คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 Part 2
การไขคดีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายในความคิดของฟุคุซาว่า
เด็กชายที่มีนามว่าเอโดงาวะ รัมโปกำลังทานเซนไซโดยใช้เงินของเขา ทานไปเป็นถ้วยที่เท่าไหร่แล้วเขาเองก็ลืมนับไปเหมือนกัน
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในโรงน้ำชาแบบญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุ ลูกค้าโต๊ะอื่นภายในร้านต่างส่งสายตามองพวกเขาเป็นระยะได้ซักพักจนฟุคุซาว่าแทบจะอดใจเดินไปอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างเสียไม่ได้ –เด็กคนนี้มีเหตุผลบางอย่างที่ต้องตามฉันมา เขาไม่ใช่เพื่อนของฉัน–
เจ้าหนูรัมโปที่เพิ่งทานเซนไซหมดไปแปดถ้วยกำลังทานถ้วยที่เก้าอย่างเอร็ดอร่อย ฟุคุซาว่ารู้สึกหมดความอดทน ไม่ใช่ว่าเขาห่วงเรื่องเงินที่ต้องจ่าย แต่ปัญหาก็คือ–
“นี่” ฟุคุซาว่าเอ่ยขึ้นเพราะรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป “ทำไมไม่กินโมจิเข้าไปด้วย?”
ทุกถ้วยที่รัมโปทาน เขาเหลือเพียงโมจิทิ้งเอาไว้ก้นถ้วยแต่ทานถั่วแดงจนหมด
“เพราะว่ามันไม่หวานน่ะสิ” รัมโปเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ไม่หวาน– แต่ขนมทั้งถ้วยนั่นทำมาจากโมจิเกือบทั้งหมด ถ้าเด็กคนนี้ต้องการอะไรหวานๆทำไมไม่กินโยคังหรือมันจู เขาไม่รู้สึกถึงความโศกเศร้าของโมจิที่ถูกเหลือทิ้งไว้เลยหรือไง?
แต่ฟุคุซาว่าก็ไม่ได้บ่นอะไร การยุ่งวุ่นวายกับความชอบของคนอื่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกกลัวนิดหน่อยเมื่อมองไปยังเด็กชายตรงหน้า การเหลือโมจิทิ้งไว้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ถ้าหากฟุคุซาว่าดันเผลอไปวุ่นวายอะไรเข้า เด็กคนนี้อาจจะฉีกแป้งมันจูออกและกินแต่ไส้ที่อยู่ด้านในก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง
และถ้าหากฟุคุซาว่าบ่นอีกฝ่ายว่ากินทิ้งกินขว้าง เขาคงจะถูกตราหน้าว่าเป็นตาแก่อีกแน่ๆ
หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น ฟุคุซาว่าได้อธิบายทุกอย่างให้กับตำรวจท้องที่ที่เพิ่งมาถึงฟัง และนอกเหนือจากนั้นเขายังสามารถทำให้รัมโปซึ่งมีท่าทีเหนื่อยหน่ายในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและกำลังจะเดินหนีไปอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ห้องทำงานของประธานสาวได้อีกด้วย หลังจากเล่าทุกอย่างจนจบพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่เกิดเหตุในเวลาไม่นาน พวกตำรวจที่มานั้นได้ยินชื่อเสียงของฟุคุซาว่าเป็นอย่างดี และเพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงเชื่อทุกอย่างที่ได้เล่าไป
หลังจากที่ตำรวจมาถึงและตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาพบแม่พิมพ์พลาสติกที่ใช้ในการปลอมลายนิ้วมือของนักฆ่าอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเลขานุการหนุ่ม และเมื่อทีมค้นหาได้ไปตรวจสอบที่บ้านของเขาก็พบกับอุปกรณ์ในการพิมพ์ลายนิ้วมือจากแม่พิมพ์และตัวอย่างลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วของนักฆ่าเช่นกัน หลักฐานที่ได้พบรองรับข้อสันนิษฐานของรัมโปอย่างดี
