วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] The Untold Story of the Founding of the Detective Agency: Chapter 2 Part 2

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency [Chapter 2 Part 2]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 Part 1


วันนั้นฟุคุซาว่าอยู่ในอารมณ์ที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก
ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนน ผู้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับวันหยุดสุดสัปดาห์ต่างหลีกทางให้เขาราวกับทะเลแหวก และเมื่อเขาข้ามถนน ถึงไฟจราจรจะเป็นสีเขียวแต่รถยนต์กลับหยุดวิ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรังสีแห่งความไม่สบอารมณ์ที่แผ่ออกมาจากตัวฟุคุซาว่าทั้งสิ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้วความรู้สึกของเขาต่างกับความไม่สบอารมณ์อยู่นิดหน่อย ฟุคุซาวะเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเอง
ผู้ว่าจ้างของเขาถูกสังหาร
มันเป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
ในฐานะบอดี้การ์ด ฟุคุซาว่ามีหน้าที่หลักอยู่สองอย่างคือรักษาความปลอดภัยและรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นหรือมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยชั่วคราวให้กับบุคคลหรือสิ่งของ บุคคลที่ถูกสังหารเมื่อเช้าเป็นผู้ว่าจ้างระยะยาวของฟุคุซาว่า หล่อนเป็นหญิงสาวเจ้าของบริษัทที่เพิ่งทำข้อตกลงร่วมกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
พวกเขาไม่เคยพูดคุยกันเรื่องอื่นนอกเหนือจากงาน ฟุคุซาว่าหลีกเลี่ยงการข้องเกี่ยวกันนอกเหนือจากเรื่องงานเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับลูกค้า มีเพียงแค่ครั้งเดียวที่เขาถูกชักชวนให้ไปเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว แต่เขาก็ปฏิเสธไปทันทีเพราะเขาไม่ชอบการผูกมัดกับองค์กร การมีเพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ถ้าหากเขาถูกแต่งตั้งให้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของประธานาธิบดี ผลลัพธ์ของเหตุการณ์นี้คงแตกต่างออกไป
จากที่เขาได้ยิน ประธานบริษัทสาวถูกนักฆ่าผลักให้ตกลงมาจากหน้าต่างในห้องทำงานของบริษัทเมื่อช่วงเช้า หลักฐานถูกพบและนักฆ่าผู้นั้นก็ถูกจับกุมตัว
ฟุคุซาว่าไปถึงอาคารดังกล่าว มันคืออาคารที่สร้างจากอิฐแดงตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือ ตัวอาคารนั้นเก่าแต่ยังคงแข็งแรง
ระหว่างทางที่เขากำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เขาเห็นเทปกาวถูกขึงอยู่รอบๆที่เกิดเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปยังห้องทำงานของประธานบริษัท
วันนั้นเป็นวันที่ลมแรง เทปกาวสีเหลืองสะบัดปลิวและส่งเสียงยามถูกสายลมพัดผ่าน ฟุคุซาว่าละสายตาออกจากตรงนั้น
ร่างของหญิงสาวได้ถูกส่งไปยังฝ่ายชันสูตรศพแล้ว แต่รอยเลือดที่อยู่บนพื้นก็ยังไม่หายไป ฟุคุซาว่าเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ก่อนเดินผ่านสถานที่เกิดเหตุเข้าไปด้านใน ด้านบนมีป้าย  “S.K. Company Incorporated” กำกับอยู่ เขาขึ้นลิฟท์ไปยังห้องทำงานของหญิงสาว
“สวัสดีครับ ขอบคุณที่อุตส่าห์ลำบากมาถึงที่นี่ ผมทำงานใกล้จะเสร็จแล้ว รอซักครู่นะครับ”
เมื่อเขาเข้ามาถึงด้านในห้องทำงานก็พบกับเลขานุการที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดการเอกสารกองโต
ที่นี่เป็นที่ที่แปลกประหลาดสำหรับสถานที่ก่อเหตุฆาตกรรม
ในห้องทำงานที่กว้างพอสำหรับคนสามสิบคนกลับเต็มไปด้วยเอกสาร ทั้งบนพื้นและโต๊ะต่างไม่มีที่ว่างใดที่ไม่มีเอกสารวางอยู่ เอกสารเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นเอกสารสำคัญ
บุคคลที่กำลังจัดการกับเอกสารเหล่านั้นคือเลขานุการที่เพิ่งคุยกับเขาเมื่อครู่ เขาสวมโค้ทสีดำยาวและผูกเนคไทสีแดงเข้ม ชายคนนั้นดูซูบซีดและไม่ค่อยแข็งแรง เขาเลือกเอกสารบางฉบับออกมาจากกองเอกสารและวางมันกลับลงบนชั้นวาง ก่อนจะเริ่มจัดการกับเอกสารกองต่อไป
“—คุณกำลังทำอะไรน่ะ” ฟุคุซาว่าเอ่ยถามทันที
“อ่า.. ผมกำลังจัดการกับเอกสารน่ะครับ” เลขานุการตัวซีดตอบ “เพราะที่นี่มีเพียงผมคนเดียวที่เข้าใจเอกสารทั้งหมด”
เขาไม่ได้รับคำอธิบายที่ต้องการและคำตอบเมื่อครู่ก็ไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร ฟุคุซาว่าไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่ามันคงจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจ ถึงมันจะยากที่จะตัดสินว่าการจัดการกับเหล่าเอกสารในวันที่เจ้านายของตัวเองถูกฆ่าเป็นการแสดงความขยันขันแข็งเกินเหตุหรือความไม่เคารพก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามฟุคุซาว่าก็ตระหนักได้ว่าเหตุฆาตกรรมนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
“ผมขอแสดงความเสียใจด้วย” ฟุคุซาว่าก้มศรีษะลง “นี่เป็นความสูญเสียที่น่าเศร้า.. ผมได้ยินว่าเธอถูกผลักลงจากหน้าต่างในห้องนี้”
จากหน้าต่างในห้องทำงานที่สามารถมองเห็นถนนในโยโกฮาม่าได้ ตอนนี้หน้าต่างบานใหญ่ที่หญิงสาวตกลงไปถูกปิดอยู่
“ฆาตกรเป็นนักฆ่ามืออาชีพ” เลขาคนนั้นมีท่าทีทะมึนขึ้น “นี่เป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของบริษัท โดยส่วนตัวแล้วท่านประธานเป็นคนที่เห็นความสามารถและเรียกผมมาทำงานที่นี่ เขาเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษาและคนที่เลี้ยงดูผม ดังนั้นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดตอนนี้คือการเปิดโปงอาชญากรและลากมันออกมาสู่ความยุติธรรม”
เลขาหนุ่มมองไปยังห้องที่เชื่อมต่อกัน “นักฆ่าถูกจับได้แล้ว หลังจากที่เขาฆ่าประธาน เขาถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยจับได้ที่ชั้นล่าง ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่ที่ห้องข้างๆ ตอนที่ผมส่งรูปเขาไปให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ดูเหมือนว่าข้อมูลรอยนิ้วมือของเขาจะตรงกับรอยนิ้วมือที่อยู่บนเสื้อของประธาน”
“ว่าไงนะ?” ฟุคุซาว่าเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เขายังอยู่ในห้องงั้นหรอ?”
“เหมือนว่าเขาจะยอมแพ้แล้วก็เงียบอยู่อย่างนั้น เงียบจนนึกว่าเขาหลับในอยู่เลยล่ะ”
เหตุผลที่ฟุคุซาว่าแปลกใจคือ การก่อเหตุลอบสังหารจากนักฆ่าในโยโกฮาม่านั้นไม่เหมือนในเมืองอื่นๆ ตั้งแต่สงครามโลกจบลง ในเมืองโยโกฮาม่าที่แสนอันตรายนี้มีกำลังทหารมากมายเข้ามาประจำการอยู่ พวกเขาใช้ข้ออ้างจากหลักการปกครองเพื่อถือสิทธิภาพนอกอาณาเขต พวกเขาใช้ความรุนแรงสร้างเขตการปกครองอิสระขึ้นมาเพื่อรุกรานพื้นที่ของโยโกฮาม่า ด้วยเหตุนี้เอง โยโกฮาม่าจึงเต็มไปด้วยพื้นที่ที่ไม่ถูกปกครองด้วยกฎหมาย ถึงแม้ว่าตำรวจจะออกคำสั่งกับเหล่าตำรวจในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจติดอาวุธ ตำรวจชายฝั่งหรือแผนกอื่นๆ พวกเขาไร้ซึ่งอำนาจโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้โยโกฮาม่าเปรียบได้กับสวรรค์ของอาชญากร ขุมพลังขององค์กรใต้ดิน สินค้าผิดกฎหมายจากต่างประเทศ เหล่าผู้ก่อการร้ายและฆาตกร
รวมไปถึงผู้ใช้พลังพิเศษ
ถึงแม้ฟุคุซาว่าจะไม่ได้พบกับฆาตกรมืออาชีพทุกวัน แต่เขาก็ยังมีความคิดว่า มีความเป็นไปได้ที่การลอบสังการครั้งนี้เป็นฝีมือของผู้ใช้พลังพิเศษ
ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่มนุษย์ผู้ครอบครองพลังพิเศษยังมีอยู่ โดยปกติแล้วทุกคนมีโอกาสที่จะได้เดินสวนกับผู้ใช้พลังพิเศษในทุกๆวัน แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนส่วนมากก็ปฏิบัติกับคนเหล่านั้นราวกับเป็นตำนานที่มีชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับฟุคุซาว่าผู้มีหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดปกป้องบุคคลสำคัญ ผู้ใช้พลังพิเศษรวมถึงอาชญากรรมที่ก่อโดยผู้ใช้พลังพิเศษถือเป็นเรื่องอันคุ้นเคยสำหรับเขา
ถึงฟุคุซาว่าจะเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะป้องกันตัว เขาก็ไม่ใช่ผู้ใช้พลังพิเศษ
เวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่ามืออาชีพที่มักจะข้องเกี่ยวกับการลอบสังหาร การที่เขาจะได้เปรียบในการต่อสู้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจของเขาคือความคิดที่ว่านักลอบสังหารคนนี้จะเป็นผู้ใช้พลังพิเศษ และหากเขาเป็น เขาก็ไม่มีทางที่จะจนมุมโดยการถูกจับมัดด้วยเชือก เหมือนกับว่าตอนนี้มีระเบิดเวลาถูกติดตั้งอยู่ที่อีกห้อง
“ผมอยากพบเขา”
“ได้ครับ เชิญเลย”
ฟุคุซาว่ากำลังจะก้าวขาไปที่ประตูแต่เขากลับหยุดนิ่ง
“คุณบอกว่าเชิญเลย แต่..”
