คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 1: การทดสอบของดาไซ โอซามุ
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : パン
แปลไทย : パン
---
บทที่1
วันที่ 8
มันเป็นช่วงเวลาเช้าของวันฝนตก...หยาดฝนโปรยปรายและอากาศหนาวเหน็บ เหมือนกำลังบอกว่าความเย็นเยือกกำลังจะมาเยือน
ฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่เพื่ออุดมการณ์ของฉัน
สิ่งที่ฉันทำคือการปฎิบัติตามอุดมการณ์ มุ่งไปข้างหน้าโดยปราศจากความกลัว ปราศจากความสูญเสียความสนใจในสิ่งรอบตัว และปราศจากความลังเล
ให้ตายสิ ในการที่จะไล่ตามสิทธิพิเศษในการเฝ้าฝันถึงอนาคต ฉันจะสามารถทำงานในทุกๆวันให้สำเร็จลุล่วงไปได้รึเปล่านะ?
ถ้าคุณข้ามทางลาดใกล้ท่าเรือของเมืองโยโกฮาม่า คุณจะเจอที่ตั้งของออฟฟิศสำนักงานนักสืบ
มันเป็นเพียงตึกเก่าๆที่สร้างมาจากอิฐสีน้ำตาลแดง ลมทะเลมักพัดรุนแรงเป็นผลให้ท่อระบายน้ำและเสาไฟฟ้ามีสนิมเกาะ ถึงภายนอกจะดูไม่ใช่ตึกที่แข็งแรงเท่าไหร่ แต่ถ้าหากมีคนจะมาถล่มด้วยปืนกล ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความเสียหายภายในได้เลย
ทำไมฉันถึงกล้าพูดแบบนั้นงั้นเหรอ? ก็เพราะว่ามีใครบางคนเคยลองทำมาแล้วน่ะสิ
แต่จริงๆแล้ว ออฟฟิศของสำนักงานใช้แค่ชั้นสี่เท่านั้น ส่วนชั้นอื่นเป็นชั้นของคนที่อาศัยมาก่อนหน้านี้ ชั้นแรกเป็นร้านกาแฟ ชั้นสองเป็นบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย ชั้นสามเป็นห้องว่าง ส่วนชั้นห้าเป็นห้องเก็บของใช้เบ็ดเตล็ด ก่อนวันเงินเดือนออกฉันมักจะติดหนี้ร้านกาแฟด้านล่าง และถ้าหากฉันมีปัญหาเรื่องงานมักลงไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายที่ชั้นสอง
ตอนนี้ฉันอยู่บนลิฟต์ของตึกเพื่อไปทำงาน
.
.
ฉันออกจากลิฟต์และมายืนอยู่หน้าสำนักงานซึ่งแขวนป้ายที่มีตัวหนังสือที่เขียนด้วยพู่กันว่า ‘สำนักงานนักสืบ’
ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือ เหลืออีก 40 วิก่อนจะ 8 โมง....ซึ่งเป็นเวลาทำงาน
มาเร็วไปงั้นหรือ
การตรงต่อเวลาเป็นคติประจำใจของฉัน ดังนั้น 40 วินาทีที่เหลือฉันจึงยืนรอจนกว่าจะหมดเวลา หยิบสมุดขึ้นมาเพื่อเช็คตารางประจำวันในวันนี้อีกครั้ง อย่างแรกทานอาหารเช้าตามเวลา ออกจากหอให้ตรงเวลา ส่วนเวลาการรอสัญญาณไฟของวันนี้ไม่เป็นไปตามกำหนดการเพราะเจอไฟเขียวพอดี มันจึงทำให้ไม่ได้ทำตามตารางที่เขียนไว้
ขณะกำลังอ่านสมุดอยู่ สิ่งที่ต้องทำวันนี้ก็อยู่ในใจแล้ว ฉันจึงจัดปกคอเสื้อและก้มดูนาฬิกาอีกที
เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว
“อรุณสวัสดิ์”
ฉันเปิดประตูเข้าไป
“อ๊ะ! คุนิคิดะคุง สวัสดีตอนเช้านะ! นี่ มาดูทางนี้หน่อยสิ มันน่ากลัวมากเลยล่ะ!”
ดาไซปรากฎตัวต่อหน้าประตูในทันทีด้วยรอยยิ้ม
“หลังจากที่เจออุปสรรคมากมาย ฉันก็ทำได้แล้วล่ะ! อา นี่มันช่างเป็นโลกที่แสนวิเศษ! นี่คือโลกหลังความตายยังไงล่ะ ที่เรียกกันว่ายมโลก! มันเป็นเหมือนกับที่ฉันจินตนาการไว้เลย ดูสิ! ควันพุ่งมาจากพื้นเต็มไปหมด มีแสงจันทร์ที่สะท้อนเข้ากับกระจก ส่วนท้องฟ้าสีชมพูทางทิศตะวันตกช้างก็กำลังเต้นรำ!”
เขาแสดงท่าทางเกินจริง แถมยังกำลังเต้นรำอยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศ อะไรจะน่ารำคาญได้ขนาดนี้นะ
“โฮะโฮะโฮะโฮะ ฉันว่าแล้ว ‘คู่มือการฆ่าตัวตายฉบับสมบูรณ์’ ช่างเป็นผลงานที่เยี่ยมยอด! แค่ไปกินเห็ดที่ขึ้นอยู่ตรงเนินเขาด้านหลัง ฉันก็ได้เข้าสู่เส้นทางการฆ่าตัวตายที่แสนจะน่าพอใจแล้ว! วิเศษที่สุด โฮะโฮะ”
สายตาของดาไซไม่โฟกัสไปที่จุดใด ทำเอา’ลูกศิษย์’ของเขาเต้นเร่าๆ
“ช่วยทำอะไรสักอย่างเถอะครับ คุนิคิดะซัง” เจ้าหนุ่มที่สำนักงานมองฉันด้วยสายตาที่มีน้ำตารื้นออกมา
ถ้าให้ฉันเดา คิดว่าดาไซคงจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนเวลาเริ่มงานเสียอีก
ฉันเหลือบไปมองบนโต๊ะของเจ้าดาไซ
บนนั้นมีหนังสือที่เปิดค้างอยู่ มันเป็นหนังสือเก่าๆที่มีชื่อว่า ‘คู่มือการฆ่าตัวตายฉบับสมบูรณ์’ และในหน้านั้นเขียนหัวข้อว่า ‘การตายจากพิษ – เห็ด’ ที่ข้างๆหนังสือ มีจานใส่เห็ดที่มีรอยกัดอยู่
ถ้าสังเกตดีๆล่ะก็ จะพบว่าเห็ดที่วางอยู่บนโต๊ะกับเห็ดในหนังสือเป็นคนละสีกัน
“เฮ้ เฮ้ คุนิคิดะคุงงง~ มาโลกนี้ด้วยกันสิ โลกหลังความตายน่ะ ดูนี่สิๆ นายจะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ นายจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แล้วก็นะ ยังสามารถกอดผู้หญิงทุกคนที่ตัวเองชอบได้อีกนะ โฮะโฮะ”
“ช่วยพวกเราด้วยครับบ คุนิคิดะซังงง ไม่ว่าเราจะทำอะไรไป เขายังเป็น---”
ฉันเดาได้ว่า ไอ้เห็ดที่ดาไซกินเข้าไปคงจะไม่มีพิษที่ทำให้ถึงตายหรอก แต่น่าจะทำให้มีอาการประสาทหลอนแทน
แค่นั้นล่ะ
ทุกๆเช้า ตารางงานและตารางสิ่งที่ต้องทำมักโดนรบกวนอยู่เสมอจากดาไซ และถ้าฉันไม่สามารถทำตารางของเช้านี้ได้ลุล่วงล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้ทำตามตารางที่วางไว้ทั้งหมด
ดังนั้นจึงไม่สนใจเจ้าดาไซที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่ตรงนั้นหรือเพื่อนร่วมงานที่กำลังร้องไห้อยู่ ฉันมุ่งไปที่โต๊ะของตัวเองและวางกระเป๋าบนโต๊ะเหมือนอย่างทุกวัน เปิดหน้าต่างแล้วก็เปิดแล็ปท็อป
“ว้าววววววววววววววว คุนิคิดะคุงงงงงงงงงงง ตรงนั้นมีดอกไม้ทะเลที่ใหญ่สุดๆอยู่นอกหน้าต่างอ่ะ กล้วย!! มันกำลังกินกล้วยล่ะ มีการประสานเสียงเครื่องเป่าอยู่รอบๆเราด้วยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ในความเป็นจริง ฉันกำลังเทกาแฟอยู่ ฉันน่าจะเอาอะไรที่ไร้สาระของวันนี้ออกไปจากหัวของฉัน
“ฉันรู้ล่ะ ฉันจะระบำแก้ผ้า! ถ้าฉันระบำแก้ผ้าเรตติ้งจะต้องสูงขึ้นกว่านี้แน่ๆ ถึงมันจะไม่ง่ายแต่ทุกคนก็มาเต้นกันเถอะ! แล้วก็....ผูกไทด์ไงล่ะ ให้ทุกคนผูกไทด์แล้วก็ไปที่ธนาคารกันเพื่อไปเต้นคอสแซค!!’
ฉันยังคงเช็คโทรเลขที่เพื่อนร่วมงานส่งมาให้อย่างเป็นปกติ และวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ
“....นี่มันเสียง อั๊ก!!! ขะ..เขา เขาอยู่ในหัวของฉันนน มีปู่ตัวเล็กๆกำลังกระซิบให้ฉันไปเกียวโต ที่นั้นมีเต้าหู้ที่รสชาติไม่เหมือนที่ไหนอยู่ดังนั้นเราคว---”
ฉันเตะดาไซเข้าที่หลังหัวมัน จนบินไปติดกับผนังแล้วก็หมดสติไป
มันเริ่มต้นจาก....
วันที่คนๆนี้ที่ตกจากการสอบเข้าด้วย 0 คะแนนและกำลังจะเข้ามาเป็นคู่หูของฉันคือ4วันก่อน
“พนักงานใหม่?”
วันนั้น ฉันกำลังจัดการเอกสารและแล้วประธานก็เรียกให้เข้าไปในห้องเพื่อจะบอกว่า มีพนักงานสืบสวนคนใหม่และเขาอยากให้ฉันสอนงานให้
มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย
แม้งานในสำนักงานนักสืบจะอันตรายมาก ทั้งการต่อสู้และการไล่ฆ่า แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนไหนเคยโดน ดังนั้น ฉันจึงทำงานอีกงานนึงคือการสอนพีชคณิตในโรงเรียนสัปดาห์ละสองครั้ง
ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีคดียากๆ แต่ก็เพิ่งจะมีไม่นานมานี้ อย่างเช่น คดี ‘กลุ่มอาชญากรธงสีฟ้า’ หรือ ‘ผู้มาเยือนโยโกฮาม่าหายสาบสูญอย่างต่อเนื่อง’ หรือรวมไปถึงคดีที่เกี่ยวข้องการพวกผิดกฎหมายของพอร์ทมาเฟีย หรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งได้ขอให้สำนักงานนักสืบช่วยตรวจสอบ คำขอร้องจากคดีต่างๆ จะมาหลักๆจากนักสืบประจำสำนักงาน รัมโปซัง ฉันมั่นใจว่าที่ท่านประธานให้รันโปซังตัดสินใจรับคดี เพราะเขาสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
“จะแนะนำให้รู้จัก เข้ามา”
หลังสิ้นเสียงความคิด ประธานได้มองไปที่ประตูแล้วเรียกออกไป
“สวัสดีครับ”
ฉันมองผู้ชายที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
เสื้อคลุมสีน้ำตาลของทราย ปกเสื้อเปิด เขาเป็นคนสูง ผอมมาก พร้อมกับผมดำหยักศกและเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าไหร่ ถึงจะปรากฏตัวไม่ค่อยเรียบร้อยแต่เขาก็ยังดูดี แต่สิ่งที่ดูกวนใจคือผ้าพันแผลสีขาวบริเวณคอและแขนของเขา
“ดาไซ โอซามุ อายุ 20 ปี”
20 เท่าฉันเลยนี่
“ฉันชื่อคุนิคิดะ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันแล้วกัน”
“โอ้!! คุณเป็นพนักงานสืบสวนที่มีความสามารถสูงในสำนักงานสินะ รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ”
ชายที่ชื่อดาไซเดินเข้ามาจับมือทักทายโดยเขย่าไปมาอย่างแรงๆ
ในเวลานั้น ฉันรู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาและแหลมราวกับมีดจ้องมองมาที่ฉัน ไม่สิ มันเหมือนกับคมมีดนั้นแทงเข้ามาที่ส่วนลึกในหัว เหมือนกับพระเจ้าที่กำลังมองลงมายังปุถุชนอยู่เหนือพื้นดิน
แต่เมื่อฉันกะพริบตา ความรู้สึกนั้นก็หายไปแล้ว หน้าของดาไซกลับเป็นหน้าโง่ๆอย่างปกติที่เคยเป็น
ฉันมองผิดไปหรอ? หรือว่าตาฝาดไปนะ?