พูดนัยก็คือรัมโปคือผู้มีพระคุณที่ช่วยเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการตายของผู้ว่าจ้างของฟุคุซาว่าหรืออีกอย่างคือฟุคุซาว่าติดหนี้อีกฝ่ายอยู่
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฟุคุซาว่าเริ่มสับสนว่าเรื่องทั้งหมดเลยเถิดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ในแง่หนึ่งการกระทำของเด็กชายคนนี้เหมือนเป็นตัวป่วนในสถานที่เกิดเหตุ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขากลับเป็นคนที่ทำงานสำเร็จอย่างไร้ที่ติ เพียงแค่สำรวจที่เกิดเหตุและผู้คนที่เกี่ยวข้องเพียงครั้งเดียว เด็กชายสามารถมองเห็นความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่งและสามารถระบุตัวคนร้ายที่แท้จริงได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับฟุคุซาว่าในการอ่านการกระทำของรัมโป หรือจะให้พูดตามตรงก็คือฟุคุซาว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
และเมื่อทุกอย่างจบลง… มันเกิดอะไรขึ้น?
“บอกฉันสิเจ้าหนู”
“หืออ? อะไรหรอ?” รัมโปเลื่อนสายตามองฟุคุซาว่าในขณะที่กำลังเคี้ยวถั่วแดงอยู่เต็มปาก
และนี่เป็นอีกครั้งที่ฟุคุซาว่าต้องอดทนไม่พูดว่า “ดื่มชาซักหน่อย” เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาพูด เด็กชายก็ปฏิเสธด้วยคำอธิบายว่า “มันจะหายหวานน่ะสิ” สำหรับฟุคุซาว่า การไม่ทานขนมหวานกับชาเขียวนั้นถือเป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจ แต่การไปยุ่มย่ามกับรสนิยมของผู้อื่นนั้นขัดกับคติของเขา เขาจึงตอบแค่ว่า “อย่างนั้นหรอ”
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่ฟุคุซาว่ากำลังจะเอ่ยปากถาม เขากลับพบว่าไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก ฟุคุซาว่าไม่รู้สึกว่าเด็กชายจะสามารถตอบคำถามได้อย่างว่าง่ายถึงเขาจะถามคำถามปกติก็ตาม
“นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเลขาคนนั้นเป็นฆาตกร”
“ตั้งแต่แรก” รัมโปเอ่ยตอบขณะที่ใช้ตะเกียบจัดการกับถั่วแดงในถ้วยอย่างงุ่มง่าม “ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อโค้ทยาวใช่ไหมล่ะ ปกติแล้วไม่มีใครใส่โค้ทยาวๆตอนจัดเอกสารหรอก เพราะชายเสื้อของมันจะเกะกะ”
ฟุคุซาว่าพยักหน้า อุปกรณ์ที่ใช้ในการปลอมแปลงรอยนิ้วมือถูกซ่อนไว้ในโค้ท และการซ่อนอุปกรณ์ที่เทอะทะแบบนั้นเสื้อโค้ทจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“แล้ว.. เรื่องที่เกิดในวันนี้เป็นเรื่องที่ปกติเกิดขึ้นกับนายรึเปล่า”
“ก็บ่อยอยู่นะ” รัมโปเอ่ยตอบขณะกินถั่วแดงอย่างเอร็ดอร่อย “ตามที่ทำงาน ข้างถนน… ตอนแรกที่ผมยื่นมือเข้าไปยุ่งก็เพราะว่ามันน่ารำคาญ แต่ทุกครั้งผมถูกทำเหมือนผมเป็นตัวป่วน พอนานๆเข้ามันก็เริ่มเป็นเรื่องน่าเบื่อ ผมเกลียดมันมากๆ เกลียดสุดๆ โลกของผู้ใหญ่มันแปลกพิลึก!”
