนั้น
สไนเปอร์จะรอด้วยความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายจะปรากฏตัวขึ้นตรงนั้น
สไนเปอร์ที่รออยู่ที่ห้องของอันโกะคงกำลังรออันโกะไม่ผิดแน่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรอให้อันโกะกลับมายังห้องพักและลอบสังหารเขา ถ้าหากว่านั่นเป็นแผนการที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ทำไมสไนเปอร์ถึงเปลี่ยนแผนและยิงผมแทน
ผมตัดสินใจที่จะไปยังห้องของอันโกะเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เพราะผมไม่มีเบาะแสใดๆทั้งสิ้น สไนเปอร์ยิงหลังจากที่ผมเจอเซฟกล่องนั้น ถ้าเกิดเขาอยากจะฆ่าผมจริง ทำไมไม่ทำตั้งแต่ผมเหยียบเข้าไปในห้อง
เป็นไปได้ว่าสไนเปอร์ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน เขาอาจถูกสั่งให้ยิงใครก็ตามที่เข้าไปในห้องนั้น หรือใครก็ตามที่เจอเซฟ แต่อย่างนึงที่ผมมั่นใจก็คือ อันโกะต้องเข้าไปพัวพันกับอันตรายบางอย่างแน่
ขณะที่กำลังวิ่ง ผมก็นึกถึงชายสวมแว่นที่มีใบหน้าเฉยชาและยากที่จะอ่านออก
ไม่ว่าผมจะหายใจแรงแค่ไหนมันก็ไม่พอที่จะนำออกซิเจนกลับเข้ามาในร่างได้ สายตาของผมเริ่มพร่าในขณะที่ผมมาถึงเส้นทางหลบหนีอีกเส้นหนึ่ง เป็นตรอกเล็กที่มืดและแคบ เศษขยะเกลื่อนอยู่ตามพื้น
ระหว่างทางที่มา ผมวิ่งตัดสวนส่วนตัวของบ้านสองหลังและโรงจอดรถของบริษัทสามแห่ง ถ้าหากว่าศัตรูไม่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้ ผมคงไล่ตามมันทัน
ระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิด คมดาบแหลมก็พุ่งเข้ามาหาผมจากระหว่างตึกทั้งสอง
ศัตรูเคลื่อนไหวอย่างมีชั้นเชิง ผมขยับหลบการโจมตี คมดาบที่ฟาดผ่านหูให้ความรู้สึกแหลมคมและเย็นเยียบ
ผมถีบใส่มัน แรงส่งจากการถีบเมื่อครู่ทำให้ผมพอจะมีระยะห่างจากมันบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นมองศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เขาเป็นชาวต่างชาติที่สวมชุดสีเทาสกปรก ดูเหมือนจะเป็นพวกเร่ร่อน แต่รอยตำหนิสีดำบนใบหน้าของเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจ เขาแกว่งดาบในมือขณะก้าวไปรอบๆก่อนจะใช้มือซ้ายยกดาบขึ้น แขนข้างขวายกขึ้นมาป้องกันบริเวณใบหน้า ตำแหน่งแบบนี้ทำให้เขาสามารถทั้งป้องกันและโจมตีคู่ต่อสู้ระยะประชิดได้ด้วยการขยับตัวเพียงเล็กน้อย จิตสังหารจากอีกฝ่ายแผ่ออกมาราวกับเป็นสุนัขรักษาการณ์ที่ถูกฝึกมาอย่างดี
จากลักษณะของเขาทำให้ผมอนุมานได้บางอย่าง อย่างแรก เขารู้ว่าผมมาจากพอร์ตมาเฟีย แต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่จะถอยหนีหรือให้โอกาสผมได้ทำอย่างนั้น ผมพนันว่าเขาคือสไนเปอร์ที่ผมเห็นจากเงาสะท้อนของกระจก และผมไม่แปลกใจซักเท่าไหร่ที่เขาตั้งใจจะฆ่าผมที่นี่
เขาคงฟันลงมา ผมเหวี่ยงตัวออกจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างก่อนจะหยิบปืนออกจากฝักและยิงเข้าใส่ชายคนนั้น
กระสุนถูกยิงออกไปฝังลงบนพื้นที่ว่างด้านหน้าชายคนนั้น อีกฝ่ายหยุดฝีเท้าทันที
ผ่านไปไม่ถึง 0.1 วินาทีตั้งแต่ผมหยิบปืนออกจากซองและลั่นไก หากชายคนนั้นเจนจัดในการต่อสู้ เขาคงดูออกว่าผมไม่ได้เล็งส่งเดช