“แล้วก็นะ ดาไซ ทำไมต้องเป็นสำนักงานนักสืบ? นายก็รู้ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์นะ ที่จะมาขอความช่วยเหลือแล้วใครๆก็ต้องช่วยน่ะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนั้นเหรอ ก็ฉันเป็นคนว่างงาน แถมไม่มีแรงจูงใจ และยังชอบดื่มที่บาร์ ตอนนั้นฉันได้พูดกับลุงคนที่นั่งข้างๆฉันและเราดวลกัน ใครชนะการดวลต้องแนะนำงานให้ มันแค่การเล่นขำๆ แต่ฉันก็ชนะล่ะ”
ใครคือตาแก่คนนั้นกันนะ
“คนๆนั้นคือบุคคลที่อยู่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ท่านรัฐมนตรีทาเนดะ เมื่อวานเขามาหาฉันเพื่อขอให้ฉันทำอะไรบางอย่างให้”
ประธานพูดขณะทำสายตาจริงจัง
อย่างไรก็ตามเมื่อฉันได้ยินชื่อของ รัฐมนตรีทานาดะ ลมหายใจฉันก็ชะงัก
ถ้าจะพูดถึงรัฐมนตรีกระทรวงปฏิบัติงานพิเศษภายใน ทานาดะล่ะก็ ไม่มีใครในสายงานจะไม่รู้จักเขา เขาเป็นคนที่พิเศษมากๆสำหรับหน่วยงานพิเศษ งานของเขาเกี่ยวกับการจัดการและควบคุมผู้ใช้พลังพิเศษ ในคราวที่ประธานก่อตั้งสำนักงาน เขาได้รับการช่วยเหลือจากรัฐมนตรีทานาดะอย่างมาก
“ผมจะเชื่อฟังอย่างดีครับ รุ่นพี่”
ไม่รู้ว่าจะรู้สิ่งที่อยู่ในใจฉันหรือไม่ แต่เจ้าเด็กใหม่นี่กำลังยิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่ให้อยู่
แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนสำคัญที่ผู้นำฝ่ายพลเรือนยอมรับหรือไม่ การที่เขากินเห็ดพิษและล่องลอยไปในในโลกที่เกิดจากอาการประสาทหลอนเป็นสิ่งแรกของเช้า เป็นสิ่งที่น่ารำคาญมาก
นี่เป็นวันที่สามแล้วที่ได้ดาไซเป็นคู่หู
ทั้งกายและใจฉันไม่เคยได้หยุดพักเลยหลังจากนั้นมา งานไม่เสร็จตามที่ตั้งไว้ และงานที่เพิ่มขึ้นมาจากการขอความช่วยเหลือก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ
ถึงแม้จะละสายตาจากเขาแค่วินาทีเดียวก็ตาม ดาไซก็จะกระโดดลงไปในแม่น้ำ ตอนไหนที่บอกว่าอยากจะพักก็ไปจบลงที่บาร์แล้วก็มาดื่มต่อที่ห้องอีก เขากล้ายอมรับได้หน้าตาเฉยว่าจะจีบผู้หญิงที่สวยทุกคน เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างชายหนุ่มอายุ 20 อย่างเหมาะสม มีนิสัยไม่แคร์คนอื่นนอกจากตัวเอง และมักจะฉีกตารางงานของฉันเป็นพันๆรอบ
ถึงจะพูดอย่างนั้น งานก็ยังเป็นงาน ลูกจ้างก็ยังเป็นแค่ลูกจ้าง ถ้าฉันออกปากคัดค้านเรื่องเจ้าดาไซที่เพิ่งทำงานร่วมกันได้แค่สามวัน และทรยศความเชื่อใจของประธาน มันคงจะทำให้เกียรติของสำนักงานนักสืบต้องลดลงแน่ๆ
“เขาเป็นยังไง”
เรากำลังเล่นหมากล้อมอยู่ที่ห้องข้างๆออฟฟิศ ประธานถามฉันขณะเล่นหมากล้อมในห้องเล็กๆปูด้วยเสื่อทาทามิ
“หายนะครับ เขาเป็นเหมือนลูกครึ่งปีศาจเลย เหมือนผีที่ส่งเสียงหลอกหลอนอย่างไม่ปรานีและยังเป็นเทพเจ้าแห่งยาจกอีกด้วยครับ”
ในกระดานครั้งนี้ฉันได้เล่นหมากดำซึ่งเล่นกันบนกระดานทำมาจากต้นไซปรัส เสียงหมากกระทบกระดานยังคงดำเนินต่อไป
“แต่.. นั่นล่ะครับ ผมจะหาทางจัดการเอง”
หลังจากงาน ฉันมักจะนั่งตรงข้ามกับท่านเพื่อเล่นหมากล้อมโดยปราศจากคนอื่นในห้องสไตล์ญี่ปุ่นห้องนี้
“นี่ยังไม่จบหรอกนะ…”
ประธานได้วางหมากขาวลงบนกระดาน ทิ้งให้ฉันอยู่ในสถานการณ์ยากจะอธิบายได้ในอีกฟากของกระดาน
“ไม่ครับ นี่เป็นสิ่งที่ท่านรัฐมนตรีทานาดะขอมา แต่ ทำไมต้องพาผู้ชายคนนี้มาที่นี่ด้วย”
ขณะที่ฉันกำลังพูด เสียงหมากกระทบกระดานยังคงดังต่อไป ฉันกำลังหาทางวางหมาก หรือฉันควรวางหมากที่มุมขวาบนเพื่อต่อรองดี ไม่ มันจะเป็นการปิดตายทำให้ไม่สามารถเชื่อมทางซ้ายได้เลย ไม่ต้องพูดถึงตรงกลางและเกมส์คงใกล้จะจบแล้ว ฉันเดินหมากมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่มันเป็นเพียงการเดินหมากเล็กๆของประธาน
“รัฐมนตรีทาเนดะมีบุคลิกกระตือรือร้น และมีทัศนวิสัยดีเยี่ยมในการตัดสินคน เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากๆทั้งที่ยังหนุ่มอยู่ บางทีเขาอาจจะเห็น’พลังพิเศษ’ที่อยู่ในตัวเจ้าหนุ่มนั่นก็ได้”
ก็เพราะแบบนั้น มันถึงมีข่าวลือเกี่ยวกับรัฐมนตรีทาเนดะ ว่าเขาไม่ได้มาด้วยกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่ใช่ เขาไม่น่าจะมีความสามารถที่จะควบคุมกระทรวงภายในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
แต่ก็นะ--- ผู้มีพลังพิเศษ? เจ้านั้นที่ในหัวมีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ยนะ ?
“ฉันทำข้อตกลงกับทาเนดะเซนเซย์ ตอนฉันให้ดาไซทำข้อสอบล่วงหน้า เขาผ่านด้วยคะแนนเต็ม เขาเป็นคนมีความสามารถ แต่ยังมีเรื่องที่น่าสงสัย”
“หมายความว่าไงครับ.....น่าสงสัย”
“ฉันได้เช็คประวัติการทำงานเก่าของดาไซ แต่ไม่พบอะไรเลย ฉันได้ขอให้เพื่อนที่เป็นนักสืบในกรมตำรวจช่วย แต่ก็ไม่เจออะไรเลย มันเหมือนกับมีใครบางคนลบข้อมูลเกี่ยวกับอดีตของเขา”
ขนาดนักสืบในกรมตำรวจยังไม่พบร่องรอยเลยงั้นหรือ มันแปลกเกินไปแล้วล่ะ
“มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะไม่ได้ทำงานอะไรและเป็นพวกว่างงานไปวันๆน่ะครับ”
“ก็อาจจะนะ แต่ว่า---”
ขณะนั้นเองบนหน้าผากของประธานคิ้วได้ขมวดมาชนกัน
“เธอถามเรื่องพลังของดาไซรึยัง”
“ยัง...ยังครับ”
ที่พูดกันข้างต้น ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังพิเศษ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ถามเลยสักครั้ง
“พลังของดาไซคือ ทำให้พลังของคนอื่นไร้ผลเมื่อสัมผัส”
มีคำที่ทำให้เอะใจอยู่
พลังไร้ผล. มันดูเหมือนว่าพลังที่ไม่มีอะไรมาก แต่ในสำหรับพวกเราที่เป็นผู้ใช้พลังพิเศษ มันขึ้นกับว่าเราจะใช้มันยังไง มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้มีพลังพิเศษเขาถือครองความสามารถที่ทำให้พลังพิเศษของคนอื่นหยุดลงได้
พลังพิเศษของฉันมีชื่อว่า ‘กวีดอปโป’ มันเป็นความสามารถที่ต้องเขียนคำลงในสมุดแล้วฉีกมันออกมาและพูดมันออกมา จะทำให้สิ่งที่เขียนสมุดเป็นของจริงขึ้นมา แต่ว่า ถ้ามันมีขนาดใหญ่กว่าสมุดของฉัน มันจะไม่ได้ผล มันเป็นความสามารถทั่วๆไปที่ดูเหนือกว่าคนอื่นและมีการถกเถียงถึงพลังนี้กันบ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้เข้าใกล้ว่า ‘ความสะดวก’ เลย ทำไมน่ะหรอ? เมื่อฉันต้องการจะใช้พลังนี้ ฉันต้องพกสมุดติดตัวเสมอน่ะสิ
แต่ความสามารถของดาไซมันต่างออกไป
ตามหลักแล้ว ถ้าคู่ต่อสู้ไม่สามารถใช้พลังได้เพราะเขาล่ะก็ เขาจะกลายเป็นผู้ใช้พลังพิเศษ เพราะดาไซสามารถทำให้พลังของคู่แข่งไร้ผลต่อหน้าเขาได้
มันจึงไม่แปลกเลยที่องค์กรที่เกี่ยวกับพลังพิเศษต้องการตัวเขา
ฉันเริ่มค่อยๆจะยอมรับในสิ่งที่ประธานพูด
ในอีกทางหนึ่ง มันอาจจะมีอะไรบางอย่างซึ่งมี คนทราบสถานที่รัฐมนตรีมักชอบไปดื่ม มีอัจฉริยะด้านใช้พลังพิเศษบังเอิญนั่งข้างเขา และได้ทำข้อตกลงกัน เจ้านั่น ที่ใช้คำขอแปลกๆและทำข้อสอบสามารถผ่านด้วยคะแนนเต็ม และเป็นพวกว่างงานมาก่อนหลังจากนั้นก็ให้คนรู้จักพามาให้สำนักงานนักสืบ และสามารถเข้ามาอย่างง่ายดาย
ไม่คิดว่ามันประจวบเหมาะเกินไปหรอ
“ฉันได้ทบทวนเรื่องนั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสำนักงานนักสืบของเรามีเครือข่าย มากมายกับคนใหญ่คนโตและพวกตำรวจ ในสายงานของเราบางครั้งก็ต้องให้พวกเขาปิดข่าวให้
แน่นอน ในคดีเกี่ยวกับอาชญากรรม สำนักงานของเรามักจะทำงานร่วมกับตำรวจ เราจึงมีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่อย่างไรก็ตาม—มันเป็นไปได้ไหมดาไซจะเป็นสายลับเข้ามาในสำนักงานของเรา?