รัมโปส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“นายเกลียดโลกของผู้ใหญ่?”
“ผมเกลียดเพราะว่ามันเข้าใจยาก”
ฟุคุซาว่ารู้สึกถึงความไม่ปกติเมื่อเขามองไปยังสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของรัมโป เป็นเรื่องแปลกสำหรับเด็กชายที่จะคิดแบบนั้นและพูดว่าโลกของผู้ใหญ่มันเข้าใจยาก
เรื่องนั้นมันไม่จริงหรอก ยังมีเรื่องดีๆอีกมากในโลกนี้ ในขณะที่ฟุคุซาว่ากำลังจะพูดแบบนั้นเขากลับต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับไป เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยคำพูดสวยหรูพวกนั้น
–ฟุคุซาว่า นายหักหลังพวกเราใช่ไหม?
–คำสาบานที่อวยพรให้ประเทศสงบสุขนั่นเป็นเรื่องโกหกงั้นหรอ? หรือเป็นเพียงคำพูดส่งเดช?
น้ำหนักของดาบที่ไม่ได้ถูกใช้งานหนักอึ้งอยู่ที่เอว จากวันนั้นที่ฟุคุซาว่าได้ตัดสินใจปล่อยมือจากมัน เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะทำสิ่งใดในนามของความยุติธรรมอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น–
ในขณะนั้นเอง ฟุคุซาว่ารู้สึกถึงสายตาของรัมโปที่มองมายังตน สายตาของอีกฝ่ายเฉียบคมราวกับกำลังมองทะลุผ่านสมองเขาไป เขารู้สึกว่าความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดถูกสายตาของอีกฝ่ายอ่านออกจนหมดสิ้น ฟุคุซาว่าเบนสายตาและเอ่ยออกมา
“ก่อนหน้านี้นายพูดถึงการสัมภาษณ์ แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะ”
“นั่นล่ะผมถึงพูดไงว่าแค่มองคุณก็น่าจะรู้แล้ว!” รัมโปเอ่ยราวกับมันเป็นเรื่องน่ารำคาญ “เมื่อครึ่งปีที่แล้วผมถูกไล่ออกมากจากหอพักของโรงเรียนตำรวจ”
“ถูกไล่?”
“เพราะว่ากฎของมันยุ่งยากเกินไป ไม่ให้ออกจากหอหลังเวลาที่กำหนด ไม่ให้เอาขนมขึ้นมากินบนตึก ต้องแต่งตัวตามระเบียบ ที่แย่กว่านั้นคือบทเรียนมันน่าเบื่อจนผมอยากตายเลยล่ะ การคุยกับคนอื่นก็น่าเบื่อ ผมมีเรื่องกับหัวหน้าหอพักแล้วก็ถูกไล่ออกมาหลังจากที่ผมแฉความสัมพันธ์ของเขากับพวกผู้หญิง”
ก็แน่ล่ะ
“หลังจากนั้นผมก็ร่อนเร่ไปทั่ว ตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ศูนย์บัญชาการทหาร ผมพูดคุยเกี่ยวกับการยักยอกเงินของหัวหน้าทหารแล้วก็โดนไล่ออกมา จากนั้นตอนที่ผมไปทำงานที่เขตก่อสร้างก็มีปัญหากับหัวหน้างานที่นั่นแล้วผมก็หนีออกมา ตอนที่ทำงานส่งจดหมาย ผมหยิบจดหมายไร้ประโยชน์ที่คนทั่วไปมักจะโยนทิ้งก่อนจะได้เปิดอ่านทิ้งไปแล้วผมก็ถูกไล่ออก บอกผมสิว่าใครจะได้ประโยชน์ถ้าจดหมายไร้ประโยชน์แบบนั้นไปอยู่ในที่ๆมันควรอยู่น่ะ ใช่ไหมล่ะ”