ที่ตรงนั้นไม่มีพื้นที่ให้เขายืน นี่ไม่ใช่คำอุปมาด้วยซ้ำ เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพื้นเบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยกองเอกสาร หากจะให้ข้ามผ่านตรงนั้นไปได้คงจะต้องใช้เครื่องจักรช่วยยกให้ผ่านกองภูเขาเอกสารเข้าไป
“คุณโอเครึเปล่าถ้าผมจะรื้อมัน?” ฟุคุซาว่าถามและชี้ไปยังเอกสาร แต่อย่างไรก็ตาม––
“อาา ได้โปรดอย่าแตะมันนะครับ!” เลขาหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอันดังเป็นครั้งแรก “คุณห้ามทำอย่างนั้น เอกสารตรงนั้นเป็นเอกสารการเงินที่สำคัญมาก แค่น้ำหมึกหยดเลอะแค่หยดเดียวก็หายนะแล้วครับ ได้โปรดอย่าไปแตะต้องหรือย้ายที่มันเด็ดขาด คนมีฝีมืออย่างคุณฟุคุซาว่าน่าจะทำได้อยู่แล้วนะครับ”
ไม่เกี่ยวกับว่าทำได้หรือไม่ได้ ฟุคุซาว่ามีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่กายกรรม ไม่ว่าจะมองยังไง พื้นเบื้องหน้าของเขาก็เหลือที่น้อยเกินกว่าที่เขาจะวางเท้าของตัวเองลงไปได้
“เอาเถอะ ผมมีคำถาม.. ทำไมเอกสารพวกนี้ถึงกองอยู่เต็มพื้นไปหมด?”
“อ่า.. เป็นคำถามที่เข้าใจง่ายนะครับ ผมคิดว่าความตั้งใจของนักฆ่าคือการทำลายเอกสารสำคัญ เขาแทรกซึมเข้ามาเพื่อทำลายบริษัท เมื่อท่านประธานมาเห็น เขาจึงฆ่าเพื่อผิดปากเธอ นั่นเป็นการอนุมานของผม ซึ่งผมกำลังตรวจสอบมันอยู่”
ใช่แล้ว การที่จะลอบสังหารนั้น ห้องทำงานของประธานไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมเท่าไหร่ เมื่อมีคนน่าสงสัยเข้ามา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะสังเกตเห็นได้ แต่ถ้าหากจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การปลิดชีวิตประธานสาวแต่เป็นเอกสารภายในห้องนี้ เหตุผลก็ลงตัว ฟุคุซาว่าเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเลขาคนนั้นถึงอยากจะรีบตรวจสอบเอกสารนเร็วขนาดนี้หากไม่มีเหตุผลเป็นการหาแรงจูงใจของคนร้าย
“แล้วถ้าจะเอาเอกสารพวกนี้กลับไปวางคืนบนชั้นวางล่ะ
“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกันครับ” เขาส่ายหัว “เอกสารทุกฉบับในห้องนี้ถูกจัดวางอย่างมีระบบ และตัวระบบนี้ก็เป็นวิธีการสำคัญที่จะสามารถมองทะลุแผนการของคนร้ายได้ เอกสารจัดเรียงตามวันที่ แผนก ความสำคัญ.. ห้องๆนี้เป็นบัญชีรายชื่อ ก่อนที่ผมจะถูกเรียกตัวจากท่านประธาน ผมเรียนรู้ความสามารถนี้จะบริษัทเก่า นอกเหนือจากผมก็ไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้ การจัดวางเอกสารกลับบนชั้นก็มีระบบของมันอยู่เหมือนกัน และถ้าหากระบบนี้ถูกรบกวนล่ะก็ การหาความจริงของการฆาตกรรมก็จะห่างไกลออกไปทุกที”
ฟุคุซาว่าทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
แต่ท่าทางของเลขาหนุ่มก็เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากสาเหตุทั้งหมดนั้น การที่ฟุคุซาว่าเคลื่อนไหวก่อนได้รับอนุญาตทำให้เขาไม่พอใจเท่าไหร่ จากองค์ประกอบภายนอก เลขาหนุ่มคือมือใหม่ในการทำงานบริษัท เขาไม่มีทางที่จะเป็นผู้นำขององค์กรและจัดการกับบุคลากรได้ ถ้าหากเบื้องบนว่าอย่างไร เขาก็ต้องทำอย่างนั้น
ในตอนแรกฟุคุซาว่าไม่มีความรู้สึกที่อยากจะคัดค้าน เขาเป็นคนที่ทำผิดพลาดในตอนแรกเริ่ม ในฐานะบอดี้การ์ด ถ้าหากเขารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยและปกป้องประธานสาวได้เหตุการณ์คงไม่ลงเอยด้วยหายนะเช่นนี้ และถ้าหากเป็นเช่นนั้น เลขานุการคนนี้คงไม่ต้องพยายามที่จะจัดเรียงเอกสารและตรวจสอบมันด้วยท่าทางอันเศร้าสร้อย เลขาหนุ่มกำลังปฎิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง ฟุคุซาว่าเองก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อให้ลุล่วงเช่นกัน
หากประมาณด้วยสายตา ระยะทางจากตรงนี้และประตูห่างกันราวห้าก้าว ด้วยกล้ามเนื้อขาที่ได้รับการฝึกฝนมาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะใช้เพียงแค่สองก้าว ก้าวแรกคือพื้นที่ตรงกลางและอีกก้าวคือหน้าประตู เขาจำเป็นต้องใช้แรงทั้งหมด ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเอกสารอันแสนสำคัญต้องร่วงลงมาแน่ ในฐานะบอดี้การ์ดแล้ว นั่นถือเป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างมาก
ฟุคุซาว่าก้าวถอยหลังไปยังทางเข้าห้องทำงานเพื่อรวบรวมพลัง เขาออกตัวหลังจากวิ่งเหยาะๆอยู่ซักพักหนึ่ง
ก้าวแรกของเขาวางลงบนชั้นของที่ว่างหนังสือที่ถูกฝังอยู่บนกำแพง ก่อนที่จะใช้แรงส่งจากการก้าวขาครั้งแรกเพื่อกระโดดอีกครั้งหนึ่ง
เขาวางมือทั้งสองข้างลงบนเก้าอี้สำหรับแขกที่วางอยู่ใกล้กับประตู ปลายเท้าของเขาแตะพื้นและหยุดนิ่ง เขาใช้มือเพียงข้างเดียวเพื่อทรงตัวจากการกระโดดโดยที่ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ถือว่าหาได้ยากแม้กระทั่งในหมู่ยอดฝีมือด้วยกัน
เขาวางปลายนิ้วเท้าของตนลงบนพื้นที่ว่างระหว่างเอกสารสองกองและขาเก้าอี้และยืดตัวไปที่ประตูเพื่อช่วยให้ขาและแขนของเขาทรงตัวได้ดียิ่งขึ้น
เขาใช้เทคนิคจากวิชายูโดโดยอาศัยความพริ้วไหวเอื้อมไปแตะลูกบิดประตูและบิดมันโดยใช้เพียงแค่ปลายนิ้ว
หลังจากที่เปิดประตูได้แล้ว เขาอาศัยลูกบิดประตูเป็นตัวช่วยพยุงและกระโดดจากเก้าอี้ เขากระโจนผ่านช่องแคบเล็กๆและวางเท้าลงบนพื้นห้องอย่างพอดิบพอดี ฟุคุซาว่าป้องกันไม่ให้ตัวเองหงายไปด้านหลังด้วยการจับขอบประตูเอาไว้ด้วยปลายนิ้ว
และแล้วฟุคุซาว่าก็สามารถเข้าไปยังห้องที่เชื่อมติดกันได้โดยไม่ได้แตะเอกสารซักฉบับ
“โอ้” เลขาคนนั้นอุทานออกมา
ไม่เห็นมีเรื่องที่น่าประหลาดใจ ฟุคุซาว่าคิด ขณะที่เขาเหยียบลงบนเก้าอี้นั้นฟุคุซาว่ารู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ถ้าหากเขาเกิดทำเรื่องเล็กน้อยขนาดนี้ผิดพลาดขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นฟุคุซาว่าผู้ที่ไม่สนใจกับเสียงวิพากย์วิจารณ์ของคนอื่นก็คงรู้สึกรำคาญใจไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไปถึงห้องที่เชื่อมกันได้อย่างราบรื่น เขาเปิดประตูเข้าไปด้านในและมองไปยังนักฆ่า
เขานั่งอยู่ตรงนั้น
ชายคนนั้นตัวเล็กกว่าที่คิด ไหล่ของเขาแคบ มือทั้งสองข้างถูกจับมัดไพล่ไปด้านหลัง ขาทั้งสองข้างถูกผูกไว้กับเก้าอี้ ฟุคุซาว่าไม่เห็นหน้าของเขาเพราะถุงคลุมศีรษะสีดำถูกคลุมลงมาปิดหน้าจนหมด
ลืมเรื่องการขัดขืนหรือหลบหนีไปได้เลย การถูกมัดไว้แบบนี้แม้แต่การจะยกมือขึ้นมาเกาจมูกเขาก็ยังทำไม่ได้ เชือกที่มัดเขาอยู่มีส่วนผสมของเหล็ก อย่าว่าแต่ชายนักฆ่าร่างเล็กคนนี้ แม้แต่ยอดมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะแหกพันธนาการของมันออกมาได้
เสื้อที่เขาสวมเป็นเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงของหนุ่มออฟฟิศและรองเท้าหนัง โดยรวมแล้วไม่เหมือนเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการต่อสู้ ภาพลักษณ์ของเขาเป็นแค่อาชญากรธรรมดาที่มีดีแค่การแทรกซึมเข้าไปในอาคารและทำตัวกลมกลืนไปกับคนอื่นๆ