จากที่ได้ยินมาว่าเขาสามารถชนะทาเนดะเซนเซย์คนนั้นได้ด้วยสติปัญญา
ดาไซคนนั้นเนี่ยนะ ?
“คุนิคิดะ ฉันต้องการที่จะมอบให้เธอเป็นคนทำ‘ข้อสอบเข้า’ให้เขา”
ฉันผงกหัวให้กับข้อตกลงนั้น ในเรื่อง ‘ข้อสอบเข้า’ที่กำลังพูดถึงนั้นเป็นการประเมินว่าคนนั้นๆควรเข้าทำงานหรือไม่ มันเป็นการตรวจสอบลับ ถ้าคุณไม่ผ่าน เราจะไม่รับคุณเข้าทำงานให้กับสำนักงาน
“ตอนทำงาน ให้อยู่ใกล้ๆดาไซ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาจริงใจ ถ้าเมื่อเวลานั้นมีอะไรคลุมเครือว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ลับ คนที่เข้ามาเจรจา หรือสายลับอะไรทำนองนี้ ให้จัดการเขาโดยไม่ลังเล แต่ถ้ามากกว่านั้น ถ้าความคิดของเขาสกปรกกว่านั้นหรือถ้ามีอะไรที่บอกว่าเขาคิดไม่สะอาดล่ะก็---”
ด้านหลังของประธาน ท่านได้นำปืนพกออกมาจากถุง คงจะเตรียมการไว้แล้วและส่งมาให้ฉัน
“…..”
ฉันรับปืนนั้นมา
“เธอยิงเขาได้เลย”
“รับทราบครับ”
ถ้าเจ้าดาไซถูกส่งมาจากพวกคนไม่ดีจริงๆล่ะก็ มันเป็นหน้าที่ของสำนักงานนักสืบที่ต้องหยุดมันไว้
บุคคลที่ได้ถือใบอนุญาตนักสืบของสำนักงานมีสิทธิเทียบเท่าตำรวจ อย่างเช่นสามารถพกมืดหรือปืนได้ เราสามารถขอข้อมูลกับตำรวจได้ แล้วยังรวมการใช้อำนาจศาล เข้าไปแทรกแซงการค้นหา สะกดรอยและดักฟัง การกระทำผิดกฏหมาย อย่างเช่นในกรณีที่ผ่านมา ก็คือการกระทำของพวกก่อการร้ายและการทำลายสถานที่สำคัญ
ปืนพกที่รับมาทำให้ฉันรู้สึกถึงความเย็นและเงียบภายในห้อง
ที่บริเวณอ่าวมีคลื่นกระทบเบาๆ ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ทำให้คล้ายกับว่ามันถูกแช่อยู่ในอ่าว ฉันรีบเดินไปตามท่าเรือที่เสียงดังแข่งกันเมื่อเวลาพลบค่ำ แสงของจันทร์แข่งสู้กับแสงของตะเกียงข้างทาง
ที่กำลังเดินตามหลังนั้นคือเจ้าผมบ็อบดาไซ
ไอ้เห็ดของเจ้าดาไซทำให้เกิดอลหม่านไม่ได้ทำงานไปครึ่งค่อนวัน นี้ก็เพิ่งจะได้ทำงานจริงๆสักที
“คุนิคิดะคุง พลังพิเศษของนายนี่—มันชื่อว่า ‘กวีดอปโป’ ใช่ไหม โชว์ให้ดูมั่งสิ”
“ฉันขอปฎิเสธ ความสามารถพิเศษใช่ว่าขอแล้วจะแสดงให้ดูได้ แล้วก็นะ ตอนที่ฉันใช้พลังพิเศษ ฉันต้องเสียหน้ากระดาษของสมุดไปทุกครั้ง สมุดนี้เป็นของมีจำกัดซึ่งทำมาจากช่างมีฝีมือ แล้วก็สั่งทำไว้แค่ 100 เล่ม และราคายังแพงด้วย ดังนั้นฉันจะเอามาใช้เล่นๆกับแกไม่ได้”
ฉันก้มมองนาฬิกา
“แล้วที่สำคัญ ดาไซ เดินให้มันไวๆหน่อย เรากำลังเลยเวลานัดแล้ว”
“กำลังจะสายหรอ? คุนิคิดะคุง ทางฝ่ายนั้นยังไม่ได้บอกข้อมูลเวลานัดเลยนะ ดังนั้นมันก็น่าจะไม่ใช่การนัดไว้น่ะสิ”
“ไม่ ฉันบอกเขาทางโทรศัพท์แล้วว่า ‘ประมาณ 1 ทุ่ม’”
“งั้นเหรอ? นี้ก็เพิ่งหนึ่งทุ่มพอดีนี่นา จากตรงนี้เดินแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสายนะ”
“เจ้าโง่! ‘ประมาณ 1 ทุ่ม’ ที่ฉันตั้งไว้ในนาฬิกาข้อมือคือ 18:59:50 ถึง 19:00:10 นี้มันเลยมา 20 วิแล้วนะ”
“มันเป็นการจับเวลาที่มีแต่นายทำเท่านั้นแหละ”
ฉันยังคงเดินต่อไปขณะที่เจ้าดาไซยังคงหยอกล้อฉันทั้งหน้าทั้งหลัง
ถึงกระนั้นก็เถอะ นาฬิกาข้อมือเรือนนี้เป็นเวลาเหมือนนาฬิกาชีวิตที่ช่วยให้ฉันตื่นนอนในทุกๆเช้า ฉะนั้นหากช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวก็ถือเป็นเรื่องผิดมหันต์
“แล้วใครล่ะที่หัวแต่กินเห็ดอย่างมีความสุขทำให้ไม่ได้ทำงานทำการของวันนี้กันน่ะ! อย่าคิดจะทำมันอีกครั้งที่สองล่ะ ถ้าแกทำอีก ฉันจะยัดเห็ดพิษให้แกเอง”
“ดีเลยยย คงจะเป็นช่วงเวลาที่วิเศษน่าดู”
“แกหายแล้วหรอ? ไม่ใช่ว่าเห็นช้างบินอยู่บนท้องฟ้าสีชมพูอีกนะ”
“ช้างหรอ? อย่าบ้าน่า ของแบบนั้นมันบินได้ที่ไหน ก็ไอ้ที่บินได้น่ะ มันคือพารามีเซียมสีม่วงต่างหาก”
เจ้านี่มันสิ้นหวังจริงๆ
ทุกครั้งที่ฉันคุยกับมัน มันทำให้รู้ว่าที่สงสัยในตัวเป็นความคิดโง่ๆ
เจ้าหน้าที่ลับ? พวกคนเลว?
ในทางแย่ที่เกิดขึ้น คือมันกระโดดเข้าไปรางรถไฟมีรถไฟกำลังวิ่งโดยไม่มีการบอกกล่าว
ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ ดาไซที่กำลังให้ความสนใจมันก็แค่คนที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างที่เขาพูดกัน ฉันล่ะอยากจะทิ้งมันจริงๆ ก็ทำได้แค่คิดล่ะนะ
“ดาไซ นายจำคำขอที่เราต้องจะต้องทำต่อไปแล้ว ใช่ไหม?”
“เรื่องการทำลายล้างพารามีเซียมสีม่วง...”
“..จนกระทั่งตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันอาจจะพูดกับแกไม่ชัดเจนสินะ แล้วแกก็ทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วยสิ ห๊า ใช่ไหม?”
“อะฮ่าฮ่า อ่าว ไม่ใช่เหรอ? ‘มาตรวจสอบบ้านผีสิง’ หรอ?”
ฉันทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่คำพูดที่มันสวนฉันออกมาปราศจากความลังเลพร้อมยิ้มโง่ๆของมัน
เมื่อวาน เราได้รับคำขอและที่อยู่มาทางอีเมลล์ เนื้อหาของจดหมายก็ตามนี้
เรียน ท่านที่เคารพ
ด้วยความเคารพสำนักงานนักสืบ เราหวังว่าจดหมายฉบับนี้จะส่งถึงท่านโดยดี
เนื่องในโอกาสนี้ เราอยากจะขอความช่วยเหลืออยากสำนักงานนักสืบ เรารู้ว่าพวกคุณไม่ค่อยว่างนัก แต่กรุณารับคำขอนี้ด้วยเถอะ
ความจริงแล้ว มันเริ่มมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นคืนแล้วคืนเล่า คำขอคืออยากให้พวกคุณไปตรวจสอบ ในตึกร้างที่ไร้ผู้คน เราได้ยินเสียงคร่ำครวญและเสียงกระซิบออกมาจากตึก มากกว่านั้นยังมีแสงไฟลอดมาจากหน้าต่างเป็นบางครั้ง คนที่อาศัยใกล้ๆนั้นอยู่กันอย่างสงบใจไม่ได้เลย
มันอาจจะเป็นคำขอที่ดูเสียมารยาท พวกเราจะซาบซึ้งถ้าหากคุณจะช่วยมาตรวจสอบ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราก็อยากให้คุณทำตามทำขอนี้ และเราจะรอจนกว่าจะถึงเวลา
อาจจะเป็นการตอบแทนที่มีค่าเล็กน้อย แต่เราจะส่งค่าทนายความ และพร้อมที่จะจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เราขอให้คุณเก็บเนื้อหาของคำขอเป็นความลับ มันอาจจะเห็นแก่ตัวที่มาขอให้พวกคุณให้ความร่วมมือ
พวกเราหวังว่าทุกคนจะมีสุขภาพที่ดีแล้วมีความสุข
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ถ้าว่ากันตามจริง มันพูดอ้อมค้อมเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาในจดหมายที่หลีกเลี่ยงใจความสำคัญ ใจความมันมีแค่ ‘มีเสียงประหลาดออกมาจากตึกใกล้ๆที่อยู่ และจะให้พวกเราไปตรวจสอบ หลังจากจดหมายนี้ได้ส่งมาหาฉัน บอกว่าจะส่งค่าทนายมาให้สำนักงานหลังจากเราไปตรวจสอบให้’
แค่ค่าทนายนั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ แถมมันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายในสำนักงานได้อีก ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ เราก็ทำตามที่พนักงานนักสืบควรทำอยู่แล้วล่ะ
แม้ว่า – จะมีเรื่องที่สงสัยก็เถอะ
นั่นคือมันมาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
ใครที่เป็นส่งคำร้อง อาศัยอยู่แถวไหน หรือข้อมูลที่เราจะติดต่อกับบุคคลนั้น ทุกสิ่งดูคลุมเครือ เป็นไปได้ว่าคนๆนี้ตั้งใจจะปกปิดตัวตนของตัวเองแต่เราไม่สามารถรายงานโดยที่ไม่มีข้อมูลไม่ได้
นั่นคือทำไมฉันถึงออกมากับดาไซ มันยากมากถ้าหาเราไม่รู้ว่าใครคือผู้ส่งคำร้องนี้มา
“เป็นไปได้ว่าคนที่ส่งคำร้องอาจจะเป็นวิญญาณร้ายที่กำลังรอเราเข้าไปในบ้านผีสิงหลังนั้น แล้วพวกเราที่เป็นนักสืบกำลังเขาไปติดกับดักนั้น แล้วพร้อมจะกลืนเราลงไป---“
“เจ้าโง่! ในเรื่องเล่าสยองขวัญมันมีผีตัวไหนส่งอีเมลล์ได้ “
ถึงมันจะเป็นผีจริงๆ ฉันก็ไม่มีทางกลัวหรอก.....หวังว่าจะอย่างนั้น
ขณะที่เรากำลังพูดเรื่องไร้สาระ เราได้เดินตรงมาย่านโกดังสินค้าของอ่าว ซึ่งเหมือนกลุ่มก้อนอิฐสีน้ำตาลแดงสะท้อนสู้แสงจันทร์ คืนนี้ทั้งมืดและก็มีหมอก เราก้าวเข้าไปในโกดังที่มีขนาดเล็กและเก่ากว่าอันอื่น
เพดานสูง ปูนพลาสเตอร์ที่อยู่ตรงผนังเริ่มหลุดลอกเพราะลมทะเล มีกลิ่นของอะไหล่ของเครื่องจักรและน้ำมันเครื่อง ยังรวมถึงฝุ่นที่อยู่รอบๆด้วย ฉันกดปุ่มที่อยู่ด้านหน้าประตู
เสียงเหมือนเหล็กกระทบกันและเสียงของสายโซ่กำลังเคลื่อนไหว
‘เข้ามา’
แน่นอน เสียงนั้นตอบกลับมาจากข้างใน
ด้านหลังสายคล้องจำนวนมาก ฉันเดินตรงไปที่บานประตูที่กว้างและหนักซึ่งทำจากต้นเบิชและเปิดมันเข้าไป
จะพบห้องขนาดที่เล็กกว่า 20 เสือทาทามิ* บนผนังหรือพื้น มีเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซ้อนกันและแสงไฟจากเส้นใยนำแก้วทำให้ห้องมีแสงไฟสลัวๆ
(*20 เสื่อทาทามิ : เสื่อทาทามิ คือเสื่อทรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มี มีขนาดมาตรฐานที่อัตราส่วนความยาวต่อกว้าง 2:1 ตรงนี้ไม่เกี่ยวอะไรหรอก ให้คิดว่า 20 เสื่อทาทามิมีขนาดเท่ากับ คุนิคิดะคุง 20 คน มานอนต่อๆกัน ขนาดน่าจะประมาณ 32 ตารางเมตรแหละ)
ตรงกลางของห้องมีคอมพิวเตอร์จำนวนมากอยู่เป็นกลุ่ม และพัดลมส่งเสียงน่ารำคาญอยู่ บนโต๊ะมีจอ LCDประมาณ 4 จอ และแต่ละจอกำลังฉายภาพที่ไม่เหมือนกันสักภาพ
“ไง เจ้าแว่น วันนี้ได้ทำตามที่สมุดบอกไว้ไหม”
“อย่าคิดว่าจะพูดแบบนี้ได้นะ เจ้าคนขายข่าว แล้วก็ถ้าฉันปล่อยหลักฐานไปล่ะก็ แกคงเข้าไปนอนในคุกเป็นสิบปีได้ ถ้าถึงตอนนั้นพ่อแกคงเสียใจน่าดู”
“อย่าดึงพ่อฉันมาเกี่ยวสิ”
คนขายข่าวคนนั้นคือเด็กชายอายุ 14 ที่เอาขาทั้งสองข้างพาดโต๊ะอยู่ มีลักษณะตาโตและผมสั้นเกรียน ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว เขามักจะใส่แค่เสื้อสเว็ตเตอร์สีขาว เป็นคนที่มีรูปร่างเล็กแต่มีสายตาที่เฉียบแหลมเหมือนแก้วที่แตก
“แต่ที่สำคัญนะ นายมาสาย? ไม่ใช่นิสัยนายเลยนี่ อะไร เดทหรอ?” เขาชูนิ้วก้อยขึ้นมา มันแสดงถึงการชอบเพศเดียวกัน
“ไม่ใช่ เดทมันต้องทำกับผู้หญิงที่ฉันคิดจะแต่งงานด้วย ถึงอย่างนั้นในสมุดนี้ หน้าที่เขียนเกี่ยวกับอนาคตได้เขียนว่าฉันจะแต่งงานใน 6 ปีข้างหน้า” ฉันพูดขณะพลิกสมุดไปด้วย
“อะไรนะ? เจ้าแว่น แกมีผู้หญิงที่คิดจะแต่งงานด้วยเหรอ?”