รัมโปเอ่ยออกมาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
ฟุคุซาว่าถอนหายใจ จากศูนย์บัญชาการทหารสู่เขตก่อสร้างและงานรับส่งจดหมาย เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีงานไหนที่เด็กชายคนนี้สามารถทำสำเร็จได้
–ให้ตายเถอะ ผมไม่เข้าใจเมืองนี้เอาซะเลย
แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงจากบ้านเกิดมาล่ะ
“เจ้าหนู แล้วพ่อแม่ของนายล่ะ”
“พวกเขาตายแล้ว” ประกายแห่งความเศร้าโศกไหววูบในดวงตาของรัมโป “พวกเขาตายเพราะอุบัติเหตุ ผมไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ผมเลยเดินทางมาที่โยโกฮาม่า พ่อบอกว่าถ้าเกิดผมต้องการอะไร ผมสามารถไว้ใจเพื่อนของพ่อที่เป็นอธิการบดีของโรงเรียนตำรวจในโยโกฮาม่าได้ แต่สุดท้ายผมก็โดนไล่ออกมาอยู่ดี”
“พ่อของนายชื่ออะไรน่ะ”
รัมโปเอ่ยบอกไป
ฟุคุซาว่าตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากรัมโปเป็นชื่อของยอดนักสืบในตำนานที่ถูกกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางในแวดวงตำรวจ
ทั้งคดีนายพลหัวขาด คดีจอมโจรใต้แสงจันทร์และคดีหัววัว เขาเป็นสุดยอดนักสืบในตำนานที่ช่วยไขปริศนาและเปิดเผยความจริงของคดีลึกลับที่พรั่นพรึงผู้คนทั้งประเทศ เขาใช้ความสามารถเหนือมนุษย์ในการสังเกตและอนุมานเหตุการณ์ อีกทั้งยังวิเคราะห์ความจริงได้อย่างแม่นยำ เขาถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้มองเห็นความจริง” และเป็นที่เคารพยกย่องจากผู้คนมากมาย
ฟุคุซาว่าได้ยินข่าวลือที่ว่ายอดนักสืบผู้นี้เกษียณและย้ายไปใช้ชีวิตในชนบท แต่เขาเสียชีวิตแล้วหรอ?
“ถึงยังงั้นผมก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คนอื่นพูดกัน พ่อไม่เคยชนะแม่ตอนที่พวกเขาเล่นปริศนาคำทายแล้วก็ไม่เคยเถียงแม่ชนะด้วย”
เด็กชายยังบอกชื่อแม่ของเขา แต่ฟุคุซาว่าไม่เคยได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนี้มาก่อน รัมโปบอกว่าแม่ของเขาเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการตำรวจหรือนักสืบ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีมันสมองที่สามารถเอาชนะ “ผู้มองเห็นความจริง” ได้ เธอคนนี้ไปอยู่ที่ไหนมากันนะ?