ผู้รักษาความปลอดภัยทั่วไปคงคิดแบบนั้น
แต่ฟุคุซาว่ามีความคิดที่ต่างออกไป
ห้องนี้เป็นห้องรับรองธรรมดา ไม่มีสิ่งใดในห้องนอกจากชั้นหนังสือ โต๊ะสำหรับการสอบปากคำและภาพแขวนบนผนัง ฟุคุซาว่าเดินไปรอบห้องพร้อมเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาอย่างตั้งใจ
ตอนที่ฟุคุซาว่าเข้ามาในห้อง ศีรษะของนักฆ่าผู้นี้ขยับเล็กน้อย หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า เขาไม่ได้หลับอยู่
ฟุคุซาว่าเดินไปยังผนังด้านหลังของเขาและใช้ฝ่ามือตบผนังจนเกิดเสียงดัง
นักฆ่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาไม่ได้ตั้งการ์ดหรือหันมามอง มีเพียงแค่ความสงบนิ่ง เป็นเพราะถุงผ้าที่ถูกครอบอยู่บนศีรษะเขาจึงไม่สามารถหันมามองได้
ชายคนนี้มีฝีมือมาก
นั่นเป็นสัญชาตญาณของฟุคุซาว่า
เป็นเพราะอาชีพรักษาความปลอดภัยของฟุคุซาว่าทำให้เขามีข้อมูลของศัตรูอย่างนักฆ่ามากกว่าคนอื่นๆ ความสามารถและวิธีการของนักฆ่าเปลี่ยนแปลงได้เสมอ พวกเขามันจะโจมตีด้วยอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะและความสามารถที่ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ ต่างจากฟุคุซาว่าที่มักเป็นฝ่ายตั้งรับ ด้วยเหตุผลนั้นทำให้เขามักจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับกลวิธีและความสามารถพิเศษของเหล่านักฆ่าที่มีชื่อเสียงและควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เขามักจะเก็บข้อมูลอยู่เสมอเพื่อการรับมือกับการโจมตีที่คาดไม่ถึง
ฟุคุซาว่ามองสำรวจชายตรงหน้า เขาไม่สามารถคาดเดาชื่อหรือพลังพิเศษจากข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาและเขาก็ไม่สามารถมองเห็นจุดสังเกตใดๆที่บ่งบอกว่าชายคนนี้เป็นผู้ใช้พลังพิเศษ
ฟุคุซาว่ามองไปยังโต๊ะที่มุมห้อง ข้าวของของนักฆ่าผู้นี้ถูกวางอยู่ตรงนั้น
ปืนสองกระบอกและซองใส่ถูกใช้มาอย่างโชกโชนแต่ก็ถูกดูแลเป็นอย่างดี ข้างๆกันนั้นมีเหรียญและลวดสำหรับสะเดาะกลอนวางอยู่ ฟุคุซาว่าหันไปมองนักฆ่าร่างเล็กอีกครั้ง เขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด โดยปกติแล้วคนที่นั่งอยู่กับที่นานๆมักจะขยับตัวเล็กน้อยแต่ชายคนนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาดูสุขุมเกินไปสำหรับคนที่ถูกจับมัดและถูกปิดตาอยู่
ฟุคุซาว่าหยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาและถอดปลอกของมันออก เขาใช้ปากกาขีดเส้นตรงลงบนกระดาษโน้ต หมึกของมันยังไม่แห้งสนิท
ฟุคุซาว่าเหน็บปากกาหมึกซึมลงที่เอวด้านซ้าย เขาถือปากกาด้วยมือขวาและแนบปลอกปากกาในมือซ้ายลงที่ข้างเอว
เขาแยกขาออกกว้างเท่าช่วงไหล่ในตำแหน่งฮิโตะเอะ โนะ มิ มือทั้งสองข้างแนบอยู่ข้างเอวก่อนที่จะใช้ตำแหน่งฮันมิ จากนั้นฟุคุซาว่าหยุดนิ่ง เขาเห็นว่านักฆ่าที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเมื่อชั่วครู่กลับตัวแข็งทื่อ หลังจากที่ฟุคุซาว่าปรับลมหายใจ เขาก้าวเท้าขวาไปด้านหน้าและดึงปากกาหมึกซึมออกมาพร้อมจิตสังหารอันแรงกล้า
เพียงแค่หนึ่งฝีเก้า
นักฆ่ากระโดดโหยงทั้งๆที่ยังถูกมัดไว้กับเก้าอี้จนเสียงดังก้องไปทั่วห้อง
หลังจากมองไปยังอีกฝ่ายที่อยู่บนพื้น ฟุคุซาว่าก้าวขากลับและเหน็บปากกาหมึกซึมกลับที่เอวราวกับนักดาบที่เก็บอาวุธเข้าฝัก
“ไม่ต้องห่วง มันเป็นแค่ปากกา”
ฟุคุซาว่าปิดปลอกปากกาและวางมันลงบนโต๊ะ
อีกฝ่ายคู้ตัวอยู่บนพื้น
ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนตามทีเขาคิด อีกฝ่ายไม่สามารถมองผ่านถุงผ้าได้ ถ้าหากเขาทำได้ เขาคงไม่ต้องกระโดดไปไกลเพื่อหลบการโจมตีของฟุคุซาว่า แต่เมื่อฟุคุซาว่าตบกำแพงที่อยู่ในระยะใกล้ เขากลับไม่แสดงความวิตกออกมาแม้แต่น้อย แล้วความแตกต่างของสองครั้งนี้คืออะไรล่ะ
ชายคนนี้อ่านจิตสังหารของฟุคุซาว่า
ฟุคุซาว่าตั้งใจปล่อยจิตสังหารออกมาขณะที่วาดปากกาหมึกซึมไปด้านหน้า เขาสัมผัสได้และกระโจนหลบไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี
เหตุการณ์นี้สามารถสรุปได้ว่าเขาไม่ใช่นักฆ่าทั่วไป เขาจะไม่มีการตอบสนองเช่นนี้หากไม่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน มีเพียงแค่กลุ่มคนเพียงหยิบมือที่จะจ้างนักฆ่าระดับนี้ถึงแม้จะเป็นในเมืองโยโกฮาม่าที่เต็มไปด้วยพลังพิเศษอันแปลกประหลาดและองค์กรอาชญากรรมที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป เขาเป็นนักฆ่าที๋มีความสามารถอันโดดเด่น ไม่มีทางทำภารกิจพลาดและสามารถฆ่าเป้าหมายได้ง่ายราวกับการหายใจ ค่าจ้างวานเขาในแต่ละครั้งคงสูงลิ่วจนทำให้ลูกตาของผู้ว่าจ้างหลุดออกมาจากเบ้า
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคำถามหลงเหลืออยู่
สำหรับนักฆ่าที่มีฝีมือในการกำจัดเป้าหมาย การผลักประธานสาวลงมาจากหน้าต่างด้วยมือเปล่าและถูกจับได้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในขณะหลบหนี เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรือ
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” เลขานุการเอ่ยถามจากห้องของทำงานของประธานที่อยู่ถัดไป
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฟุคุซาว่าเอ่ยตอบ “คุณเรียกผมมาที่นี่เพื่อคนๆนี้หรอ”
“ผมเรียกคุณมาเพื่อให้คุณไปกับเขาตอนที่มีการส่งตัว” เลขานุการเอ่ยตอบ “อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละครับ เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลยแล้วก็เอาแต่เงียบอยู่อย่างนั้น ผมอยากส่งเขาไปที่สถานีตำรวจแต่ดูเหมือนว่าพวกตำรวจจะมีคนไม่พอและสามารถส่งคนมาได้แค่สองคนเท่านั้น คุณคิดว่ายังไงครับ? ตำรวจแค่สองคนจะพอสำหรับการควบคุมตัวเขารึเปล่า”
“นั่นคงเป็นไปไม่ได้” ฟุคุซาว่าเอ่ยทันที
การตัดสินใจของเลขานุการเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขณะนี้ยังปลอดภัยที่จะอยู่ใกล้กับนักฆ่าเพราะเขาถูกจับมัดอยู่ แต่เมื่อผ้าปิดตาของเขาถูกถอดออกสำหรับการส่งตัว ตำรวจเพียงแค่สองคนคงถูกปลิดชีวิตในอึดใจเดียว การเรียกฟุคุซาว่ามาที่นี่จึงเป็นเรื่องที่ฉลาด
และถือเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับฟุคุซาว่าที่ปล่อยให้ประธานสาวถูกลอบสังหารใต้จมูกของตนเอง นอกจากการล้างแค้นแล้ว ถ้าหากเขาสามารถควบคุมตัวนักฆ่าคนนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ อย่างน้อยภารกิจของเขาก็ได้เติมเต็มในระดับหนึ่ง
“ชายคนนี้กำลังหาจังหวะในการหลบหนีอยู่ การส่งตัวเขาตอนนี้คงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด” ฟุคุซาว่าเอ่ย “ผมจะพาเขาออกจากห้องนี้ ได้ใช่ไหม?”