“ในนี้บอกว่าจะเจอในอีก 4 ปีก็ครบแล้วล่ะ”
“อ๋อ เหรอ”
เด็กชายหลบตาและลดขากรรไกรล่าง ขณะที่ฉันตอบเขาอย่างจริงจังขณะเปิดสมุดไป
“ดำรงชีวิตโดยอุดมการณ์และการวางแผน นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรมี ดูแล้วก็ศึกษาซะ เจ้าหนู”
“หืมม....ฉันว่าฉันเริ่มเข้าใจไม่มากก็น้อยเรื่องนิสัยของคุนิคิดะคุงแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างล่ะ—“
ดาไซโผล่มาจากประตูไม้จากข้างหลังฉัน
“หืม หน้าใหม่นิ ใคร?”
“ไง ถ้าฉันแนะนำตัวคงจะไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรอกนะ แต่เพราะคุนิคิดะคุงอาจจะไม่อยากให้ฉันบอกน่ะ”
“เจ้าหนู ก่อนที่จะถามใครก่อน นายควรจะบอกชื่อก่อน และดาไซ ไม่ต้องมาเดาคำพูดฉันและอย่าทำอะไรก่อนได้รับอนุญาต”
“เจ้าแว่น นายนี่ชอบใช้คำว่า ‘ควร’ จริงๆ ก็นะ ฉันชื่อ ทากุชิ โรคุโซ อายุ 14 ปี เป็นแฮกเกอร์น่ะ”
“เขาเคยแฮคเข้าระบบรักษาความปลอดภัยของสำนักงาน แล้วคนที่จับไอ้บ้านี่ก็คือฉัน” ฉันพูดเสริมอย่างเรียบๆ
3 เดือนก่อน โรคุโซได้แฮกเข้าฐานข้อมูลของสำนักงานนักสืบทำให้ตอนนั้นเกิดความโกลาหลใหญ่หลวง แน่ล่ะ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ลดละในการต่อสู้ไซเบอร์เลย ความโกลาหลจบลงอย่างรวดเร็วและสามารถระบุพิกัดเจ้าแฮกเกอร์ได้
ในตอนสุดท้าย โรคุโซตอนนั้นได้กลายเป็นเด็กเหลือขอ เขากำลังประกาศตนว่าเป็นอาชญากร แต่ภาพบันทึกการถ่ายทอดสดไม่ได้ถูกส่งให้ตำรวจและเขาไม่มีทางปฏิเสธคำช่วยเหลือของสำนักงานได้ อาทิ เช่นการให้ข้อมูลผู้ว่าจ้าง มันจึงเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่โอเค
“แล้วก็นะ รู้รึยังว่าใครเป็นคนส่งอีเมลล์มาน่ะ”
“เป็นการพูดที่หยาบคายมาก เจ้าแว่น งานนี้ใช่ว่าขอแล้วจะได้เลย มันก็ต้องใช้เวลา”
ก็อย่างที่เจ้านี่ว่า เขาได้รับมอบหมายงานให้หาที่อยู่ของบุคคลนิรนาม มันมีความสามารถตามหาโดยใช้ข้อมูลของอีเมลล์ ดังนั้นมันไม่น่าจะยากนี่นา
“นอกจากนี้ ฉันยังยุ่งกับคดีอื่นอีกนะ ‘การติดตามตัวผู้สูญหาย’ มันต้องมาก่อนไม่ใช่รึไง”
“ก็จริง” ฉันเห็นด้วย
--ผู้มาเยือนโยโกฮาม่าที่หายสาบสูญอย่างต่อเนื่อง --
ในคดีการหายตัวไปนี้เหยื่อแต่ละรายไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันสักอย่างแต่ที่เหมือนกันคือเป็นการหายตัวโดยไม่รู้ตัวและไม่กลับมาเลยนับจากนั้น ตอนนี้มีผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมด 11 คนแล้ว
ทีมนักสืบทำการสืบมาประมาณเดือนนึงแล้ว สิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเหยื่อแต่ละรายมีน้อยมาก แต่ที่เกี่ยวข้องอีกอย่างคือพวกเขามาจากนอกเมืองโยโกฮาม่าด้วยตัวเองและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น การค้นหาเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
เราให้โรคุโซหาว่าก่อนที่เหยื่อจะหายไปพวกเขาทำอะไรไว้บ้าง เขารับทำงานเริ่มค้นหาตั้งแต่เส้นทางรถไฟหรือรายงานของแท็กซี่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
“คดีอะไร ทำไมฉันเพิ่งเคยได้ยินล่ะ เล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยสิ”
ดาไซเริ่มอยากรู้อย่างเห็น
“ฉันจะบอกแกทีหลัง”
ฉันปฎิเสธที่จะบอกมัน
มันมีเหตุผลที่ต้องปิดไว้ เพราะว่าฉันคิดจะใช้คดีคนหายนี้เป็น ‘ข้อสอบเข้า’ ของมันน่ะสิ
“หืมม สอนงานเด็กใหม่ เจ้าแว่น นายเลื่อนขั้นล่ะหรอ หืม”
“เจ้านี้ไม่ค่อยเชื่อฟังเลยล่ะ โคตรตัวปัญหา”
“อ๋า! โรคุโซ นายเป็นแฮกเกอร์นิ นายไม่มีอะไรทำนองว่าจุดอ่อนของคุนิคิดะคุง หรือรูปภาพที่น่าอายของเขาเลยหรอ”
“โฮ่ย ดาไซ อย่าคิดจะมาแบล็คเมล์คนที่อยู่ตรงหน้าสิให้ตาย”
“อ้อ เข้าใจล่ะ สำหรับหน้าใหม่ 1000 เยน 10000 เยน 1000000 เยน นายจะเอาอันไหนล่ะ”
“นายมีเหรอ????”
“อย่ามามั่วนิ่ม ฉันไม่เคยมีจุดอ่อน ไอ้เด็กนี่มันพูดส่งๆ ดาไซ เลิกเล่นได้แล้ว”
“…หืมม” มันมองฉันเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้านายไม่เชื่อฉันก็ได้ ฉันขายให้เฉพาะลูกค้าที่เชื่อเท่านั้นแหละนะ แต่ก็นะ เจ้าแว่น ถ้านายจ่ายทุกอย่าง ฉันจะลบมันให้เอง”
“ใครจะจ่ายไม่ทราบ ฉันไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว ไปได้แล้ว ดาไซ”
ฉันดึงหลังคอเสื้อเจ้าดาไซแล้วพามันเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เด็กชายอยู่ข้างหลังภายในห้อง
...111000 เยน หืมม...
ในคืนนั้น ไม่มีใครเห็นว่าเราไปชุมชนโกดังตรงนั้น
ดาไซและฉันกำลังรอแท็กซี่ที่ฉันเพิ่งโทรเรียกไปบนถนน
แสงไฟจากตะเกียงตามทาง เงาดำที่ตัดกับแสงสีเหลือง เหมือนกับริบบิ้นสีเงิน แสงสีแดงที่กระจัดกระจายของไฟเบรค และแสงไฟสีขาวจากไฟหน้ารถซึ่งตัดกับความมืดของตึก แสงไฟอ่อนๆที่เปิดภายในรถกระทบกับกระจกของประตูเหมือนกระทบกับของเหลว มันผ่านเข้ามาในสายตาจากข้างหน้า
ลมทะเลที่พัดไปมา และแสงจันทร์ทำให้เกิดเงาสีขาวดำบนถนนของท่าเรือนี้
“เป็นเด็กที่ร่าเริงดีนี่” ดาไซพูดขณะจ้องมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“การให้แกมาพบเจ้าเด็กนี่คงเป็นสิ่งที่ผิดสินะ ฉันน่าจะคิดได้ก่อนว่ามันไม่ควรเลยจริงๆ”
“รุ่นพี่คร้าบ มีคำถาม”
“อะไร?”
“ทำไมถึงดูแลโรคุโซด้วยล่ะ”
ฉันหันไปหาดาไซ เขามีท่าทีจริงจัง
“ฉันรู้สึกแปลกใจที่นายมอบงานให้เขาทำ เช่นการตามหาคนที่สูญหาย ฉันมั่นใจนะว่าคนในสำนักงานก็สามารถทำได้ แค่สั่งทางโทรศัพท์ก็ได้นี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาที่นี่เลย?”