“เพราะอย่างนั้นแหละ ผมถึงมาที่นี่” รัมโปพูดพร้อมดันถ้วยเปล่าพร้อมโมจิที่เหลืออยู่ออกห่างจากตัว “ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดเลยซักนิดแต่ผมก็ไม่มีบ้านให้กลับ แถมยังอดสัมภาษณ์งาน ตอนนี้ผมไม่มีที่ไปแล้ว”
และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่ง
ฟุคุซาว่ารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผิดปกติ “ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดเลยซักนิด” –ยามที่เด็กชายเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา ฟุคุซาว่ารู้สึกถึงความว่างเปล่าในน้ำเสียงของเขา
เด็กชายที่ถูกเลี้ยงดูโดยอัจฉริยะสองคนกลับไม่มีความเข้าใจในวิถีของโลก
เด็กคนนี้มีบางอย่างแตกต่างจากคนทั่วไป บางอย่างในกระบวนการคิดของเขา ฟุคุซาว่าไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนแต่เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้มีบางสิ่งที่พิเศษออกไป โดยทั่วไปแล้วสิ่งๆนี้ถูกเรียกว่าความสามารถในการอนุมาน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริง ในขณะที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจเด็กคนนี้ ในทางกลับกัน จะเป็นไปได้ไหมที่รัมโปก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดของคนทั่วไปเช่นกัน
ฟุคุซาว่าจำคำพูดของรัมโปได้
–แค่มองดูผมคุณก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรอ
–คุณจะให้ผมอธิบายเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วอีกครั้งนึงแล้วค่อยให้คะแนนผมทีหลังใช่ไหม
หรือกรณีนี้เป็นตัวของรัมโปเองที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ฟุคุซาว่าก็เข้าใจพฤติกรรมแปลกๆของเด็กคนนี้ ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานของประธานบริษัท รัมโปก็สามารถมองเห็นความจริงที่ว่าเลขานุการคือฆาตกร แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเพราะเขาเคยอยู่แต่ในโลกที่ผู้ใหญ่มักจะล่วงรู้ความจริงอยู่ก่อนแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่รัมโปไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคดีเลยและเอาแต่พูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
คงเป็นเพราะเขาอยู่ในโลกที่มีแต่พ่อแม่ของเขามาโดยตลอด
ถ้าหากข้อสันนิษฐานของฟุคุซาว่าถูกต้อง แล้วเขาจะอธิบายให้เด็กชายฟังได้อย่างไร
นายเป็นคนพิเศษ นายสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แล้วยังไงต่อ? มันจะเริ่มต้นและจบลงตรงไหน? แล้วฟุคุซาว่าจะพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นได้อย่างไร?
“อะไรน่ะ” รัมโปหรี่ตามองฟุคุซาว่า
ฟุคุซาว่าส่ายหน้า
หลังจากที่เขาอธิบายทุกสิ่งให้อีกฝ่ายฟัง แล้วยังไงต่อ?
ในท้ายที่สุด เด็กคนนี้คือคนแปลกหน้า
ความสัมพันธ์ของเขากับรัมโปครอบคลุมแค่เรื่องคดีเท่านั้น หลังจากได้มาพบกันโดยบังเอิญชีวิตของพวกเขาก็ต้องดำเนินต่อไป เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับความคิดของรัมโป หรือแม้แต่จะสั่งสอนอะไร
ลึกลงไปในใจของฟุคุซาว่ามีหินก้อนใหญ่ หินก้อนใหญ่ที่เย็นเยียบมักจะหนักอึ้งทุกครั้งที่เขาต้องสานสัมพันธ์กับผู้คน และมันบีบหัวใจของเขา
หินก้อนนั้นคืออดีต
เพราะเขาเคยเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ร่วมแบ่งปันความคิดและถูกทำให้เชื่อมาโดยตลอดว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และนั่นเองไม่ใช่หรือ สาเหตุของโศกนาฏกรรมและการนองเลือด
พอกันทีกับการยุ่งเกี่ยวกับธุระของผู้อื่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจสำหรับความพยายามในวันนี้” ฟุคุซาว่าเอ่ยและยืนขึ้นจากเก้าอี้ “ ฉันจะบอกพวกตำรวจให้ว่านายเป็นคนไขคดีครั้งนี้ ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนายอาจจะได้ไปทำงานกับพวกเขา การสูญเสียพ่อแม่คงจะเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด.. แต่ถ้าเป็นนาย ฉันมั่นใจว่านายจะสามารถหาสถานที่ๆนายจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ลาก่อน”
ขณะที่กำลังจะจ่ายค่าขนมและออกจากร้านไป เขาพบว่ามือของเขาถูกรัมโปจับเอาไว้
“อะไรกัน”
ฟุคุซาว่ามองรัมโป ในขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาเช่นกัน
“......แค่นั้นหรอ?”
“อะไร?”