“ครับ ไม่มีปัญหา” เลขานุการยิ้มตอบ “แต่ว่า.. อย่าเหยียบกองเอกสารนะครับ”
“……”
“……”
นั่น– คงจะเป็นไปไม่ได้
ฟุคุซาว่ามีสีหน้านิ่งเรียบ เขาภาวนาอยู่ในใจให้เลขานุการหนุ่มเตรียมทางออกเอาไว้ให้และในขณะนั้นเอง–


“ขออนุญาตครับ!”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นนั้นแสนสดใส
เมื่อฟุคุซาว่าหันไปมอง เขาพบเด็กชายคนนึงยืนอยู่หน้าทางเข้าของห้องทำงานของประธานสาว
เด็กคนนั้นมีอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปี เขาสวมหมวกนักเรียนและผ้าคลุมเพื่อป้องกันความหนาว ทรงผมสั้นของเขาถูกตัดอย่างลวกๆ เด็กชายคนนั้นถือซองเก่าๆสำหรับใส่เอกสาร ดวงตาทรงรีที่มีหางตาชี้ขึ้นและขนตางอนยาวทำให้ฟุคุซาว่ารู้สึกประทับใจ
“อ๋าา วันนี้ลมแรงมากๆเลยล่ะ! แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ นี่ คุณทำอะไรซักอย่างกับทำเลของบริษัทนี้หน่อยไม่ได้หรอ ใกล้ๆทะเลแบบนี้เหม็นกลิ่นเกลือชะมัด ถนนก็ชันแถมยังจำทางยากอีกต่างหาก ประธานควรจะทำอะไรซักอย่างจริงๆนะ! นี่ไงล่ะ เหตุผลที่โยโกฮาม่าถึงไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่ แล้วนกนางนวลที่ผมเจอระหว่างทางก็ยังน่าขยะแขยงอีกต่างหาก ผมถึงกับโยนข้าวปั้นให้มันแบบไม่ต้องคิดเลยล่ะเพราะว่ามันน่าขยะแขยงสุดๆ”
เด็กชายเอ่ยคำพูดทั้งหมดออกมาในรวดเดียว
พร้อมรอยยิ้ม
เขายืนอยู่ที่หน้าห้องของประธาน
“หา?” เลขานุการส่งเสียงงงๆออกมา คงเป็นเพราะว่าเขาพูดอะไรไม่ออก
“แค่ ‘หา’ เองหรอ นั่นนกนางนวลนะ นกนางนวล! คุณไม่รู้จักหรอ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีขนไงล่ะ ชาติที่แล้วมันคงทำอะไรแย่ๆเอาไว้แน่ ถ้าเกิดคุณมองดีๆ คุณจะเห็นความบ้าคลั่งในตาของพวกมันอย่างชัดเจนเลยล่ะ แต่เอาเถอะ เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า ผมกินข้าวปั้นไปแค่ก้อนเดียวเอง ตอนนี้ชักจะหิวแล้วล่ะ คุณมีอะไรให้กินบ้างรึเปล่า?”
“ครับ? ไม่สิ ผมหมายถึง อะไรนะครับ?”
เลขานุการหนุ่มมีเครื่องหมายคำถามสองอันอยู่บนหน้าผาก ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกอย่างนั้น
เด็กชายผู้สวมหมวกนักเรียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่เมื่อเขามองเข้ามาในห้องเขาก็เงียบลงทันที ดวงตาเรียวเล็กของเขาหรี่ลงกว่าเดิม
“หืม.. นี่มันเลวร้ายจริงๆ”
ณ ตอนนั้นเองฟุคุซาว่าก็ฉุกคิดได้ เด็กชายคนนี้เป็นใคร เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผมสินะ ว่าแต่คุณช่วยหยิบกระดาษนั่นให้ผมหน่อยสิ อ๋าา มันอยู่ในกองนั้นหรอ ผมต้องหาใช่ไหม ยุ่งยากจังเลยแฮะ งั้นตอนว่างๆคุณช่วยหามันให้ผมหน่อยสิคุณเลขา เพราะผมไม่มีความสนใจกับรอยนิ้วมือในห้องนี้เลยซักนิด”
เขาพูดอะไรบางอย่างที่น่างุนงงและชวนให้สับสนอย่างที่สุด ฆ่าเวลา? รอยนิ้วมือ?
ไวเท่าความคิด เด็กชายเดินไปยังกองเอกสารที่อยู่ตรงกลางห้อง
ก่อนที่เท้าของเขาจะเหยียบลงบนเอกสารแผ่นที่ใกล้ที่สุด เอกสารแผ่นนั้นคือเอกสารทางธุรกิจที่มีตราประทับของบริษัทหลายแห่ง เสียงของเลขานุการดังขึ้นทันที
“หวาา! เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยว หยุดเลย เธอรู้รึเปล่าว่าเอกสารแผ่นนั้นใช้เวลากี่ปีถึงจะได้ตราประทับทั้งหมดนั่นมา”
เด็กชายมองมายังเลขานุการด้วยสายตาว่างเปล่า
“ไม่ล่ะ” จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าต่อ
“หวา! หยุดตรงนั้นเลยนะครับ” เลขานุการหนุ่มฉวยกระดาษเอกสารเอาไว้พร้อมร้องเสียงหลง เท้าของเด็กชายเหยียบลงบนที่ที่เอกสารแผ่นนั้นเคยวางอยู่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนหน้า
“เห็นไหม ถ้าคุณจะทำก็ทำได้นี่” เขาเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มสดใส
“เธอ… เธอเป็นใครกันน่ะ! ถึงจะเพิ่งผ่านช่วงวิกฤตมาแต่ที่นี่คือห้องทำงานของประธาน บุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้”
“ผมรู้น่า” เด็กชายพยักหน้า “ผมเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตนะ ผมได้ยินมาว่ามันนี้จะมีการสัมภาษณ์ แค่มองผมคุณก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรอ”
สัมภาษณ์?
“เอ๋.. หา? เธอมารับการสัมภาษณ์หรอ อ่า.. ใช่แล้ว ผมจำได้แล้วว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินประธานพูดเกี่ยวกับการสัมภาษณ์เด็กฝึกงานอยู่”
เด็กฝึกงาน? เด็กชายที่ไม่ฟังใครหน้าไหนเลยเนี่ยน่ะหรอ
เด็กชายบอกว่า เพียงแค่มองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ฟุคุซาว่าไม่เข้าใจเลยซักนิด เขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กปีศาจที่กำลังตามหลอกหลอนประธานบริษัทอยู่และตอนนี้ในเมื่อประธานสาวเสียชีวิตแล้ว เขาจึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อเรียกหาเงินค่าเลี้ยงดู


นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กคนนี้มาที่นี่
จากที่ฟุคุซาว่าเห็น เด็กชายและเลขานุการกำลังเถียงกันไม่หยุดอยู่ใกล้ประตูทางเข้า เขาอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยแต่ติดที่ว่าเขายืนอยู่ที่ประตูของห้องที่เชื่อมกันซึ่งมีระยะห่างจากหน้าทางเข้าพอสมควรจึงทำได้เพียงยืนมองภูเขาเอกสารที่กองอยู่เงียบๆ
“ฮ้าา ถึงกับทำให้มันระเกะระกะขนาดนี้เนี่ยนะ… ถึงคุณจะไม่อยากให้ห้องนี้โดนตรวจสอบมากขนาดนั้นก็เถอะ.. จริงๆเลยนา พวกผู้ใหญ่นี่เข้าใจยากจริงๆ โลกนี้มีแต่คนที่เข้าใจยากอยู่เต็มไปหมด!”