ฉันเงียบ มันไม่ง่ายเลยที่จะตอบคำถามนั้น
“แล้วตอนที่พูดกัน เกิดอะไรกับพ่อของเขาหรอ”
ฉันมองไปที่ดาไซทันที
“…พ่อของราคุโซเป็นตำรวจที่ยอดเยี่ยมคนนึง แต่ เขาตายแล้ว”
ไม่มีทางเลือก ฉันจึงเริ่มพูด
“เมื่อก่อน เขาทำงานด้วยกันกับสำนักงานในการตามหาอาชญากร มีคดีใหญ่คดีนึงที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ทำลายองค์กรต่างชาติและองค์กรธุรกิจไปมากมาย พวกตำรวจหัวหมุนในการจับตัวมันให้ได้ แต่พวกเขาไม่เคยรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนสักที “
“คดีนั้น— คดีผู้ก่อการร้ายธงสีฟ้าสินะ”
“ใช่”
พวกตำรวจและกองทัพต่างร่วมมือกัน มันเป็นคดีที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นเลยล่ะ
“ในตอนสุดท้าย พวกทีมค้นหาก็เจอที่ซ่อนลับและรายงานให้กับพวกตำรวจ”
“ก็ดีแล้วนี่ มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ” ดาไซเอ่ยปากชม
“ใช่ แต่ว่าในตอนนั้น กองกำลังทหาร หน่วยสวัสดิการพลเรือน และตำรวจทำงานด้วยกัน ทำให้คำสั่งเกิดความสับสนวุ่นวาย โชคร้าย ในตอนนั้นเอง ผู้ก่อการร้ายคงรู้ว่าพวกตำรวจตามเจอแล้ว เลยกักตัวเองอยู่ในที่ซ่อน และถือระเบิดทำลายล้างสูง”
ภาพในหัวย้อนกลับมาอีกครั้ง เสียงคำรามด้วยความโกรธของตำรวจที่ได้รับโทรศัพท์คำสั่งให้เข้าจับกุม คำสั่งให้รอ มีคำสั่งเข้าที่ขัดแย้งเข้ามากันมากมาย
“เพราะคำสั่งที่สับสนวุ่นวายนั้น มีเพียงนักสืบเพียง 5 คนที่มุ่งไปที่หมายอย่างรวดเร็ว มีคำสั่งให้พวกเราบุกเข้าไปและจับกุม...ทุกคนเรียกผู้ก่อการร้ายคนนั้นว่า ‘ราชาสีฟ้า’ แต่พวกเขาไม่ได้รับการฝึกพิเศษ...”
แต่ คนในที่เกิดเหตุไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ จึงทำการบุกเข้าโจมตีทันที
“นั่นจึงทำให้ราชาสีฟ้ากดระเบิดและตายไปพร้อมนักสืบทั้ง 5 สินะ”
“— ขอเดาว่า หนึ่งในนั้นคงเป็นพ่อของโรคุโซสินะ”
“แม่ของโรคุโซเสียตั้งนานแล้ว พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียง 2 คน เขาบอกว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติมากที่พ่อของเขาเป็นพนักงานของฝ่ายปราบปราม”
ฉันกำหมัดแน่น
“เพราะคนที่รายงานเรื่องพบที่ซ่อน นั้นก็คือฉัน”
ในตอนแรก ถ้าฉันติดต่อผู้ที่มีอำนาจมากกว่านี้ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ช่วยบุกจับล่ะก็..
“นั่นล่ะ ฉันก็ไม่ได้ต่างจากฆาตกร”
“มันไม่จริงสักหน่อย แต่ถ้าจะให้คิดล่ะก็ มันเป็นความผิดของพวกตำรวจที่ออกคำสั่งสับสนเองไม่ใช่รึไง”
“อาจจะ แต่ฉันมั่นใจว่ามีโอกาสที่เจ้าเด็กนั่นอาจจะต่างออกไป หรือเขาไม่ควรแฮกเข้าสำนักงานให้เหมือนกับโจมตี”
การให้ราคุโซมาทำงานให้สำนักงานอาจเป็นเส้นทางที่ดูขมขื่น ฉันไม่สามารถมั่นใจได้เลยจริงๆ แต่ว่า—
“ถึงพ่อของราคุโซจะไม่อยู่ แต่ก็ยังเหลือความเชื่อไว้ มันจึงต้องมีใครสักคนที่ต้องดูแลและอบรมเขาที่อยู่ตำแหน่งใกล้เคียงพ่อของเขา ฉันจึงควรเป็นคนทำมันจนกว่าจะถึงเวลา”
“คุนิคิดะคุงเป็นพวกโรแมนติกสินะ หืม” ดาไซถอนหายใจอย่างขำๆ
ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นพวกโรแมนติกเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่เข้าใจเรื่องอะไรทำนองนี้ด้วย
แต่พวกคนที่ฉันรู้จักทุกคนบอกฉันว่า ‘นายเป็นคนโรแมนติก’ ฉันไม่เข้าใจทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าฉันมักจะบอกกับตัวเองว่า ทุกๆสิ่งบนโลกมันเป็นไปตามอุดมคติไม่ได้หรอก
ขณะที่กำลังคิด รถแท็กซี่ได้มาหยุดตรงหน้าซึ่งคนขับกำลังกวักมือเรียกพวกเราอยู่
ถ้าพูดถึงคนขับแท็กซี่ พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ที่แตกต่างกันไปแต่ละคัน ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด ความมั่นคง เส้นทางตรอกซอกซอยเพื่อย่นระยะเวลา หรือจะเป็นคนขับเป็นเวลานาน อาจจะเป็นเด็กหนุ่มที่มาพร้อมรอยยิ้ม หรือพวกเขาจะลดค่ามิเตอร์ พวกเขาจะนำคำขอไปทำอย่างพิถีพิถัน ไม่ขัดข้อง
รวมถึงการพูดคุย นั้นเป็นคำขอเดียวที่ฉันขอ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ นักสืบคุนิคิดะ วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับงานนักสืบว่าไหมครับ วันนี้แว่นนั้นเหมาะกับคุณมากเลยครับ ผมยังทำเป็นคนขับไปเรื่อยๆน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังจะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงข้อดีและข้อเสียของแว่น คุณรู้ไหมครับ มันเรียกว่า ความสวยงาม มันเรียกว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแต่การเกิดขึ้นมาเลยครับ แว่นตาของสายสืบคุนิคิดะมันเยี่ยมมากครับ ผมรับประกันเลย”
“ฉันจะกรุณามากถ้าแกหุบปากและขับไปเฉยๆ”
ก่อนอื่นเลยนะ มันอะไรกันที่เขาตัดสินคุณธรรมที่เกิดมาจากแว่นเนี้ย มันโคตรงี่เง่าเลย
--แต่ว่านะ ฉันก็อยากรู้เกี่ยวกับมันนิดหน่อยเท่านั้นล่ะ
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนขับที่ไม่พูดมากน่ารำคาญ ผู้โดยสารไม่เคยบอกนายเลยหรอ?”
“ไม่ครับ ผมไม่เห็นว่าใครจะพูดเลยนะครับ หืม? แล้วก็นะ ผู้โดยสารทุกคนไม่พูดกับผมขณะขับรถหรอกครับ มีแค่ผมเนี้ยแหละที่พูด”
ฉันรู้แล้วล่ะ แท็กซี่คันไหนที่ทั่วเมืองเรียกกันว่า หายนะ
ดาไซและฉันได้บอกที่อยู่กับแท็กซี่ตั้งแต่แรกแล้ว เราจึงกำลังมุ่งหน้าไปที่ๆนั้น ในความมืดยังสามารถมองออกไปนอกหน้าต่างจะปรากฏถนนในเมืองค่อยๆหายไป และทางที่กำลังไปเหมือนออกนอกเส้นทาง มีป่าครอบคลุมทั้งสองข้าง หมอกจางๆ และดวงจันทร์กลับไปอยู่ด้านหลังของพวกเรา
แต่แน่ล่ะ เราไม่ได้จะนั่งรถแท็กซี่หายนะนี้เพราะเราโชคไม่ดีหรอกนะ แต่เราตั้งใจเลือกคันนี้ต่างหาก ทำไมน่ะเหรอ?
เพื่อรวบรวมข้อมูลน่ะสิ
“ดาไซ แกจำอะไรเกี่ยวกับ คดีการหายตัวอย่างต่อเนื่องของผู้มาเยือนโยโกฮาม่าหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ที่เราเพิ่งพูดไป”
“อ่า~ ที่เจ้าหนูราคุโซสืบน่ะหรอ”
“ใช่ มีเหยื่อถีง 11 ราย นอกจากนี้เหยื่อทั้ง 11 ราย มีเหยื่อ 2 คนได้นั่งรถคันนี้ก่อนพวกเขาจะหายตัวไป”
ฉันชี้ไปที่คนขับร่างบางคนนี้
“เหยื่อหรอครับ? ผมแค่ขับรถจากท่าเรือไปส่งเขาที่โรงแรมก็เท่านั้นเอง หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่มาเที่ยว ส่วนอีกคนเป็นนักธุรกิจมาเจรจาด้านธุรกิจ”
ฉันเอารูปหลายใบออกมาจากกระเป๋าตรงหน้าอก เป็นรูปจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพของคนหายได้ เป็นรูปที่พวกเขาเดินไปในตึก ไปเช็คที่ประชาสัมพันธ์และกลับออกมาอีกวัน มีแต่รูปสามแบบนี้ทั้งนั้น
“ใช่ครับ พวกเขาไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย เสื้อผ้านี้เหมือนกับตอนที่ผมไปส่งเขาที่โรงแรม”
“โอเค แล้วก็นะ คุนิคิดะคุง นายคิดไหมว่าควรจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ให้ฉันฟัง ถ้าหากว่านายสะดวกน่ะนะ?”
“...ได้”
เมื่อเดือนก่อน มีชายวัย 42 ปีมาเจรจาธุรกิจที่โยโกฮาม่าแล้วจู่ก็หายตัวไป เราตามรอยไปพบว่าเขาออกจากท่าเรือแล้วไปที่โรงแรมเพื่อเช็คอินและควรจะปรากฎตัวในเช้าวันถัดไป แต่ว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น เขาไม่ปรากฏตัวในการประชุมธุรกิจหรือกลับบ้าน มีแค่ข้าวของที่ทิ้งไว้ที่โรงแรม เหมือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหยื่อคนอื่นๆก็มีสถานการณ์คล้ายๆกับนักท่องเที่ยว หรือแขกรับเชิญรวมกันถึง 11 ราย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ไม่ว่าจะเป็น อายุ ที่อยู่ อาชีพทำงาน มีแค่มาโยโกฮาม่าตัวคนเดียว ตำรวจได้ตั้งที่สอบสวนและตามร่องรอย หลังจากออกจากโรงแรม แต่ก็ไม่พบอะไรเลย อย่างกับพวกเขาหายไปราวกับควัน
พวกตำรวจได้ให้ความเห็นว่าเป็นคดีลักพาตัว แต่ในเมืองใหญ่แบบนี้ไม่น่าจะมีใครลักพาตัวได้โดยไม่มีพยานรู้เห็น แล้วทางครอบครัวก็ไม่ได้รับคำขู่เรื่องค่าไถ่ตัวเลยด้วย ดังนั้นการลงมติว่าเป็นคดีลักพาตัวจึงตกไป
“มันก็มีอีกอย่างไม่ใช่หรอ?”
ดาไซที่ฟังอยู่เงียบก็พูดสวนขึ้นมา
“การค้ามนุษย์…”
“อะไรนะ?”
