วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 2 [1/6 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 2 [1/6]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย: Naitear
ทรานส์อิ้ง: Part 1 Part 2
← Previous: Chapter 1 part 4/4


          ฝนตกปรอยๆอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็หยุดลง
         ดาไซวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับมิมิค ส่วนผมก็ร่อนเร่ไปตามถนนเพื่อหาเบาะแสเช่นกัน ผมคิดว่าถึงแม้จะมีบางอย่างที่สำคัญเหลุดมือในเวลานี้ ผมก็คงไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งของสิ่งนั้นสำคัญมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากที่จะหาพบเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อของสิ่งที่ว่ามันได้หายไปแล้ว
         เวลาที่ต้องใช้เพื่อคิดใคร่ครวญดูจะยาวออกไปเรื่อยๆ
          ทำไมอันโกะถึงหายไป? ในจุดนี้พวกเราสามารถพูดได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าอันโกะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับมิมิคอย่างแน่นอน แต่จะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนนั้น มันยังไม่ชัดเจนนัก เช่นเดียวกับเหตุผลที่อันโกะโกหกเรื่องที่เขาไปทำงานที่โตเกียวด้วย ตัวผมในตอนนี้ที่ท่องเที่ยวไปในถนนของโยโกยาฮาม่าเพื่อหาแสงสว่างแห่งความหวังซึ่งไม่มีอยู่จริงนั้นก็เหมือนกับซอมบี้โดดเดี่ยวที่กำลังเดินเร่ร่อนอยู่ในสุสาน
          มีการคาดเดาอย่างหนึ่งที่ผมไม่กล้าบอกใคร นั่นเป็นเพราะผมคงรับไม่ได้หากตัวเองมีความคิดเช่นนั้น ดาไซก็อาจจะมีข้อสันนิษฐานที่เหมือนๆกันอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาให้ใครฟังเช่นกัน
          การหายตัวไปในเวลาที่มิมิคปรากฎตัวขึ้น โกหกเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานเพื่อสร้างหลักฐานที่อยู่ ปืนในตู้เซฟและสไนเปอร์ที่รีบมาชิงปืนที่ว่านั่นไป
          ซาคากุจิ อันโกะเป็นสายลับของมิมิค
          ถ้าหากเป็นข้อสันนิษฐานนี้ก็จะสามารถอธิบายเรื่องราวได้ทุกอย่าง
          มิมิคส่งอันโกะมาเป็นสายอยู่ในพอร์ทมาเฟีย
          ผมส่ายหัวกับตัวเอง นั่นเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นจริง นั่นก็หมายความว่าอันโกะเป็นสุดยอดสายลับที่สามารถหลอกทั้งดาไซและหัวหน้าด้วยความสามารถที่เหนือกว่าโฆษกรัฐบาลเสียอีก ถ้าหากมิมิคเก็บสายลับที่ฉลาดขนาดนั้นไว้กับตัว พวกเขาจะต้องการอะไรจากพอร์ทมาเฟียกัน?
          "โอดะซาคุ หน้านายบูดไปหมดแล้วนะ ท้องผูกรึไงกัน?" เจ้าของร้านอาหารตะวันตกถามผม
          "ไม่ได้ท้องผูกซักหน่อย แค่กำลังคิดหลายๆเรื่องอยู่น่ะ อีกอย่างถ้าเป็นท้องผูกจริงๆล่ะก็ ฉันคงไม่สั่งแกงกะหรี่หรอก"
          ส่วนตัวผมในตอนนี้ก็กำลังกินแกงกะหรี่อยู่ในร้านอาหารตะวันตก
          "งั้นเหรอ ? นั่นก็จริงล่ะนะ... โอดะซาคุ นายโกรธรึเปล่าเวลาที่มีใครพูดเรื่องแบบนี้ตอนที่นายกินแกงกะหรี่อยู่น่ะ"
          "อย่างนั้นเหรอ" ผมตอบ "ฉันควรโกรธสินะ?"