“อะ อย่าพูดอะไรแปลกๆแบบนั้นสิ!” เลขานุการพูดเสียงหลง ในตอนนั้นเอง ฟุคุซาว่าคิดว่าท่าทางของเลขานุการตัวซีดคนนี้เริ่มจะประหม่าขึ้นมาทีละน้อย
“ผมเข้าใจว่าเธอมาทำอะไรที่นี่” เลขานุการเอ่ยต่อ ”แต่สถานการณ์ตอนนี้น่ะไม่เป็นใจซักเท่าไหร่ ประธานเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยฝีมือของนักฆ่า เพราะอย่างนั้นการสัมภาษณ์จึงถูกหยุดไว้ก่อน ผมต้องรายงานความเสียหายต่อเบื้องบนก่อนที่ผมจะทำการส่งตัวผู้ต้องสงสัย เพราะอย่างนั้นช่วยกลับไปก่อนเถอะ”
“ผมก็เลยบอกว่าผมรู้อยู่แล้วไงล่ะ” เด็กชายยู่ปากด้วยความไม่พอใจ “ทำไมคุณถึงเอาแต่อธิบายเรื่องที่มันน่าจะเข้าใจได้ตั้งแต่การมองเห็นครั้งแรกกันนะ ผมมาที่นี่เพื่อมาเอาจดหมายตอบรับสำหรับการเข้าร่วมการสัมภาษณ์ คุณรู้ใช่ไหม?”
“จดหมายตอบรับ อ่า จดหมายตอบรับที่ทางรัฐบาลส่งมาเพื่อยืนยันการเข้าร่วมการสมัครงานสินะ”
ดูเหมือนว่าการหางานของเด็กชายได้รับกาสนับสนุนจากรัฐบาล หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ปัญหาการว่างงานและอาชณากรรมที่เกิดจากยุวชนดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเมืองนี้ รัฐบาลได้ทำการรับมือปัญหาการว่างงานโดยการสนับสนุนการหางานสำหรับผู้เยาว์ และเด็กคนนี้น่าจะเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย เขาต้องนำเอกสารการตอบรับไปส่งให้กับรัฐบาลเพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเงิน และเขาต้องได้รับเอกสารนั้นจากประธานเท่านั้น
“ผมคิดว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้นะ..” เด็กชายมองไปรอบห้อง
“ยุ่งยากจัง นี่คุณเลขา คุณช่วยจัดการเอากองเอกสารพวกนี้ออกไปหน่อยไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้ครับ” เลขานุการหนุ่มเอ่ย “หลักการของการจัดวางนี้ก็เพื่อที่จะหาวัตถุประสงค์ของคนร้าย นอกจากผม ไม่มีคนอื่นในบริษัท..”
“เห~”
ถึงแม้เด็กชายจะพยักหน้าตอบรับแต่เขาก็ไม่ได้ฟังที่เลขานุการหนุ่มพูดเลยซักนิด เขาก้มลงหยิบเอกสารที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาและเคลียร์ทางเดินโดยการโยนเอกสารทั้งหมดไปไว้ที่สองข้างทาง
“อ๊าาา!” เลขานุการหนุ่มร้องราวกับโดนน้ำร้อนลวก “หยุด หยุดตรงนั้นเลยครับ ผมไม่อนุญาตให้คุณแตะต้องเอกสารพวกนั้นเด็ดขาด ผมใช้เวลากับมันไปตั้งห้าชั่วโมงเชียวนะ!”
“แต่ผมก็ต้องหาเอกสารของผมเหมือนกันนี่นา”
“ถ้างั้นก็ลงไปรอเงียบๆข้างล่างเถอะครับ ผมจะหามันให้ทีหลัง”
“โกหกอีกแล้วนะ” เด็กชายเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก ผมหาเอง แค่วินาทีเดียวก็เหลือเฟือแล้วล่ะ”
วินาทีเดียว? ในห้องนี้มีกองเอกสารเป็นร้อยแผ่นกองอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตรวจสอบทั้งหมดนั้นจนหมดภายในครั้งเดียว เขาจะหาเอกสารแผ่นนั้นเจอในวินาทีเดียวได้ยังไง
“นี่เป็นหน้าต่างที่ประธานตกลงไปสินะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เด็กชายคนนั้นเดินไปหยุดยืนที่ริมหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก
เลขานุการหนุ่มจัดเรียงเอกสารใหม่ด้วยความรีบร้อน เอกสารกว่าหนึ่งในสิบของห้องกระจัดกระจายไปทั่วด้วยผีมือของเด็กหนุ่ม ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากในการทำให้กองเอกสารกลับมาในสภาพเดิม
“เจ้าหนู” ฟุคุซาว่าเอ่ย “นายหาจะหาเอกสารแผ่นเดียวเจอจากกองกระดาษพวกนี้ได้ยังไง”
“เอ๋ ตาแก่ พูดได้ด้วยหรอ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “ผมคิดว่าคุณเป็นใบ้ซะอีกเพราะว่าคุณเอาแต่ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้น นี่ไง เอกสารที่ผมตามหาอยู่น่ะเป็นของรัฐบาล เพราะอย่างนั้นกระดาษจะหนากว่าเอกสารทั่วไป”
ตาแก่…...
ฟุคุซาว่าอยากจะย้อนไปว่าเขาเพิ่งจะสามสิบสอง แต่สิ่งที่เด็กคนนี้พูดกลับสะกิดใจเขาไม่น้อย ฟุคุซาว่าขมวดคิ้ว กระดาษหนา? ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าเด็กหนุ่มสามารถแยกแยะมันออกได้ง่ายๆจากลักษณะภายนอก แต่แค่นั้นจะพอหรอ? เขาคิดว่าการหาเอกสารแผ่นเดียวจากกระดาษกองมหึมาจะต้องใช้แรงงานและความอดทนมากกว่านี้เสียอีก
ตอนนั้นเองที่ฟุคุซาว่าเพิ่งสังเกตเห็นบางอย่าง มือของเด็กชายคนนั้นวางแนบลงบนหน้าต่าง ก่อนที่จะผลักมันให้เปิดออก
ท้องฟ้าสดใสปรากฏให้เห็น
และถ้าเขาจำไม่ผิด วันนี้เป็นวันที่ลมแรงมาก
“เอาล่ะ~ ได้เวลาสนุกแล้ว!” เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมเปิดหน้าต่างให้อ้าออกจนสุด
และตอนนั้นเอง เอกสารทั้งหมดก็ปลิวว่อนไปทั่วห้องราวกับมีชีวิต
“หวาาาาาาา!?”
แผ่นสีขาวกระดาษกระจัดกระจายไปทั่วห้องราวกับนกที่กำลังกระพือปีก สายลมที่เย็นและแรงทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แต่ภาพที่เกิดขึ้นนั้นราวกับมีเวทมนตร์
“ทะ ทะ ทะ ทำอะไรของเธอน่ะ!”
“โอ้! นี่ไง อยู่นี่”
เด็กชายหยิบเอกสารจากบนโต๊ะ มันเป็นเอกสารแผ่นเดียวที่ไม่ถูกลมพัดจนปลิวเพราะความหนาและหนักของกระดาษ และนั่นเป็นเหตุผลที่เด็กชายเปิดหน้าต่าง ถึงแม้จะไม่สมควรนักแต่ฟุคุซาว่าก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมไม่ได้
“อยู่นี่ของเธอหมายความว่าอะไรน่ะ อ๊าาา! นี่ผมต้องตรวจสอบเอกสารทั้งหมดใหม่อีกแล้วหรอ” เลขานุการทึ้งหัวตัวเองและเริ่มสติแตก
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่มีความวิตกเลยซักนิด เขายิ้มกว้างและเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่มีเอกสารฉบับไหนหายไปหรอก”
ราวกับว่าอุณหภูมิในห้องลดฮวบลง
“หา–?”
เลขานุการหนุ่มหันกลับมาก่อนที่เด็กชายจะพูดต่อ
“เพราะไม่มีเอกสารถูกขโมยไปเลยยังไงล่ะ อีกอย่าง นักฆ่าก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าประธานด้วย จริงๆแล้วคุณคือคนที่ฆ่าเธอ ใช่ไหม คุณเลขานุการ?”
“หา?”
เลขาหนุ่มอ้าปากค้างพร้อมเอียงศีรษะจนแทบตั้งฉากกับพื้นห้อง
“หา?”