ผมยกปืนขึ้นและเล็งใบหน้าอีกฝ่าย บอกเป็นนัยว่าผมสามารถเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้
อย่างไรก็ตามชายคนนั้นก็ยังพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วและแกว่งดาบในมืออีกครั้ง
ผมกระโดดไปด้านหลังเพื่อหลบคมดาบและยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่เขา เสียงสะท้อนจากปากกระบอกปืนดังก้องไปทั่วตรอกแคบ สำหรับเขาแล้วมันคงไม่ต่างอะไรกับสายลมที่พัดผ่าน เหมือนกับว่าความหวาดกลัวในจิตใจของชายตรงหน้าถูกผนึกลงกล่องและแอบซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง
เขาเอื้อมมือเข้ามาแต่กลับไม่ได้เล็งผม ผมไหวตัวทันและฉวยกล่องเซฟเอาไว้ทำให้เขาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า เขากลับไปยืนในท่าเดิมและรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยดาบในมือ
เป้าหมายของเขาคือเซฟ
เพื่อมัน เขาจึงแสร้งทำเป็นหนีและรอคอยอยู่ที่นี่
ถ้าเป็นอย่างนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหนีไปพร้อมกล่อง ผมไม่รู้ตัวตนของศัตรูและไม่รู้มูลค่าของสิ่งของที่อยู่ภายใน ความสามารถการใช้ดาบของอีกฝ่ายดีเยี่ยมและไม่เกรงกลัวแม้แต่กระสุนปืน ยิ่งไปกว่านั้น ผม––
ศัตรูพุ่งเข้ามาโจมตีด้วยดาบ ผมยิงไปที่กำแพงหวังว่าจะทำให้เขากลัว แต่เขากลับอ่านวิถีกระสุนออกและพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง ผมขยับตัวหลบไปในทิศตรงกันข้ามทันที
ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบขึ้น เสียงปลอกกระสุนร่วงกระทบพื้นสะท้อนก้องภายในตรอกแคบ กระสุนปืนพุ่งเฉียดหูของผมไป และผมไม่ได้เป็นคนลั่นไก
ร่างของผมชะงักค้างอยู่กับที่ ไม่ต้องหันไปมองด้านหลังผมก็เข้าใจได้ในทันที
มีศัตรูอีกคนอยู่ด้านหลัง
ในการทำงานของสไนเปอร์มักจะมีผู้เฝ้าสังเกตการณ์ที่ทำงานร่วมกันเสมอ ผู้สังเกตการณ์ทำหน้าที่บอกตำแหน่ง คอยรายงานสถานการณ์และกำจัดศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ
จากวินาทีที่ศัตรูเริ่มโต้กลับ ผมควรจะรู้ตัวว่าพวกมันมีกันสองคน
กระสุนที่ถูกยิงออกมาจากศัตรูคนที่สองไม่ได้มาจากไรเฟิลแต่มาจากปืนพกรุ่นเก่า ผมคว้าถุงขยะที่เกลื่อนกลาดและโยนมันขึ้นในอากาศแทนระเบิดควัน ได้แต่หวังว่ามันจะช่วยเบี่ยงวิถีกระสุน
ทันใดนั้นเอง ศัตรูตรงหน้าก็เข้ามาประชิดตัว
เสียงกระสุนปืนและดาบโลหะปะทะกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ ก่อนที่ไกปืนจะถูกตัดด้วยคมดาบ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
ผมเตะตัดข้อเท้าของเขา ศัตรูเสียการทรงตัวและล้มลง
ผมเหวี่ยงตัวไปอีกฝั่งที่ปลอดภัยและคว้าปืนอีกกระบอกออกจากซอง เพราะผมถนัดการใช้ปืนคู่ ผมจึงพกปืนสองกระบอกติดตัวเสมอ
ผมเล็งปืนไปที่ปลายจมูกของศัตรู ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ผมไม่มีทางพลาดแน่
ถ้าผมยิงตอนนี้ อีกฝ่ายคงตายในทันที เขาจะไม่มีเวลาได้ลิ้มรสความเจ็บปวด สมองของเขาคงเละเป็นซากรวมกับสิ่งสกปรกบนกำแพง ชีวิตของเขาจะจบลงทันทีราวกับใช้เวทมนตร์
แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ยิงและถอยออกมา รักษาระยะห่างไว้
“โอดะซาคุ หมอบลงเร็ว!”