“ฉันกำลังพูดถึง หลังจากจับตัวไปต่างหาก ที่ฉันได้ยินก็เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่ใช่หรอ? หัวใจ ไต กระจกตา ปอด ตับ ตับอ่อน ไขกระดูก—ก็นะ แต่ถ้าขายไปต่างประเทศด้วยเงินเยน มันคงไม่เยอะเท่าไหร่ แต่นี้มันชิ้นส่วนของคน 11คน มันน่าจะมหาศาลอยู่นะ มันไม่ใช่อาชญากรรมที่มีมานานแล้วหรอ มันทำเงินได้ดีมากๆเลยล่ะ”
“ก็จริง ในตลาดมืดก็ใช้วิธีนี้หมุนเงินนี่นา—แต่ว่า ทำไมแกถึงรู้เรื่องที่แย่ๆแบบนี้เยอะจังล่ะ”
ฉันคิดว่าความคิดนี้มันน่าจะมาจากแค่การอ่านนิยายในหนังสือหรือดูภาพยนตร์เท่านั้น
“เปล่าหรอก ฉันแค่ได้ยินพวกเขาพูดกันตอนไปดื่มที่บาร์รอบนอกของเมือง “
ก็นะ ทุกอย่างเกี่ยวกับมันดูมีพิรุธไปหมด
“..ถ้าเป็นในกรณีนั้น งั้นก็แสดงว่าคนที่หายไปได้ขอร้องให้มีการซื้ออวัยวะของเขาไปงั้นหรอ? ในระยะเวลาที่มาเที่ยวหรือเจราจาธุรกิจเนี่ยนะครับ “
‘ก็จริง มันไม่เป็นไปตามปกติเลย ถ้าอย่างนั้น มันอาจจะไม่ใช้การค้าอวัยวะ แต่เพราะมีบางอย่างรอบตัวเขาหายไป ฉันได้ไปถามเกี่ยวกับการใช้บริการมีการใช้ชื่อใหม่หรือลงทะเบียนใหม่ไหม แต่มันก็ไม่มีอะไรเลย’
“แล้วถ้าเราไปพบพนักงานตัวนั้นด้วยตัวเราเอง พวกเขาจะไม่ให้ฟิล์มสำหรับกล้องวงจรปิดกับพวกเราหรอ”
“นายกำลังจะบอกว่าหลักฐานพวกนั้นมีการปลอมแปลงมาก่อนหรอ”
“มาคิดๆดูแล้วนะครับ ในวงการการถ่ายภาพ สามารถปลอมแปลงงรูปจากผู้ชายเป็นผู้หญิงได้นะครับ ยัดอะไรไว้ที่โหนกแก้มโดย เอาผ้าไหมเพื่อเปลี่ยนรูปร่างของโครงหน้า แล้วก็—“
“ไม่มีใครฟังแกหรอก” ฉันสวนแทบจะในทันทีเพื่อตัดบทก่อนมันจะพล่ามไปมากกว่านี้
“ฉันเจอแล้ว! ดูรูปพวกนี้สิ 2คนในนี้ใส่แว่นด้วยล่ะ เห็นไหม? ฉับพบสิ่งที่เชื่อมกันแล้ว หรือจะให้พูด งั้นนี้ก็เป็นคดี คนใส่แว่นที่หายสาบสูญอย่างต่อเนื่อง’
ฉันดูที่รูปพวกนี้ เหยื่อสองคนจากทั้งหมดใส่แว่นทั้งคู่ กรอบสีดำและสีเงิน
“คราวนี้ ตานายแล้ว! คุนิคิดะคุง”
“ตาฉัน? เหยื่ออีกเก้าคนที่เหลือ ไม่ได้ใส่แว่น แกไม่สามารถบอกว่ามันเป็นจุดเชื่อมกัน”
หรือให้ฉันพูดใหม่ ใน 9 คนที่เหลือ มี 4 คนใส่แว่น อีก 2 คนใส่แว่นกันแดด ส่วนที่เหลืออีกสามคนไม่ได้สวมอะไรเลย
“อั๊ก!! งั้นเราไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ เราจะใช้คุนิคิดะคุงเป็นเหยื่อล่อ เป้าหมายของคนร้ายก็คือนักท่องเที่ยวสินะ งั้นคุนิคิดะต้องใส่รองเท้าบูทยาง กระเป๋าสำหรับแบ็คแพ็ค ใส่เสื้อลายตารางสีแดง-เขียวและใส่กางเกงสำหรับปีเขาเดินไปทั่วถนนในโยโกฮาม่า แล้วก็ถ่ายผู้คนด้วยกล้องตัวใหญ่ๆ และในทุกบทสนทนาต้องพูดต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ซูร่า”
“ใครมันจะทำกัน”
“ใครมันจะทำกัน ซูร่า!!”
“นี้แกเรียกวิธีนั้นว่า วิธีการเหรอ? ห๊ะ ตกไป!”
“ตกไป ซูร่า!”
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
“เอ๋? งั้นให้คุนิคิดะคุงเปลือยแล้วใส่หมวกไหมพรม กำลังถีบจักรยานล้อเดียวอยู่คนถนนแล้วก็ตะโกนลักษณะที่ผู้หญิงที่ชอบ”
“นั่นมันผิดประเด็นแล้วเว้ย!!”
“ผมว่า ให้สายสืบคุนิคิดะใส่ชุดตัวตลกน่าจะเหมาะกว่า ว่าไหมครับ?”
“แก หุบปากไป!”
บ้าเอ๊ย! ใช้ไม่ได้เลยสักคน
ฉันว่าฉันจะหมดความอดทนกับเจ้าพวกนี้
“ดาไซ! นายช่วยทำงานให้มันเอาจริงกว่านี้ได้ไหม ห๊ะ! เมื่อไหร่แกจะจริงจังสักที”
“เอ๋? ฉันก็ทำงานอย่างจริงจังแล้วนะ”
ถ้านี่เป็นกรณีที่มันทำงานจริงๆแล้ว มันไม่ควรทำเลยจริงๆ
“เอาล่ะ แล้วเราจะทำยังไงกันดี ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะเป็นนักสืบที่ดี ฉันจะสืบสวน จับคนร้าย และวิเคราะห์เหตุผลอย่างจริงจัง จนคุนิคิดะพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะแต่ฉันจะเริ่มทำพรุ่งนี้ ฉันจะเริ่มทำงานคนเดียวโดยไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน ฉันก็จะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมตามที่นายคิดไว้เลยล่ะ”
ดาไซมันพูดข้อแก้ตัวไปเรื่อยแหละ เชื่อได้ที่ไหน
“แล้วนายจะทำตาม’ที่พูด’เมื่อไหร่”
“จนกว่าจะออกจากแท็กซี่นี้ล่ะ”
โอ้
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน เกียรติของนักฆ่าตัวตายไม่มีการคืนคำเด็ดขาด เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันขออะไรเป็นการตอบแทนได้ไหม”
ฉันรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“อะไรล่ะ? ให้เพิ่มเงินเดือน แล้วลดงานหรอ ฉันขอปฎิเสธ”
“ไม่ใช่อะไรที่เรื่องใหญ่ขนาดน้านนนน มันก็แค่อะไรที่ฉันสนใจอยู่ในตอนนี้น่ะ..”
ดาไซมันปีนไปตรงที่นั่งคนขับ แล้วขยิบตาให้ฉัน
“...เดี๋ยวขับเอง”
กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!’
โว้วววโฮวววววววววววววววววว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉันคือสายยยยลมมมมมม
เห้ยยยยย ดาไซ!!! หยุดดดดดด พอแล้วววววว อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
^&^&JKH&*J^^^&$%&^(&$%*(&*%&
“เอาล่ะ เรามาถึงแล้ววววววววววว”
“ฉัน..ฉัน..จะไม่ให้แก...ขับอีกแน่นอน”
ประตูเปิดออกแล้วเจ้าดาไซออกจากแท๊กซี่อย่างห้าวหาญส่วนฉันน่ะเหรอ....แทบจะร่วงไปกองที่พื้น
ไม่ต้องพูดถึงคนขับแท๊กซี่ที่เป็นลมไปกับเบาะสำหรับผู้โนสารเรียบร้อย คืนนี้น่าจะไม่ใช่คืนของเขาน่ะนะ
“หืม ทำไมเดินเหมือนคนป่วยเลยอ่ะ ทุเรศมากอ่ะ”
ฉันอยากจะฆ่ามันพร้อมกับคำพูดนั้นจริงๆ
มันไม่ใช่อาการป่วยแน่นอน ฉันยืนขึ้น ขาสั่นไปหมด การทรงตัวฉันก็ไม่ค่อยจะโอเค อย่างกะลูกกวางเกิดใหม่ยังไงยังงั้น ทั้งแขนทั้งขาฉันสั่นไปหมด
ตอนฉันเรียนศิลปะป้องกันตัวอย่างหนัก ยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย
“เอาล่ะ!! เริ่มทำงานกันเลยเถอะ เพราะว่านายรับคำขอมาแล้ว งั้นรีบทำงานกันเถอะ’
ยากที่จะยอมรับที่ฉันจะพูดคำๆนี้ออกมา.. “ขอฉันพักก่อน!!!!”
“นี่คือที่ๆเขาบอกมาใช่มั้ย แล้วก็นะ คุนิคิดะคุง นายไม่กลัวผีหรือปีศาจอะไรทำนองนี้งั้นเหรอ?”
“ผี?.... ฉันทำงานในสำนักงานนักสืบ ฉันว่ามีดหรือปืนยังน่ากลัวกว่าเรื่องพรรค์นี้อีก เหอะ’
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ แต่สถานที่ที่เขาบอกมันก็คือๆกับแบบนั้นเลยนะ”
ฉันหันไปมองตามทิศที่เจ้าดาไซบอก
เป็นตีกเก่าๆสีดำที่พร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ ตั้งอยู่ในหลืบของภูเขา
สีของความมืดที่ปกคลุมเหมือนสัญลักษณ์ของความตาย ถ้ามีลมแรงๆพัดมาเหมือนพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ
มันคือโรงพยาบาลร้าง
ทำไม
ทำไมต้องมาตรวจสอบที่แห่งนี้ตอนกลางคืนด้วยเนี่ย
ขณะมันยังมีคนอยู่ ผู้คนต่างเข้ามาพักรักษาตัวกันมากมาย คนที่มีจิตใจและร่างกายดีๆ เขาคงไม่มาที่แบบนี้หรอก แต่ในความเป็นจริง คนเราทุกคนเกิดแล้วก็ตายที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลเหมือนโลกๆนึง ที่เป็นทางแยกของการมีชีวิตอยู่หรือการตาย
ขณะที่กำลังเดินเข้าไป มีแต่ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มไปหมดจนทำให้ชวนขนลุก แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างที่ผุพังสะท้อนจนเกิดเงาสีน้ำเงินจากซากปรักหักพัง บ่อน้ำที่ขึ้นอืดเป็นสีม่วงและไร้วีแววของสิ่งมีชีวิต ที่สนามหญ้ามีเพียงดอกฮิกันบานะทำให้ดูราวกับทะเลเลือด
“มืด....ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย”
“ไม่รู้สึกดีหรอ?”
ฉันก้าวสับขาไปมาบนห้องโถงของโรงพยาบาลร้าง ดาไซตามหลังฉันมาด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ
ผนังทั้งหมดผุเป็นส่วนๆออกมา เส้นลวดห้อยลงมาจากฝาเพดาน บ้านหน้าต่างส่วนใหญ่หักแยกออกจากกัน เฟนิเจอร์และเครื่องมือต่างๆส่วนใหญ่เหมือนจะโดนขโมยไป และในแต่ละห้องมีหนอนและแมลงเต็มไปหมด
ที่นี่ราวกับโดนใครสักคนบุกเข้ามาทำลายอย่างไรอย่างงั้น
“เราต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเสียงและแสงไฟมันเกิดขึ้นทุกคืนได้ยังไงกัน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดได้ไง คงต้องส่งคนมาเฝ้า”
“อืม....ฉันว่าฉันเข้าใจนะ แต่ว่านะคุนิคิดะคุง นายไม่ระวังตัวมากไปหรอ”
ฉันจ้องเจ้าดาไซ
“แกกำลังพูดเรื่องอะไร? การที่เราลดการป้องกันกับศัตรูมันก็เป็นการกระทำที่โง่ๆของพวกไร้สมอง และถ้าสมมติในกรณีที่แย่ที่สุดแล้วเคลื่อนไหวผิดพลาดมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนในสำนักงาน”
“หรือว่านายจะ...กลัว?”
“ฉะ...ฉะ...ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย ไอ้โง่!”
“ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะ”
“ไอ้โง่ มันอยู่แค่ในหนังทำนองนั้นล่ะ ที่ตัวละครที่กระตือรือร้นแล้วทำอะไรชุ่ยๆ จนให้คนอื่นรับเคราะห์แทนตัวเองน่ะ”
“หมายความว่าไงหรออ ‘หนังทำนองนั้น’น่ะ”
“ช่างมัน ไป เดินไป เดี๋ยวดูด้านหลังให้เอง”
“นายไม่อยากเดินนำหน้าเหรอ?? อ๋อออออ เพราะมันมืดสินะ แล้วไม่ใช้ไฟฉายเหรอ?”
ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นนานแล้วล่ะ ฉันต้องการให้มันสว่างกว่านี้ แต่ว่า...
“ถ้ามันมีใครอยู่ในตึกนี้นอกจากพวกเรา เดี๋ยวพวกมันก็แตกตื่นจนหนีไปเพราะแสงจากไฟฉาย เดินต่อได้แล้ว ใช้แสงจากพระจันทร์เนี่ยแหละ”
“ห๊าาา~”
พวกเราสองคนเดินต่อไปในความมืด ลมมาปะทะจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด และได้ยินเสียงหยดน้ำจากที่ไหนสักแห่งในตึก
ฉันมาคิดๆดูแล้ว ในคำขอมีพูดเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ฉันว่าฉันไม่เห็นตึกไหนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโรงพยาบาลนี้เลย มีแค่ป่าเต็มไปหมด เนินเขา และก็ทุ่งหญ้า กับเสียงลมกรรโชกกระทบต้นไม้และเสียงขยับของใบไม้ที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันนึกถึงอีเมลล์ฉบับนั้นอีกครั้ง ที่มันบอกว่า ผู้อยู่อาศัยโดยรอบ มันก็หลายกิโลจากตึกนี้ และตึกนี้ไม่น่าจะมีผู้คนเข้ามาเลย ถ้าจะมีคงเป็นพวกหมาป่าหรือหมีที่อาศัยอยู่ในป่าเท่านั้น
- แล้วลูกค้าเป็นคนยังไงกัน
- ไม่ยอมบอกชื่อ
- หรือจะเป็นวิญญาณร้าย
ฉันคิดถึงคำพูดของดาไซ
รอบตัวเรามีเพียงความมืดเท่านั้น มองอะไรไม่เห็นเลย ลมที่พัดเข้ามาทำให้มีเรื่องหวีดคล้ายเสียงผู้หญิงร้องไห้
.......
ฉันไม่เชื่อในเรื่องผี ฉันเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และรอบรู้ทั้งเคมีและฟิสิกส์
วิญญาณร้ายมันเกิดมาจากความคิดฟุ้งซ่านจากรอบตัว เพราะกลัวความมืดจึงทำให้เกิดหลงผิดได้
........................
ฉันไม่ได้กลัว ฉันไม่ได้สั่นอยู่หรืออะไรทั้งสิ้น ฉันไม่ได้จะร้องไห้.....
“มันมาแล้ว!”
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวใจฉันแทบจะกระโดดเมื่อเจ้าดาไซพูด
มันหันหน้า มองฉันที่อ้าปากค้าง พินิจพิจารณาดูหน้าฉันอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็เหยียดยิ้มออกมา
ไอ้คนเฮงซวยพรรค์นี้นี่….!!
“นายจะต้องถูกไล่ออก!”
“ไม่มีทาง ฉันแค่เห็นว่าคุนิคิดะคุงดูกังวลเกินไปก็เท่านั้นเอง เลยช่วยนิดหน่อยเอง”
“อย่าเอาเรื่องเฮงซวยพรรค์นี้มาเล่นกับฉันอีก!”
ฉันผลักมันให้เดินต่อไป
บ้าเอ้ย มันมืด ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย ฉันว่าฉันเริ่มหลอนเพราะความมืดรอบๆตัวแล้วล่ะ
มีแต่ความมืดของเงา ทำให้รู้สึกถึงลมหายใจยาวๆได้
มืด
มืด
ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย
กวีดอปโป – ไฟฉาย
มันสว่างขึ้นมาบ้างล่ะ
หลังจากตรวจสอบรอบๆโรงพยาบาล เราพบร่องรอยว่ามีใครบางคนเข้ามาในนี้
ร่องรอยเหมือนมีใครบางคนดึงอะไรสักอย่างโดยใช้ล้อ รอยเท้าจากบูทหนัง เศษเสื้อผ้า แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นร่องรอยบอกว่ามีใครบางคนกำลังก่ออาชญากรรมที่นี่ทุกคน หรือว่าจะเป็นโจรจะเข้ามาขโมยของ ก็ไม่น่าใช่
การมองเห็นสิ่งเหล่านี้มาจากไฟฉายที่ฉันใช้พลังพิเศษ แต่มันไม่ช่วยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความมืดของโรงพยาบาลนี้
ทุกตารางนิ้วมีแต่ความมืด มันมืดจนถ้าฉันส่องไฟไปข้างหน้า ขาของฉันเหมือนกับอยู่กลางทะเลมืดๆเลยล่ะ ถ้าฉันส่องเท้าตัวเอง ข้างหน้าก็มืดราวกับถ้ำ เราจึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง มันเลยทำให้การค้นหาไม่ได้ดีเท่าทีควร
“นี่มันแค่การแกล้งกันชัดๆเลย กลับกันเถอะ” ดาไซพูดย่างเหลืออดและหันหลังกลับทันที
“เดี๋ยว เนี่ยเหรอที่บอกว่า ‘ฉันจะทำการสอบสวน จับกุม และวิเคราะห์อย่างจริงจัง’ น่ะ? คำว่าพอแค่นี้สำหรับนักสืบระดับนี้มันไม่ควรมี ต้องหาหลักฐานมากกว่านี้”
“งั้นก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ ดูนี่สิ”
ดาไซถือสายไฟขึ้นมา ส่วนปลายทั้งสองฝั่ง ฝังอยู่ใต้ดิน – ทำไม?
“หรือนี่คือ....สายไฟ?”
แต่มันดูใหม่มาก ใหม่เกินกว่าจะเป็นสายไฟของตึกพังๆนี้ มันต้องมีคนเพิ่งมาติดตั้งไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแน่นอน
“ถ้าเราตามสายไฟพวกนี้ไป--”
ดาไซม้วนสายไฟและเดินตามไปเรื่อยๆจนสุดปลาย มันถูกเดินสายไฟและซ่อนอย่างดี แต่เราก็ตามถึงสุดปลายของมัน
ดาไซก้มไปหยิบอย่างอื่นมา
“นี่มัน...กล้อง ต้องเป็นของใครสักคนที่นี้แน่ๆ มันไม่น่าจะมาอยู่ในที่อย่างนี้ได้เลยนะ หรือว่า โอ้วว มีผู้ประสงค์ร้ายคิดจะถ่ายรูปคุนิคิดะคุงตอนกลัวผีจนร้องไห้ เป็นคนที่แย่จริงๆ”
“เฮ้ ฉันไม่ได้ร้อง”
“ก็จริงนะ หืม การกลัวความมืดในตึกร้างนี้ คงจะมีแค่เด็กอนุบาลเท่านั้นแหละมั้ง”
‘…………………………………….’
“ในตอนแรก ผีในโรงพยาบาลดูไม่มีอะไรน่ากลัวเนอะ เพราะส่วนใหญ่ตายเพราะโรค ใช่ไหม? งั้นเรามาพูดถึงคนที่ตายจากอุบัติเหตุกันบ้าง เขาอาจจะวนเวียนอยู่ในที่เขาตาย ผีพวกนี้จะไม่ยอมรับว่าตัวเองตาย ส่วนมากพวกเขาจะไม่ยอมรับและปฏิเสธมัน เช่น ‘ฉันไม่อยากตาย...’หรืออะไรแบบนี้ อ่า! ไม่นะ ไม่เอา ฉันจะตายด้วยความตั้งใจเอง อะไรมันจะดีขนาดนั้น”
“ดาไซ....โอยย เอาล่ะ หยุดพูดถึงมั--”
โอ้...แล้วถ้าวิญญาณที่คับแค้นได้ยินเข้าล่ะ...เราจะทำยังไงดี
“ถ้าพวกเขามีความบาดหมางกับใครระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะ อย่างเช่นอะไรที่คล้ายๆ ผู้หญิงตัวผอมแห้งที่มาด้วยวัณโรคปอด ผมเปียกๆที่ไหวอย่างยุ่งเหยิง พูดอย่างเคียดแค้นว่า ‘แค้นเหลือเกิน ฉันอิจฉาทุกสิ่ง ช่วยฉันจากนรกนี้ที เอาฉันออกจากความเจ็บปวดนี้ที อ่า เจ็บเหลือเกิน ทั้งเลือดฉัน กระดูกฉัน เนื้อฉัน ข้างในฉัน อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’’
“ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ขณะนั้นเองก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นมาจากความมืด มันทำให้ฉันตกใจราวกับหัวใจฉันจะหลุดออกมาจากคอ
ในขณะเดียวกัน ราวกับน้ำเย็นสาดเข้ามา ทำให้ฉันใจเย็นลง
เสียงร้องเมื่อครู่นี้ มันเป็นเสียงคนนี่นา
“เสียงตะกี้นี้มัน…”
“ทางนี้ เร็วเข้า!”
ฉันไม่รอเจ้าดาไซมันแล้ว รีบวิ่งลงไปด้านล่างของห้องโถงเน่าๆนี้ ในเวลาใกล้ๆกัน ฉันปีนบันไดลงไปด้านล่างและข้ามห้องโถงด้านล่างนี้ไป ฉันเตะซากปรักหักพังที่ขวางทางแล้ววิ่งตรงไปยังต้นทางของเสียง
ฉันมาถึงชั้นใต้ดินของตึก ฝ้าเพดานหล่นลงมาและแตกอยู่บนพื้น มีห้องมากมาย เรียงต่อกัน ห้องครัว ห้องจัดยา ห้องเอ็กซเรย์ แล้วก็ห้องเก็บศพ
จากเสียง ฉันว่ามันมาจากห้องครัว
เธออยู่นั่นไง
จากผิวน้ำของแทงค์สำหรับซักผ้า มือขวาของผู้หญิงยื่นมาเหนือน้ำเพื่อดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
ฉันรีบวิ่งและมองเข้าไปในน้ำ ที่ก้นแทงค์มีผู้หญิงที่เหลือแค่ชุดชั้นในและมืออีกข้างนึงใส่กุญแจมือกับราวด้านล่าง
เพราะกุญแจมือ เธอจึงขึ้นมาบนผิวน้ำไม่ได้ เธอกำลังจมน้ำตาย
“มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย”
“เราต้องพังตะแกรงเหล็ก”
ดาไซตะโกนขณะจับตะแกรงเหล็ก ตะแกรงเหล็กอันใหญ่เชื่อมติดกับแทงค์ราวกับปิดกั้นทางหนีของหญิงคนนี้
ฉันจับมันด้วยมือทั้งสองข้างนี้ และเขย่ามันด้วยแรงที่ฉันมี แต่มันลงกุญแจไว้ จะใช้แรงขนาดไหนมันก็ไม่หลุดออกมาแน่
ฉันสบตากับผู้หญิงในน้ำ นัยย์ตาสีน้ำตาลแดง ตาของเธอเบิกกว้างและกำลังสื่อกับฉันว่า ช่วยฉันด้วย
“ฉันกำลังจะช่วยเธอ ไปที่ขอบแทงค์ซะ!!”
ฉันชี้ให้เธอไปที่ขอบแทงค์ เมื่อเธอรับรู้ เธอเอาหลังของเธอชนกับผนังแทงค์และขดตัว
ฉันเอาปืนขดลวดที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา ฉันต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และเล็งไปที่ผนังด้านนอกของแทงค์
“ก้มลง ดาไซ!!”
มันไม่มีทางโดนผู้หญิงแน่ ฉันเล็งที่มุมและ ยิง!