“ทำไมต้องพูดตั้งสามครั้งด้วยล่ะ ผมไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่เลยจริงๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าฆาตกรคือคุณเลขา คุณนักลอบสังหารที่ถูกใส่ร้ายก็อยู่ที่นี่ด้วยแต่ตาแก่นี่ก็ยังไม่ขยับตัวทำอะไรอยู่ดี นี่เป็นการละเลยหน้าที่ชัดๆ ถ้าคุณแม่ของผมอยู่ตรงนี้ คุณแม่คงจะจับคนร้ายมัดแล้วก็โยนลงหน้าต่างไปแล้วล่ะ!”
ฟุคุซาว่าไม่สามารถตามสถานการณ์ที่กลับตาลปัตรได้ เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะแสดงสีหน้าอะไรออกไป
นักฆ่าคนนั้นไม่ใช่คนที่สังหารประธานหรอ?
เลขาคนนี้คือคนร้ายตัวจริง?


“เป็นไปไม่ได้–”
ฟุคุซาว่าพูดออกมาแค่นั้นเพราะเขาก็ไม่สามารถสรรหาคำพูดอื่นได้ บางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่
นักฆ่าคนนั้นมีความสามารถในการใช้ปืนอย่างเยี่ยมยอดและยังมีความสามารถในการอ่านจิตสังหารของคู่ต่อสู้ในขณะที่ถูกปิดตาอยู่
สำหรับฝีมือระดับนั้น การผลักประธานสาวลงจากหน้าต่างด้วยมือเปล่าและทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้บนเสื้อผ้า มิหน้ำซ้ำยังถูกจับตัวได้เพราะหนีไม่ทันเนี่ยนะ
“ใช่ไหมล่ะตาแก่” ราวกับว่าฟุคุซาว่ากำลังโดนอ่านความคิด เด็กชายตรงหน้ายิ้มให้เขาด้วยความภูมิใจ
“ทะ ทำไมคุณถึงทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นล่ะครับฟุคุซาว่าซัง โยนเด็กคนนี้ออกไปสิครับ! ผมจะให้ค่าตอบแทนของคุณเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าเอกสารในห้องเละเทะไปมากกว่านี้ รายได้ของบริษัทก็คง–”
“เจ้าหนู ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจที่นายพูดหรอกนะ” ฟุคุซาว่าเอ่ยขึ้นหลังรวบรวมสติได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบและชัดถ้อยชัดคำ “แต่ลายนิ้วมือของนักฆ่าคนนั้นอยู่บนเสื้อของเหยื่อ รอยนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว นายจะอธิบายเรื่องนั้นยังไงล่ะ ถ้านายกล่าวหาเลขานุการคนนี้ว่าเป็นคนร้ายตัวจริงโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ถึงนายจะเป็นเด็กแต่ฉันก็จะไม่ปล่อยเอาไว้หรอกนะ ไหนลองอธิบายมาซิ”
“อีกแล้วหรอ? นี่มันอะไรกัน การทดสอบหรอ คุณจะให้ผมพูดทุกอย่างอีกรอบแล้วก็ให้คะแนนผมทีหลังงั้นสินะ? ให้ตายสิ ผมไม่เข้าใจเมืองนี้จริงๆ–”
“อธิบายมา”
ฟุคุซาว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น เขาเพียงแค่ต้องการแสดงถึงความจริงใจเท่านั้น
แต่แล้วจู่ๆบรรยากาศในห้องก็เย็นยะเยือกขึ้นมาโดยกระทันหัน ถ้าหากคนทั่วไปคงจะร้องไห้และวิ่งหนีไปเพราะน้ำเสียงเมื่อครู่ของเขา
“อา…. เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว” เด็กชายเอ่ยอย่างนอบน้อมพร้อมผิดหน้าต่างลง “ก่อนอื่นเลยคุณเลขาคงจะพูดว่า ‘ดูนั่นสิ ด้านล่างของหน้าต่างตรงนั้น’ แล้วก็พาประธานเดินไปที่หน้าต่าง จากนั้นเขาก็อาศัยจังหวะที่ประธานไม่ทันระวังตัว โครม! ผลักเจ้าหล่อนจากด้านหลังจนร่วงลงไปด้านล่าง”
“นี่มันอะไร...”
“ห้องนี้เข้าได้เฉพาะคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นไช่ไหม?” เด็กชายเอ่ยต่อและไม่สนใจเลขานุการหนุ่มที่กำลังโกรธอยู่ “ถึงนักฆ่าคนนั้นจะมีฝีมือขนาดไหนก็ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ประธานเดินไปที่หน้าต่างได้โดยที่หล่อนไม่สังเกตเห็นเพราะว่าประธานสามารถมองเห็นทางเข้าได้จากโต๊ะทำงาน และถ้าเขามีแรงพอจะบังคับให้ประธานเดินไปตรงนั้นได้– แบบนั้นมันก็แปลกที่พบรอยนิ้วมือจากการผลักประธานลงจากหน้าต่างเพียงอย่างเดียว แต่รอยนิ้วมือทั้งสิบถูกพบจากเสื้อผ้าของเธอใช่ไหมล่ะ ผมได้ยินตอนที่ผมรออยู่หน้าห้องน่ะ นั่นแปลว่าประธานไม่ได้ระวังตัวเลยจนถึงตอนที่เธอถูกผลักงงไป นั่นหมายความว่า..”
“ความขัดแย้งภายในสินะ” ฟุคุซาว่าเอ่ยต่อ
อะไรกัน– เด็กคนนี้
เขาสังเกตการณ์อย่างรอบคอบและฟังอย่างตั้งใจ ถึงเขาจะทำตัวเป็นม้าดีดกะโหลกไปซักหน่อยแต่ข้อมูลทุกอย่างก็ถูกประมวลอยู่ในสมองของเขา
แต่ถึงอย่างนั้น–
“ถ้าแค่นี้มันก็ยังไม่มีน้ำหนักพอ” ฟุคุซาว่าเอ่ย “หล่อนอาจจะบังเอิญเดินไปที่หน้าต่าง จากนั้นนักฆ่าก็ย่องมาจากด้านหลังและผลักหล่อนลงไป”
“ประธานจะเปิดหน้าต่างในวันที่ลมแรงขนาดนี้หรอ?” เด็กชายมุ่ยหน้า
…..มันก็จริง
“แต่ถ้าจะให้พิสูจน์ว่ามันเป็นความขัดแย่งภายใน หลักฐานแค่นั้นมันยังไม่พอ” ฟุคุซาว่าเอ่ย “ในโลกของผู้ใหญ่มีระเบียบและมารยาทอยู่ ถ้านายจะตัดสินว่าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเป็นอาชญากร นายไม่ควรพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้”
“ผมรู้ ผมรู้ ผมบอกว่าผมรู้ไง!” เด็กชายพองลมที่แก้ม “ชิ ยังไงก็เถอะ เรื่องมารยาทน่ะไม่เห็นเป็นไรเลยเพราะผมพูดความจริง เอาล่ะ ผมจะพูดต่อล่ะ– ลายนิ้วมือของคุณนักฆ่าติดอยู่ตรงนั้นถึงมันจะเป็นอาชญากรรมภายในองค์กรเพราะว่านั่นน่ะเป็นของปลอม ผมได้ยินจากคุณพ่อว่าลายนิ้วมือน่ะถูกใช้ปลอมแปลงได้ง่ายมาก คุณเลขาคงจะเคยเป็นพนักงานอัยการหรืออะไรเทือกนั้นใช่ไหมล่ะ คุณพูดถึงการคุมตัวนักโทษในสี่สิบแปดชั่วโมงซึ่งนั่นเป็นคำที่ถูกใช้กันโดยคนในเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟุคุซาว่าจำได้ว่าเลขานุการหนุ่มเคยพูดถึงเรื่องอาชีพเก่าของตัวเองอยู่สองสามหนก่อนที่จะถูกประธานสาวเรียกตัวมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณน่าจะรู้ใช่ไหมว่าคุณต้องใช้พวกดินเหนียวเพื่อเก็บตัวอย่างลายนิ้วมือ จากนั้นก็ใช้พลาสติก– ”
“นะ นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!” เลขานุการหนุ่มตะโกนออกมาด้วยความโมโห “ถึงผมจะรู้ว่าการปลอมแปลงลายนิ้วมือทำยังไงผมก็คงโดนฆ่าตั้งแต่ตอนพยายามพิมพ์ลายนิ้วมือของนักฆ่าคนนั้นแล้ว ฟุคุซาว่าซัง ได้โปรดเอาเด็กนี่ออกไปทีเถอะครับ–”
ฟุคุซาว่าไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงจ้องไปยังเด็กชายอย่างเงียบงัน
เด็กคนนั้นก็ฉีกยิ้มให้เขา
“ตาแก่ คุณดูจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากกว่าอยู่ซักหน่อย เอาล่ะ เหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีรอยนิ้วมือของนักฆ่าได้นั้น ก็เพราะว่าคุณเลขาเป็นคนจ้างนักฆ่ามาเองไงล่ะ”
–ผู้ว่าจ้าง?