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงของดาไซ
ก่อนที่จะได้ยินเสียง ผมรู้ดีว่าอะไรกำลังจะตามมา จึงหมอบลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว แสงสว่างวาบและเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วตรอกแคบ
เพราะว่าใช้ความสามารถจึงทำให้ผมรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ผมหมอบลงกับพื้น ปิดตาและหูรอจนกว่าทุกอย่างจะสงบลง ศัตรูตาบอดสนิทไปชั่วครู่เพราะระเบิดแสง ทำให้ไม่สามารถหลบการโจมตีต่อจากนี้ได้
แสงจ้า ระเบิด และเสียงเกรียวกราวของปลอกกระสุน เสียงของพื้นและกำแพงที่กำลังทลายและกระสุนขนาด 9 มม.ที่ลอยผ่านหัวผมไปราวกับห่าฝน
ชายชุดดำสี่คนเปิดการโจมตี พวกเขายกปืนกลขึ้นในระดับเอวและเดินผ่านผมไป พวกเขาคือพอร์ตมาเฟีย
ในตรอกเล็กแคบไม่มีที่ไหนให้หนี ถึงจะเก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางหลบห่ากระสุนได้ เสียงโหยหวนดังออกมาจากการระดมยิงที่เกิดขึ้น ผมลุกขึ้นและเห็นชายสองคนนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด เลือดสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบทั้งบนพื้นและกำแพง
“ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะโอดะซาคุ นายฆ่าคนพวกนั้นได้ในแค่อึดใจเดียวเท่านั้นแหละ ถ้านายจะทำ” ดาไซปรากฏตัวขึ้น สำหรับเขา ตรอกแคบที่เต็มไปด้วยเสียงปืนก็คงไม่ต่างอะไรกับห้างสรรพสินค้าในวันหยุด
ดาไซยื่นมือมาให้ ผมจับมือเขาและพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะสำรวจภายในตรอก
“นายฆ่าเขาหรอ”
“อื้ม–– ถึงจะจับเป็น เราก็ไม่มีทางได้ข้อมูลจากมันหรอก คนพวกนี้คงจะชอบยาพิษมากกว่าล่ะมั้ง”



ผมไม่ได้ตอบอะไร ในใจหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ ดาไซยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันรู้น่า นายไม่ได้ต้องการแบบนั้นหรอกใช่ไหม โอดะซาคุ เจ้าพวกนี้น่ะเป็นมืออาชีพ ถึงจะเป็นนายแต่มันก็ไม่ง่ายที่จะไม่พลั้งมือฆ่าไป”
“ถูกของนาย”
ผมพยักหน้า ดาไซมักจะถูกเสมอ ตรงกันข้ามกับผม
“นายคงอารมณ์เสียอยู่ เพราะที่ฉันทำมันขัดกับหลักการของนาย ฉันขอโทษนะ” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของดาไซ คำว่าขอโทษไม่ค่อยจะหลุดออกจากปากของเขาเท่าไหร่ ดังนั้นคำขอโทษของดาไซในครั้งนี้มันจึงบริสุทธิ์จนผมประหลาดใจ
“อา– ขอบใจนายเหมือนกัน ถ้านายไม่มาช่วยป่านนี้ฉันคงตายไปแล้ว”
“ซาคุโนะสุเกะ โอดะกับคติที่ว่าจะไม่ฆ่าใครไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” ดาไซส่ายหน้า “เป็นเพราะคติประจำตัวที่ยุ่งยากของนายทำให้นายเป็นแค่เบ๊ขององค์กรยังไงล่ะ พลังพิเศษของนายน่ะ มันสุดยอดอยู่แล้ว–”
ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