“แค่นั้นหรอ?” รัมโปเอ่ยซ้ำ “ตาแก่ ผมรู้ว่ามีอย่างอื่นอีกใช่ไหม? เด็กอายุสิบสี่ตรงหน้าคุณเพิ่งเสียพ่อแม่ งาน แถมยังไม่มีที่ไป– ผมรู้ว่ามันมีบางอย่างในใจคุณใช่ไหม?”
ฟุคุซาว่ามองรัมโปจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังโต๊ะของโรงน้ำชา บนโต๊ะนั้นมีถ้วยเปล่าเก้าถ้วยวางอยู่
“ฉันรู้สึกบางอย่างจริงๆ” ฟุคุซาว่าเอ่ย “ฉันไม่อยากเชื่อว่านายกินเซนไซเก้าถ้วยหมด”
“ก็นะ ผมยังกินได้มากกว่านี้อีก” รัมโปเอ่ยอยากภาคภูมิใจก่อนที่เขาจะส่ายหัวทันที “ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องนั้น! ผมหมายถึงการช่วยคน! การไม่มองข้ามคนที่กำลังลำบาก จิตสาธารณะ!”
“ก็จริง ถ้าเซนไซเก้าถ้วยไม่พอที่จะช่วยเด็กที่กำลังเสียใจล่ะก็ รับนี่ไป”
ฟุคุซาว่าหยิบนามบัตรสีขาวออกจากปกเสื้อ
รัมโปมองสลับไปมาระหว่างนามบัตรบนโต๊ะและฟุคุซาว่า
“เบอร์ติดต่อของฉัน หลังจากที่ได้รับการร้องขอจากผู้ว่าจ้างที่ได้รับการข่มขู่ ตอนนี้ฉันมีอาชีพเป็นบอดี้การ์ด ถ้านายมีปัญหาถึงชีวิตก็โทรหาฉัน อย่างน้อยฉันจะช่วยปกป้องนายฟรีๆครั้งนึง”
ขณะที่พูด ฟุคุซาว่าถอนหายใจออกมา ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่สานสัมพันธ์แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นได้ ในขณะที่เขาร้องหาความสันโดษ แต่เขากลับไม่สามารถละเลยเด็กชายผู้โศกเศร้าตรงหน้าได้ ใช่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ติดหนี้เด็กคนนี้อยู่
รัมโปหยิบนามบัตรด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก หลังจากที่เขาอ่านตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษเขาก็เอ่ยออกมา “หืม..” จากนั้นเขาเดินเข้าไปด้านในของโรงน้ำชาและหยอดเหรียญลงในตู้โทรศัพท์สาธารณะและกดเลข
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากกระเป๋าที่อกเสื้อของฟุคุซาว่า
มันคือโทรศัพท์มือถือที่เขาใช้ในการติดต่องาน ฟุคุซาว่ามักจะพกมันติดตัวทุกครั้งเผื่อเหตุฉุกเฉิน ในขณะที่เขายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ฟุคุซาว่าก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง
“คุณบอดี้การ์ด ช่วยผมด้วย ผมกำลังจะตายเพราะตกงานแล้วก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน” เขาได้ยินเสียงของรัมโปสะท้อนไปมาจากในโทรศัพท์และโรงน้ำชา
“..............”
“ผมกำลังจะตายใช่ไหม?” รัมโปเอ่ยอีกครั้งพร้อมเครื่องหมายคำถาม
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะแนะนำบ้านพั–”
“ผมจะตายถ้ายังหางานไม่ได้!” รัมโปเอ่ยขัดอีกฝ่าย รันโปหันกลับมาหาฟุคุซาว่าในขณะที่กำหูโทรศัพท์แน่น
ฟุคุซาว่าลำบากใจอย่างถึงที่สุด
ภาพของตัวเองที่กำลังถูกทรายดูดกลืนลงไปปรากฎชัดในหัวของเขา
เด็กคนนี้ไม่สามารถร่วมงานบอดี้การ์ดของเขาได้และฟุคุซาว่าเองก็ไม่ต้องการเสมียนหรือผู้ช่วยเช่นกัน ถ้าหากเขาจะจ้างเด็กคนนี้ เขาต้องทำยังไงถึงจะจัดการเด็กม้าดีดกะโหลกหัวดื้อได้อย่างอยู่หมัด?
มีเพียงความเงียบจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฟุคุซาว่าก็คงสามารถใช้ความประนีประนอมปฏิเสธไปได้ อย่างไรก็ตาม ฟุคุซาว่าไม่ได้ต้องการทั้งหัวหน้าหรือลูกน้อง ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็เหนื่อยกับการรับมือกับเด็กคนนี้เต็มทน การไปจากที่นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและทำให้เขาไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับธุระของผู้อื่นได้
“ถ้าอย่างนั้น… มาพร้อมกับฉันในงานถัดไป” ฟุคุซาว่าเอ่ยผ่านโทรศัพท์ “สำหรับฉันคงเป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาน่าจะอยากได้ผู้ช่วยอยู่ ฉันจะเป็นคนกลางให้นาย โอเครึเปล่า?”
“จริงหรอ!!?”
ดวงตาของรันโปเป็นประกาย ในขณะที่เขากำลังถือโทรศัพท์อยู่นั้น รัมโปมองไปยังฟุคุซาว่าพร้อมรอยยิ้มที่แสนสว่างไสว
ฟุคุซาว่าถอนหายใจเล็กน้อย
ไม่ว่าจะติดหนี้บุญคุณแค่ไหน ไม่ว่าความสามารถของเด็กคนนี้จะมากเพียงใด นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหนี้บุญคุณหรือมันสมองของรัมโป
เพียงแต่ฟุคุซาว่าไม่สามารถละเลยความเหงาหงอยตรงหน้าเขาได้
รัมโปกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเปล่าเปลี่ยว เมื่อพ่อแม่ของเขาจากไป รัมโปถูกผลักเข้าสู่โลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยเข้าใจ ไม่มีใครให้พึ่งพิงและไม่มีเป้าหมายให้ยึดมั่น เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งซึ่งพยายามใช้ชีวิตต่อไป
ฟุคุซาว่าเลือกความสันโดษด้วยตัวเอง
แต่เด็กคนนี้ไม่มีแม้แต่อิสระในการปฏิเสธความเดียวดาย
และ–
เพราะสีหน้าที่มีความสุขขนาดนั้น ฟุคุซาว่าก็ไม่สามารถปฎิเสธอะไรได้อีก
“งั้นก็รีบไปกันเถอะ! ก่อนอื่นก็ไปเอากระเป๋าของผมก่อน ไม่สิ ก่อนอื่นต้องไปเข้าห้องน้ำ– ไม่ๆ ก่อนอื่นผมอยากจะกินอะไรเค็มๆ! ขนมมันหวานมาก ยังหวานติดลิ้นของผมอยู่เลย– อะ ช่วยถือนี่ให้ผมหน่อย ร้านข้างๆขายขนมอบใช่ไหม ผมจะไปซื้อซักหน่อย– ไม่ๆ ไปซื้อให้ผมดีกว่า! อ๋า ผมหิวน้ำด้วย นี่ตาแก่ สั่งชาให้หน่อย!”
รันโปเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันสดใส
ฟุคุซาว่าคิดในใจ
- เซนไซ: ขนมถั่วแดงของญี่ปุ่น มักใส่โมจิ
- โมจิ: เค้กข้าวของญี่ปุ่น โดยส่วนมากคนมักทานกันทั้งปีแต่จะมีชื่อเสียงในเทศกาลปีใหม่
- โยคัง: วุ้นญี่ปุ่น มีหลายรสชาติแต่โดยรวมมักมีรสหวาน
- มันจู: ขนมหน้าตาเหมือนขนมปังกลมๆ มักมีถั่วแดงสอดไส้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น