คนที่จ้างนักฆ่ามาไม่ใช่คนนอกที่หวังจะทำลายบริษัท?
แล้วทำไมนักฆ่าถึงอยู่ที่นี่
“คุณนักฆ่าไม่ฟังคนอื่นนอกจากว่านั่นเป็นคำสั่งจากผู้ว่าจ้างของเขา ถึงจะไม่ได้ใช้วิธีพิมพ์รอยนิ้วมือโดยตรง แต่ผู้ว่าจ้างอาจจะใช้ให้เขาถืออะไรนิ่มๆที่สามารถเก็บรอยนิ้วมือได้ จากนั้นก็มาปรากฎตัวที่นี่ในเวลาที่กำหนด ประมาณนั้นนั่นแหละ”
“เดี๋ยวก่อน นักฆ่าคนนี้ไม่ธรรมดา ค่าจ้างของเขาคนละระดับกับพวกปลายแถวเลยล่ะลำพังแค่เงินเดือนของพนักงานบริษัทธรรมดาคงจ่ายไม่ไหวหรอก”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะเขาไม่ต้องจ่ายค่าจ้างไงล่ะ” เด็กชายเอ่ยด้วยท่าทีหงุดหงิด “เพราะแค่อ้างว่าต้องการเจรจาก็พอที่จะเรียกคุณนักฆ่ามาเจอได้แล้ว จากนั้นก็เอาลายนิ้วมือมา จากนั้นก็อ้างเหตุผลอื่นเพื่อจะเรียกเขามาที่นี่อีกในวันนี้ จากนั้นก็เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาจับเขา พอคุณนักฆ่ารู้ตัวว่านี่เป็นกับดักและพยายามจะหนีก็ ทาดา! ไม่ต้องใช้เงินเลยซักนิด ถูกกว่าซื้อข้าวกล่องจากหน้าสถานีอีก จะว่าไปแล้วผมก็เริ่มหิวขึ้นมาเลยล่ะ ผมขอออกไปซื้อข้าวกล่องได้ไหม”
“ฉันจะเลี้ยงข้าวนายทีหลังเพราะฉะนั้นอธิบายต่อให้จบ” ฟุคุซาว่าพูดด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด
“ชิ.. โอเคค! คุณเลขาคงตั้งใจใช้นักฆ่าที่มีฝีมือเพราะว่าคนประเภทนั้นไม่ปากสว่าง อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ คุณนักฆ่าไม่พูดถึงผู้ว่าจ้างเลยซักแอะ ผมคิดว่าเขาคงคิดไม่ถึงว่าตัวเองโดนจัดฉากน่ะ”
ใช่แล้ว ฝีมือที่เก่งกาจก็เท่ากับราคาที่สูงขึ้น และเป็นการยากกว่าเดิมที่จะทำให้นักฆ่ายอมคายความลับเกี่ยวกับผู้ว่าจ้าง และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ค่าจ้างของเขาสูงมาก ฟุคุซาว่าต้องต่อกรกับนักฆ่าอยู่หลายครั้งเพื่อปกป้องลูกค้า มีเพียงแค่นักฆ่าระดับสูงเท่านั้นที่ไม่เคยปริปากพูดถึงผู้ว่าจ้าง และยังมีบางกลุ่มที่กินยาพิษฆ่าตัวตายทันทีหากถูกจับได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หรือนี่เป็นช่องทางที่ทำให้พวกเขาโดนเอาเปรียบได้ล่ะ
“เอาล่ะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ถ้าเขารู้ว่าเขาโดนหลอกเขาอาจจะยอมพูดอะไรบ้างก็ได้ เราลองไปถามเขาเลยดีไหม”
ฟุคุซาว่าหันไปยังประตูอีกบานที่มีนักฆ่าอยู่ด้านใน เขาคงยังถูกมัดไว้กับเก้าอี้และนอนอยู่บนพื้น
“นะ นั่นเป็นการกล่าวหาชัดๆ!” เลขานุการหนุ่มตะโกนออกมา “ไม่มีหลักฐานพอที่จะทำให้ฆาตกรสารภาพหรอกครับ! ทุกอย่างเป็นแค่สมมติฐาน อย่างแรกคือคุณไม่มีหลักฐาน อย่างที่สองคือผมถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ไหนล่ะหลักฐาน!”
“ฮ้า! ในที่สุดคุณก็พูดมันออกมา” รอยยิ้มอันร้ายกาจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “คุณรู้รึเปล่าว่าโดยส่วนมากน่ะ คนที่พูดว่า ‘ไหนล่ะหลักฐาน’ ก็คือคนร้าย เห็นไหม… ถ้าคุณจะถามหาหลักฐาน งั้นถ้าเป็นกองเอกสารพวกนี้ล่ะ? คุณจัดเรียงเอกสารพวกนี้ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาในห้องนี้และป้องกันการถูกรื้อค้น ถึงการฆาตกรรมจะเกิดขึ้นแล้วแต่คุณก็ยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำ เพราะถ้าเกิดพบลายนิ้วมือของคุณนักฆ่าแค่บนเสื้อของประธานแต่ไม่พบมันภายในห้องเลยก็จะแปลกไปซักหน่อย คุณกำลังถ่วงเวลาอยู่”
“แปลว่านั่นคือหลักฐาน” ฟุคุซาว่ายกมือขึ้นแตะคางและใช้ความคิด
“โกหก! ผมไม่มีทางยอมโดนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรโดยการจัดการเอกสารหรอก! ผมกำลังเรียงมันจริงๆนะ เธอมีหลักฐานอื่นอีกรึเปล่า!”
“แน่นอนสิ” เด็กชายพยักหน้า “ครั้งแรกที่ผมเข้ามาในห้องนี้ ผมใช้จังหวะที่คุณเลขาไม่ได้มองแอบสลับเอกสารบางฉบับกับ ‘คู่มือการถ่ายพยาธิ’ และนั่นแหละ คุณไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยแม้แต่น้อย ถึงคุณจะเอาแต่พูดว่า ‘ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเอกสารที่อยู่ในห้องนี้’ ก็เถอะ”
“อะไร–”
เลขานุการหนุ่มนิ่งอึ้งราวกับคำพูดจุกอยู่ในคอ
แววตาของฟุคุซาว่าดูคมกริบยิ่งขึ้น
“ดีล่ะ”
“นะ นั่นน่ะ….”
ฟุคุซาว่าเดินเข้าไปใกล้เลขานุการหนุ่ม ความโมโหของเขาเพิ่มขึ้นทุกขณะ
“ระ เรื่องเข้าใจผิด! คุณจะไปจริงจังกับการกลั่นแกล้งของเด็กๆแบบนั้นไม่ได้นะครับ! ผมแค่จะปล่อยเขาเอาไว้ก่อนแล้วค่อยตำหนิเขาทีหลัง เพราะอย่างนั้น...”
“เห็นไหม?” เด็กชายยักไหล่ “ผมไม่ได้สลับเอกสารอะไรนั่นหรอก”
เลขานุการหนุ่มหยุดหายใจ สีหน้าของเขาเลยคำว่าขาวซีดไปมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ฟุคุซาว่าหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย
“มะ ไม่ใช่นะครับ– มะ มัน–”
“ผมไม่ได้สนิทกับประธานสาวมากเท่าไหร่ แต่เธอไว้ใจคุณมากแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดายที่ได้รับคุณเข้าทำงาน ทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น”
“มะ ไม่ใช่นะครับ… คุณเข้าใจผิดแล้ว คนๆนั้นน่ะ” เลขานุการหนุ่มก้าวถอยหลัง “สำหรับเธอ ผมเป็นแค่เลขานุการที่ยอดเยี่ยม แต่ก็แค่นั้น.. สำหรับผม.. แค่นั้น–”
ตอนนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลังของฟุคุซาว่า
มันดังมาจากห้องที่อยู่ติดกัน
ฟุคุซาว่าหันกลับทันทีและเปิดประตูอย่างแรก
ภายในห้องนั้นว่างเปล่า
เก้าอี้ล้มอยู่บนพื้น ขาเก้าอี้ที่ถูกเชือกมัดไว้ถูกหักออก
มีเพียงเก้าอี้บนพื้น นักฆ่าไม่ได้อยู่ที่นั้น
“หมอบลง!“
ระหว่างที่พูด ฟุคุซาว่าเดินเข้าไปในห้องและโน้มตัวลงต่ำก่อนจะพุ่งเข้าใส่บานประตูที่เปิดค้างอยู่
เขารู้สึกได้ถึงแรงต้าน นักฆ่าที่แอบอยู่ด้านหลังประตูกัดฟันกรอด ฟุคุซาว่ากระชากประตูกลับและเอื้อมแขนไปหาเขา
แต่นักฆ่าไม่ได้อยู่ในระยะที่ฟุคุซาว่าจะเอื้อมถึงและไม่ได้ย่อตัวหลบอยู่บนพื้น เขากระโดดสูงจนเกือบแตะเพดานเพื่อหลบการจู่โจมของฟุคุซาว่า
อีกฝ่ายใช้ประตูเป็นฐานและถีบตัวออกเพื่อให้เกิดช่องว่าง จากนั้นเขากระโดดจากพื้นเพื่อสร้างระยะห่างมากกว่าเดิม
เขามีลักษณะการต่อสู้คล้ายกับสัตว์ป่า ถึงแม้ศีรษะของเขาจะถูกคลุมด้วยถุงผ้าและสองแขนถูกมัดไพล่หลัง เขาใช้เพียงสองขาเพื่อเคลื่อนที่
เขาสามารถหลบการเคลื่อนไหวของฟุคุซาว่าได้โดยไม่พึ่งการมองเห็น ฟุคุซาว่ากัดฟันแน่น
“ผมไม่อยากสู้กับคุณ”
ฟุคุซาว่าได้ยินเสียงของนักฆ่าดังออกมาจากถุงผ้า คล้ายกับเสียงพึมพำ แต่เสียงนั้นสูงเกินกว่าจะเป็นเสียงของชายหนุ่มแต่ก็ต่ำไปสำหรับเสียงของผู้หญิง
–เด็กหนุ่มงั้นหรอ?