“ฉันได้ยินคำพูดแบบนั้นเป็นพันครั้งแล้วดาไซ ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกผู้บุกรุกนี่” ผมชำเลืองมองไปยังศพทั้งสอง
“นายบอกว่านายถูกโจมตีที่ที่พักของอังโกะงั้นสินะ”
ผมสรุปเรื่องที่ได้เจอมาในห้องพักนั่นให้ดาไซฟังแบบสั้นๆ
“อย่างนี้นี่เอง ไรเฟิลนั่นคงเป็นของที่ขโมยมาจากคลังของเราไม่ผิดแน่” ดาไซพูดขึ้นหลังจากที่ผมอธิบายจบ “นายช่วยดูให้หน่อยสิว่าพวกนั้นมีปืนพกรุ่นเก่าเก็บอยู่กับตัวรึเปล่า”
ผมมองไปยังร่างที่นอนอยู่ ถึงจะถูกบังด้วยชุดที่ขาดวิ่นแต่ผมก็เห็นซองปืนเหน็บอยู่ที่เอวของมัน ภายในบรรจุปืนพกสีเทากระบอกบาง
“นี่เป็นปืนพกยุโรปที่ค่อนข้างเก่าเลยล่ะ การยิงและความแม่นยำของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้มันไม่เหมาะจะใช้ต่อสู้ในที่แคบแบบนี้” ดาไซหยิบปืนออกมาจากศพและพิจารณามันด้วยความสนใจ “ปืนกระบอกนี้คงมีไว้พกเฉยๆล่ะนะ คงเอาไว้ใช้แทนสัญลักษณ์ประจำตัว อะไรทำนองนั้น”
เหมือนว่าดาไซจะรู้ดีกว่าผมว่าคนพวกนี้เป็นใคร
“พวกมันเป็นใคร”
มิมิค
มิมิค?” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อนี้
“พวกเรายังไม่ค่อยมีรายละเอียดเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นองค์กรที่มาจากยุโรป ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่ามันมาที่ญี่ปุ่นทำไม หรือทำไมพวกมันถึงเปิดศึกกับพอร์ตมาเฟีย”
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นองค์กรอื่นแข็งข้อกับพอร์ตมาเฟีย
มีหลายองค์กรในพื้นที่รอบโยโกฮาม่าที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับอำนาจของพอร์ตมาเฟีย ห่างไกลจากเงื้อมมือของรัฐบาล โลกใต้ดินของพอร์ตมาเฟียไร้ซึ่งกฏหมายและเต็มไปด้วยอาชญากรที่ต่างยื้อแย่งกันปกครองพื้นที่ ทั่วโลกต่างสนใจสวรรค์แห่งนี้เพื่อหลบเลี่ยงภาษี ฟอกเงินและค้าแรงงาน มันไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นองค์กรจากต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ร่วมด้วย
ยังไงก็แล้วแต่ จะมีซักกี่ที่ที่จะส่งสไนเปอร์ฝีมือดีสองคนมากระตุกหนวดเสือแบบนี้
“ตอนนี้พวกเรากำลังหาข้อมูลกันอยู่” ดาไซยักไหล่ “พวกเราน่าจะเจออะไรบางอย่าง ถ้ารู้ว่าสไนเปอร์พวกนี้ไปที่บ้านของอันโกะทำไม”
“พวกมันจะมาเอาเซฟนี่” ผมยกกล่องสีขาวขึ้นมา “ฉันเจอมันในห้องของอันโกะ แต่เราไม่มีกุญแจ ถ้ารู้ว่ามีอะไรข้างใน เราอาจจะได้เบาะแสบางอย่างก็ได้––”
“หา–– แค่นั้นเองหรอ” ดาไซยิ้มออกมา “เอามานี่สิ”
ผมส่งเซฟให้ดาไซ เขาเขย่ามันเพื่อยืนยันว่ามีของบางอย่างอยู่ข้างใน ก่อนที่เขาจะคุ้ยกองขยะและหยิบคลิปหนีบกระดาษตัวหนึ่งขึ้นมา ดาไซงอที่คลิปตัวนั้นเล็กน้อยก่อนจะสอดเข้าไปในแม่กุญแจ
ดาไซหมุนคลิปในมือ ไม่กี่วินาทีก่อนที่เสียง ‘คลิก’ จะดังขึ้นมา
“อ่ะ เปิดได้แล้ว”
เขาเก่งจริงๆ
“เอาล่ะ–– มีอะไรอยู่ในนี้กันนะ”

Next → Chapter 1 part 4/4