ผนังแทงค์บริเวณถูกยิง กลายเป็นรูและเป็นรอยร้าว มีน้ำกระเซ็นมาเล็กน้อย ฉันตรงไปที่รอยร้าวนั้นและเตะมัน
แรงเตะที่ฉันใช้ได้มาจากการฝึกเตะผนังเซรามิกและผนังปูน เมื่อส้นเท้าของฉันโดนรอยร้าวนั้น ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ น้ำมหาศาลไหลทะลักออกมา
“แค่กๆ แค่กๆๆๆ”
น้ำทะลักออกมาจากรู ระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าหน้าของเธอ เธอพยายามหายใจอย่างโหยหา
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ฉันส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอภายใต้ตะแกรงเหล็ก ผู้หญิงรับผ้าเช็ดผ้าด้วยมืออันสั่นเทา
“เหมือนมีใครบางคนพยายามทำให้คุณจมน้ำ...คุณเห็นใครบ้างไหม” ดาไซถาม
เธอไออยู่พักใหญ่ เธอสูดลมหายใจและเอ่ยปากออกมา
“ฉัน—ฉันถูกลักพาตัวมา วันนี้ฉันมาโยโกฮาม่าเพื่อทำงาน แต่แล้วสติฉันก็หายไปก่อนหน้านี้ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี้แล้ว”
ดาไซและฉันหันมามองหน้ากัน
ทำงานกับดาไซครั้งนี้ เราพังตะแกรงเหล็กและกุญแจมือเพื่อช่วยผู้หญิงออกมา ตะแกรงเหล็กลงกุญแจถึงสามชั้นจึงไม่มีทางเลือกต้องพังมันลงใช้ปืนขดลวด
“ฉันชื่อว่า ซาซากิ โนบุโกะค่ะ เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในโตเกียว เมื่อมาถึงโยโกฮาม่า ฉันหมดสติไปก่อนหน้านี้น่ะค่ะ....รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว”
ซาซากิซังกำลังอธิบายเหตุการณ์ที่จำได้ด้วยใบหน้าเศร้าๆและเปียกน้ำ
“ซาซากิซัง คุณพอจะรู้ไหมครับว่าผ่านมากี่วันตั้งแต่คุณหมดสติและโดนลักพาตัวมา คุณพอจะบอกได้ไหมครับ?”
“ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ ตอนฉันหมดสติ ฉันจำรายละเอียดไม่ได้เลย แต่ถ้าจะบอกจากร่างกายและระดับความหิว ฉันว่าคงไม่เกิน2-3วันหรอกค่ะ”
วันที่เกิดคดีผู้มาเยือนโยโกฮาม่าหายสาบสูญอย่างต่อเนื่อง มันประมาณ3 ถึง 5 วันก่อน ถ้าสิ่งที่ซาซากิซังพูดเป็นจริงล่ะก็ เป็นไปได้สูงเลยทีเดียวที่เธอจะเป็นเหยื่อรายที่ 12
‘……’
ขณะเดียวกัน ดาไซก็เงียบลงและกอดอก ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ซาซากิซังเป็นผู้หญิงที่มีผมดำสลวยเงางาม เธอน่าจะอายุพอๆกับฉัน
ตัวเธอยังสั่น เสื้อผ้าเธอคงโดนถอดหลังจากลักพาตัวมาและเหลือไว้เพียงชุดชั้นในแค่นั้น? ถึงแม้ว่าดาไซจะให้เธอยืมเสื้อโค้ท แต่ในเวลากลางคืนและตัวเปียกอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติและที่จะสั่น
เธอยกแขนขึ้นทั้งสองข้างกอด ไหล่สั่นสะท้านจากความหนาวเย็น ขาที่เหยียดออกมาจากเสื้อโค้ท เสื้อโค้ทเปียกน้ำลู่แนบลำตัวทำให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายชัดเจน ผิวของเธอขาวจนแทบจะโปร่งใส
ผมของเธอมีหยดน้ำเกาะและลู่ลงมาถึงหน้าอก ไม่อยากจะอธิบายมากกว่านี้ล่ะ ฉันหันหน้าไปอีกทาง
“แต่ที่สำคัญกว่านี้นะคะ น่าจะมีคนที่ถูกลักพาตัวมาเหมือนกับฉันอยู่ในตึกอีกนะคะ ฉันได้ยินเสียงค่ะ”
“อะไรน--”
มีคนหายคนอื่นอีกหรอ? หรือพวกเขาจะถูกลักพาตัวมาขังไว้ที่นี่?
“เดี๋ยวจะพาไปเองค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้นและกำลังจะนำทางพวกเราซึ่งกำลังสับสนอยู่
......แต่ว่า
“….เดี๋ยว” ฉันยื่นมือออกไปให้ซาซากิซังหยุดลงก่อน
“ดาไซ นายคิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไง”
“ซาซากิซังน่ะ เซ็กซี่มากเลยล่ะ” ดาไซพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“จริงจังหน่อยสิเฮ้ย”
“หืมม ฉันว่าเราทำเยอะไปแล้วล่ะมั้ง’ ดาไซตอบกลับมาขณะกอดอกอยู่
“เรามาที่ตึกร้างนี้เพื่อมาสืบหาที่มาของเสียงและแสงปริศนา ไม่ใช่เหรอ? แต่เรากลับมาเจอเหยื่อจากคดีหายตัวซึ่งมันไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยนี่ แต่เอาจริงๆทั้งสองคดีมันก็เป็นความรับผิดชอบของเราด้วยแหละ งั้นก็.... ซาซากิซัง คุณเห็นหน้าคนร้ายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ?’
“ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่ฉันไม่เห็นหน้าคนร้ายเลยค่ะ..พอได้สติก็อยู่ในแทงค์ตอนนั้นระดับน้ำอยู่ระดับเดียวกับหน้าแล้วค่ะ ฉันว่าคนร้ายน่าจะเปิดน้ำแล้วก็ออกไปสักประมาณ 5 นาทีก่อนฉันตื่นน่ะค่ะ”
เพราะว่าเธอตะโกนตอนนั้น เวลามันใกล้เคียงมากเลยนะ
“งั้นคนร้ายก็เพิ่งไปได้ไม่นานนี้เองสิ เขาก็น่าจะรู้ว่าเราเดินอยู่ใกล้ๆนี้สิ แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ”
“เขาอาจจะตกใจที่มีคนมาหรือ--”
หรือว่ามันเป็นกับดักที่เตรียมไว้อยู่ตั้งแต่แรก
ความกลัวต่อกับดักและสถานที่นี้มันหายไปหมด
ในตึกๆนี้ คือเหยื่อที่มาจากคดีคนสูญหาย มันเป็นไปได้ที่จะถูกขังไว้ แล้วทำไมเราจะไม่ช่วยพวกเขาล่ะ
“35 วันหลังจากผู้สูญหายคนแรก เป็นไปได้ว่าจะถูกจับตัวมาไว้ที่นี้ นี่ขึ้นกับชีวิตพวกเขาล่ะ ดาไซ คุ้มกันผู้หญิงแล้วตามฉันมา”
ฉันถือปืนไว้ในมือและเดินลงไปจากห้องโถง
ฉันบอกกับตัวเองให้รายงานเรื่องนี้กับพวกตำรวจ สถานที่ที่ซาซากิซังนำเรามาคือห้องเก็บศพ เพราะศพมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นประตูมีจึงแข็งกว่าปกติ การที่ประตูลงกลอนด้วยสลัก มันคงเหมาะสำหรับพวกไม่มีชีวิตล่ะนะ
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีกับดักอยู่ภายในห้อง ฉันทำลายสลักและบุกเข้าไป เอามือไขว้กัน ข้างนึงถือกระบอกปืนอีกข้างถือไฟฉาย
ห้องเก็บศพนี้น่าจะประมาณซัก 10 ตารางเมตร และมืดมากๆ ส่วนใหญ่ของภายในห้องหายไปคาดว่าน่าจะมีคนมาขโมยมันไป เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า เหลือไว้เพียงเปลหามศพพังๆ ถุงใส่ศพที่ขาดวิ่นและที่ผนังห้องมีตู้ใส่โรงศพอยู่
ไม่พบอะไรเลย ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งมีชีวิต – ไม่
มีอะไรสะท้อนกับแสงจากไฟฉาย เหมือนมีบางอย่างขยับอยู่ ฉันส่องไปทิศทางนั้น
“ชะ..ช่วยด้วย…”
มีคนอยู่ในนี้!
ก็พบกับกรงเหล็กขนาดใหญ่ตามผนังห้อง มีคนอยู่ 4 คน เหมือนซาซากิซัง ทุกๆคนเหลือแค่ชุดชั้นในเท่านั้น
“ที่..ที่นี่ที่ไหน”
“ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงก่อนหน้านี้...เกิดอะไรขึ้น”
“ใจเย็นก่อนครับ เรามาช่วยแล้ว เราช่วยผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อย มีใครได้รับบาดเจ็บไหม?”
“มะ...ไม่..ที่นี่ที่ไหน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่”
ฉันเดินเข้าไปใกล้เพื่อพิจารณากรงนี้ ทางเข้ามันอยู่ตรงข้ามกับทางนี้ กรงตาข่ายลวดสำหรับจับสัตว์ป่าถูกตอกไว้กับกำแพง มันยากมากที่จะเอามันออกด้วยอุปกรณ์ที่เรามีตอนนี้ แล้วตัวกรงมันดูแข็งแรงมาก ถ้าจะพังล่ะก็น่าจะต้องใช้เวลา
“มันเป็นล็อกแบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช่ไหม?” ดาไซสังเกตอะไรได้แล้วเดินเข้าไปใกล้ปุ่มล็อกหน้ากรง
“เป็นแบบใส่รหัส หืม? ลายนิ้วมือ หรือเป็นอะไรที่..คำสั่ง ‘Open Sesame ฟ้าผ่า! ฉันจะให้ชีวิตแห่งความเสื่อมเสีย’ หืม? มันไม่เห็นเปิดเลย คงไม่มีทางเลือกนอกจากจะพังมันแล้วล่ะ”
อะไรของมันในตอนท้ายวะน่ะ
“ถ้าเราจะพังมันล่ะก็ คงต้องเป็นตรงไหนสักแห่งแถวๆนี้--”
ในตอนนั้นดาไซยื่นมือไปแตะปุ่มล็อคตรงทางเข้า ซาซากิตะโกนและฉวยมือดาไซไว้
“ไม่ได้นะคะ!! คุณแตะปุ่มล็อคพวกนี้ไม่ได้ค่ะ!”
ดาไซตกใจและหันกลับมา มีไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นจากล็อค
ข้างในกรง มีควันสีขาวฟุ่งกระจายทั่วกรง และฉันรู้สึกเจ็บเหมือนมีอะไรมาแทงบริเวณรอบดวงตาและลำคอของฉัน
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเริ่มส่งเสียงกรีดร้องด้วยความกลัว
“นี่มันแก๊สพิษ”
น้ำตาฉันเริ่มรื้นขึ้นเพราะความเจ็บ การมองเห็นของฉันพร่ามัว รู้สึกเบลอไปหมด มันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเต้นรำอยู่ ฉันสูดมันเข้าไปเท่าไหร่กัน แต่..ไม่มีทางที่จะทิ้งพวกเขาไว้ที่นี้ ฉันยื่นมือไปที่กรง
“เราเข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันสายไปแล้ว!”
ใครบางคนในกรงจับแขนฉันและผลักฉันออก มีเสียงดังเต็มไปหมด ฉันต้องช่วยพวกเรา เหยื่อพวกนี้ต้องไม่มาตายแบบนี้
นั่นคืออุดมการณ์ ที่มันควรจะเป็น
“คุนิคิดะคุง!! เร็วเข้า!” เสียงเจ้าดาไซดังมาจากด้านหลังที่ใดสักแห่ง
มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ! มันไม่ถูกต้อง
“ไม่ได้นะคะ!”
ซาซากิซังกอดฉันแน่นและหยุดฉันไว้ ทำไมล่ะ? หยุดฉันไว้ทำไม! คนพวกนี้ไม่ควรมาตายที่นี่ นี่มันต่อหน้าต่อตาฉันเลยนะ จะต้องไม่มีใคร---
ฉันถูกดาไซลากตัวออกไปโดยทิ้งห้องนี้ไว้ ไม่ว่าอะไรที่ฉันตะโกนออกไปมันไม่หลงเหลือในความทรงจำเลย
แต่ที่ฉันมั่นใจ
พวกเขาทั้ง 4 ได้ สิ้นลมหายใจลง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น