ไม่มีคำตอบของคำถามนั้น ฟุคุซาว่ากระโจนเข้าไปหานักฆ่าทันที ชูคุจิ– เป็นเทคนิคการเคลื่อนที่โดยการใช้น้ำหนักจากทั้งตัวพุ่งไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว หากสังเกตจากด้านข้างจะเห็นเพียงเงาของฟุคุซาว่าที่หายไปและไปปรากฏอีกครั้งตรงหน้าของอีกฝ่าย
หลังจากพุ่งเข้าไปใกล้ ฟุคุซาว่าคว้าคอเสื้อของนักฆ่า แต่เขากลับไม่ได้ขืนตัวเอาไว้แม้แค่น้อย เขาปล่อยตัวไปตามแรงของฟุคุซาว่าและหงายไปด้านหลังพร้อมกันจนพวกเขาทั้งคู่กระแทกไปกับกำแพง
ที่ด้านข้างของกำแพงมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีปากกาหมึกซึม กระดาษโน้ตและปืนคู่
ในขณะที่ถูกผลักไปด้านหลัง เขาใช้มือที่ถูกมัดอยู่ด้านหลังหยิบปืนคู่ของตน
อีกฝ่ายรอจังหวะนี้มาตั้งแต่ต้น
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางยิงได้โดยที่สองมือไพล่อยู่ด้านหลังแบบนั้น ฟุคุซาว่าจึงกระแทกเขาเข้ากับกำแพงพร้อมมือที่ยังคงกำอยู่ที่คอเสื้อ โต๊ะตัวนั้นกระแทกกับผนัง เครื่องเขียนที่อยู่บนโต๊ะกระจัดกระจายลงบนพื้น
ฟุคุซาว่าผลักร่างของอีกฝ่ายกระแทกกับกำแพง กดศอกลงกับหน้าอกของเขาและตรึงอีกฝ่ายเอาไว้ มือของนักฆ่าที่ถือปืนอยู่ครูดไปกับกำแพงและถูกล็อคเอาไว้ด้านหลังทำให้เขาไม่สามารถยิงได้
“ทิ้งปืนซะ” ฟุคุซาว่าเอ่ย “นายเป็นศัตรูกับธุรกิจของฉัน แต่ตอนนี้นายยังไม่ได้ทำผิดอะไรนอกจากการบุกรุก นายจะได้รับการละโทษ”
“ผมไม่ต้องการ” เสียงของนักฆ่าเบาราวเสียงกระซิบเพราะหน้าท้องที่โดนกดอัด “ใบโลกนี้ไม่มีการละเว้นโทษ มีเพียงการแก้แค้น การแก้แค้นสำหรับคนทรยศ”
หลังจากเอ่ยคำนั้น อีกฝ่ายยกขาขึ้นจากพื้น
ถึงแม้จะเป็นฟุคุซาว่าก็ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวของเขาด้วยแขนเดียวได้ นักฆ่าทิ้งน้ำหนักและไถตัวลงไปกับผนัง ก่อนที่จะถึงพื้นเขาบิดเอวกลับและใช้แขนที่ยังคงถูกมัดไว้ด้านหลังยิงปืนออกไป
เสียงคำรามของปืนดังขึ้นสองครั้ง
“อั่ก..”
ฟุคุซาว่าหันกลับไป บนอกของเลขานุการมีกระสุนสีแดงสองนัดฝังอยู่ เสือดไหลเอ่ออกจากบาดแผลและย้อมเสื้อของเขาเป็นสีแดง
นักฆ่ายิงเขาในขณะที่มือทั้งสองไพล่อยู่ด้านหลัง
เลขานุการหนุ่มมองฟุคุซาว่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรวดร้าว
การยิงของนักฆ่าแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสามารถยิงเลขานุการได้โดยที่ถูกปิดตาและมือทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่มีความสนใจในฟุคุซาว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังต่อสู้กับเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย
–มีเพียงการแก้แค้น การแก้แค้นสำหรับคนทรยศ
ฟุคุซาว่าหันกลับไปมาหานักฆ่าและกดอีกฝ่ายลงบนพื้นด้วยแรงทั้งหมด
เขาเตะปืนออกจากมือของอีกฝ่ายกระเด็นไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง
“คุณ––!”
ฟุคุซาว่าใช้แรงกระชากผ้าที่คลุมหน้าอีกฝ่ายออก
นักฆ่าคนนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม
ผมสั้นของเขามีสีออกแดง ดวงตาสีน้ำตาลแดงดูว่างเปล่าจนน่ากลัว ฟุคุซาว่าไม่สามารถมองเห็นแววตาหรืออารมณ์ใดๆในดวงตาของเขาได้ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงจ้องฟุคุซาว่ากลับอย่างไร้อารมณ์
แล้วฟุคุซาว่าก็นึกออก นักฆ่าอายุน้อย ผมแดง ใช้ปืนคู่และไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง นักฆ่าหนุ่มผู้สังหารเหยื่อด้วยความโหดเหี้ยม ฝีมือการใช้ปืนของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงจนผิดมนุษย์ และไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งไหมก็ไม่เคยยิงพลาด มีข่าวลือว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถมองเห็นอนาคต สำหรับฟุคุซาว่าที่มีหน้าที่ในการปกป้องผู้ว่าจ้างแล้ว การคงอยู่ของอีกฝ่ายถือเป็นฝันร้ายโดยสิ้นเชิง
ชื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ ถ้าหากเขาจำไม่ผิด– โอดะ
ฟุคุซาว่ากระชากคอเสื้อและล็อกคออีกฝ่ายเอาไว้ ในท่านี้ทำให้ฟุคุซาว่าสามารถรัดคอเพื่อปิดทางเดินของอากาศและทำให้อีกฝ่ายหมดสติได้ เพราะถ้าหากเด็กหนุ่มคนนี้คือนักฆ่าคนที่ว่า การปล่อยให้เขามีสติก็ไม่ต่างกับการฝากปลาย่างไว้กับแมว
เด็กหนุ่มมองฟุคุซาว่ากลับอย่างไร้ความรู้สึก
แทบไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นแววตาของคนที่กำลังโดนคู่ต่อสู้รัดคออยู่
หลังจากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็หมดสติไป
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากการยิงเลขานุการคนนั้น หลังจากที่มั่นใจว่านักฆ่าหมดสติไปแล้วฟุคุซาว่าจึงถอนหายใจออกมา
“นั่นคือคุณนักฆ่าหรอ” เสียงดังขึ้นจากห้องด้านข้าง ฟุคุซาว่าหันไปมอง
“โทรเรียกรถพยาบาล แล้วก็ตำรวจด้วย”
“เรียกแค่ตำรวจไม่ได้หรอ คุณเลขาตายแล้วนี่นา อีกอย่างผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานแล้วนะ! คุณทำอะไรได้บ้างรึเปล่าน่ะตาแก่”
จู่ๆฟุคุซาว่าก็รู้สึกปวดหัว
เด็กคนนี้– เรื่องทั้งหมดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่ถึงนาที ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกัน?
“เรียกรถพยาบาลก่อน!” ฟุคุซาว่ายืนขึ้นและเดินออกไป
“นี่ อย่าทิ้งผมไว้สิ คุณบอกว่าคุณจะเลี้ยงข้าวผมไม่ใช่หรอ คุณพูดอย่างนั้นนะ แปลว่าผมจะไปไหนก็ได้ สั่งอะไรก็ได้แล้วก็กินเยอะแค่ไหนก็ได้ใช่ไหม แปลว่าระหว่างที่ผมกินคุณจะต้องใจฟังเรื่องที่ผมจะพูดแล้วก็หาทางออกให้ใช่ไหม? เฮ้!”
ฟุคุซาว่ารู้สึกหมดแรง แต่เขาก็ขืนความรู้สึกนั้นเอาไว้
“คุณ–”
เด็กชายผมสั้นเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงพร้อมร้อยยิ้มที่เปล่งประกาย
“ผมชื่อเอโดงาวะ รันโป จำเอาไว้ให้ดีล่ะ!”

Next → Chapter 2 Part 3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น