          "อ่า... ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"
          "เฮ้!" ผมมองเขาอย่างจริงจัง
          "นายไม่เห็นต้องฝืนตัวเองให้โกรธเลยนี่นา โอดะซาคุ"
          เจ้าของร้านอาหารตะวันตกแห่งนี้และผมเป็นเพื่อนเก่ากัน เขากำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตในวัยห้าสิบกว่าๆ ด้วยพุงที่โอบล้อมรอบตัวเกินไปเสียจนเขาไม่เห็นปลายของนิ้วเท้าเมื่อก้มมองลงในขณะที่เขายืนอยู่ ผมของเขาบางและที่ปลายตามีตีนกาที่ส่งผลมาจากรอยยิ้มและการหัวเราะ ผ้ากันเปื้อนสีเหลืองดูกลืนเข้าไปกับลำตัวของเขา ทิ้งให้คนทั่วไปสงสัยว่าเขาเกิดมาพร้อมกับมันจริงๆหรือไม่
          ผมมาทานแกงกะหรี่ที่นี่ประมาณสามครั้งต่อสัปดาห์เป็นประจำ บางทีผมก็คิดว่าเป็นกิจวัตรที่ประหลาดอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ได้มากินแกงกะหรี่ที่นี่เพียงแค่ไม่กี่วัน ผมจะรู้สึกอดอยากเป็นอย่างมากและเริ่มรู้สึกยากที่จะจดจ่ออยู่กับงาน เป็นเพราะว่าการแบ่งแยกชนชั้นในพอร์ทมาเฟียทำให้ผมเห็นพวกขี้ยามากมาย บางทีผมกับพวกเขาอาจจะเผชิญความรู้สึกคล้ายๆกันอยู่ก็เป็นได้
          "แกงกะหรี่เป็นยังไงบ้าง"
          "ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะนะ"
          แกงกะหรี่ที่นี่เป็นแบบเรียบง่าย ในนั้นมีผักที่ถูกต้มจนนุ่มและหวานกับเส้นเอ็นเนื้อทอดกระเทียม น้ำสต็อกเป็นแบบใส นำมาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเครื่องเทศในสัดส่วนที่เหมาะสมและนำไปราดบนข้าวสีขาว แล้วค่อยนำไปปรุงรสให้มากยิ่งขึ้น ผมมักจะบดไข่ให้เข้ากับซอสแล้วทานไปด้วยกัน
          หลังจากที่ถูกเติมเต็มแล้ว ผมมีความสุขกับความโชคดีในชีวิตไปครู่หนึ่งขณะที่กำลังดื่มกาแฟ
          หลังจากนั้นผมจึงถาม "เด็กๆเป็นยังไงบ้าง"
          "ก็เหมือนทุกทีนั่นแหละ" เจ้าของร้านตอบขณะใช้ผ้าเช็ดจานจนสะอาด "เป็นเหมือนกับแก๊งค์มาเฟียเล็กๆเลย ยังดีนะที่มีแค่ห้าคนฉันเลยพอจะคุมได้อยู่ ถ้าเกิดว่ามีมากกว่านี้สงสัยคงพากันไปปล้นธนาคารระหว่างประเทศแน่ๆ ตอนนี้อยู่ที่ชั้นสองน่ะ จะโผล่หน้าไปให้เห็นหน่อยก็ได้นะ"
          ผมตัดสินใจทำอย่างที่เขาว่า พื้นที่เหนือร้านอาหารได้ถูกทำใหม่จากห้องรับแขกให้กลายเป็นพื้นที่อาศัย ดังนั้นเมื่อผมเดินขึ้นไปบนบันไดที่ถูกเสริมให้แข็งแรงขึ้นด้วยคอนกรีตและปิดด้วยวอลเปเปอร์สกปรก ผมก็เห็นประตูสองบานที่หนึ่งบานเป็นห้องสำหรับใช้ปกติ ส่วนอีกบานเป็นห้องที่ใช้ในการเรียนหนังสือของพวกเด็กๆ ผมเลือกเดินเข้าไปในประตูแรก
          "โย่ ทุกคนเป็นยังไงบ้าง" ผมกล่าวกับพวกเด็กๆ
          เด็กแต่ละคนต่างก็ยุ่งอยู่กับกิจกรรมของตัวเอง คนหนึ่งกำลังนั่งดูหนังสือภาพ อีกคนกำลังวาดรูปอยู่บนกระดาษ อีกคนกำลังโยนลูกซอฟต์บอลที่มีขนาดเท่ากำปั้นใส่กำแพง และอีกคนกำลังไกวเปลแมวด้วยเส้นเชือกหนา คนที่เด็กที่สุดในนี้คือเด็กหญิงอายุสี่ขวบ ส่วนอายุมากที่สุดก็คือเด็กชายอายุเก้าขวบ ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาตอบรับผมเลยสักคน
          "ที่ผ่านมาได้ก่อเรื่องอะไรให้ลุงปวดหัวรึเปล่า? ลุงเคยเป็นทหารที่เก่งมากๆคนนึงเลยนะ ถ้าหากเขาต้องการล่ะก็ เขาสามารถจัดการพวกนายทั้งห้าคน—"
          ขณะที่ผมกำลังพูดเล่นกับพวกเขาอยู่ ผมก็สังเกตอะไรบางอย่าง พวกเขาควรจะมีกันห้าคน แต่ตรงหน้าผมนั้นกลับมีแค่สี่ และยังมีเสียงสวบสาบให้ได้ยินอยู่ใกล้ๆตรงด้านล่างของแผ่นผ้าปูที่นอนของเตียงสองชั้นที่อยู่ทางขวา
          ผมย่อตัวลงทันทีและนิ่งค้างไว้
          ทันใดนั้นเงาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็ปรากฎตัวขึ้นที่ใต้แผ่นผ้าปูที่นอน นั่นคือเด็กคนที่ห้า ผมย่อหัวลง หลบหลีกเงาสายนั้นที่พุ่งตัวเข้ามา
          อย่างไรก็ตาม การจู่โจมเมื่อครู่เป็นแค่เหยื่อล่อ เด็กหญิงคนที่กำลังวาดรูปอยู่เมื่อครู่กระโดดเข้ามาทางขาขวาของผมจนเสียการทรงตัว มันเป็นแผนการที่วางไว้แล้ว จากการสูญเสียอิสรภาพของขาไปข้างหนึ่ง ผมเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อเตรียมตัวกับการโจมตีอย่างแท้จริงที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่มันก็ไม่สำเร็จ เกลียวเชือกหนาที่ใช้ในการไกวเปลแมวเมื่อครู่ถูกวางไว้ในทิศทางที่เท้าของผมก้าวเข้าไป มันคือกับดัก! เข่าของผมติดอยู่ในเชือกที่รัดแน่น ในเวลานั้นเมื่อร่างกายของผมสูญเสียการหยั่งน้ำหนักลงกับพื้น ผมก็ถลาล้มลงกลางอากาศ
          ผมใช้มือขวาเพื่อจับเตียงคู่สองชั้นไว้ป้องกันตัวเองไม่ให้ล้มลง แต่พวกเขาเห็นการกระทำนี้มาหลายครั้งแล้ว จึงป้ายดินสอสีขี้ผึ้งไว้ตรงที่จับมุมเตียง นั่นทำให้มือขวาของผมลื่นออกจากตรงนั้นอย่างไร้แรงเสียดทาน
          ผมยึดมือทั้งสองข้างไว้บนพื้น พยายามใช้แรงเฉื่อยเพื่อดึงตัวเองขึ้น แต่ภายในช่วงเวลาสั้นๆนั้น หลังที่ไร้การป้องกันของผมถูกเปิดให้แก๊งค์เล็กๆที่ยืนอยู่ตรงหน้า พวกเขาจะต้องไม่พลาดโอกาสนี้แน่
          วัดจากลมหายใจของพวกเขาแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงเด็กชายอายุ 7 ขวบและเด็กหญิงอายุ 8 ขวบที่พุ่งมาหาผมจากทางด้านหลัง ถ้าผมรับการโจมตีนี้ ผมก็สามารถเห็นอนาคตตัวเองว่าจะถูกจับขึงไว้บนตะแลงแกงราวกับนักโทษอุกฉกรรจ์ได้เลย
          ผมต้องแสดงให้พวกเขาเห็นเสียแล้วว่ามาเฟีย 'จริงๆ' นั้นน่ากลัวขนาดไหน
          ผมใช้มือปัดซอฟท์บอลที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนมันกระเด็นไปที่ผนัง กระเด้งกลับไปกระแทกเด็กชายอายุ 7 ขวบเข้าที่หน้าอย่างจัง เด็กชายร่วงลงไปกับพื้นอย่างพยายามที่จะป้องกันตัวเอง รู้ตัวว่าพลาดเป้าหมายไปแล้ว
          ผมหมุนข้อศอกตัวเองโดยใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เชือกหลุดออก ลงน้ำหนักไปที่เท้าซ้าย เด็กที่รัดเท้าขวาของผมไว้อย่างแน่นหนาหลุดเสียงร้องด้วยความสนุกสนานออกมาเมื่อผมยกเท้าขึ้น แล้วย่ำลงไปที่พื้น ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เด็กแปดขวบที่เกาะหลังผมอยู่เท่านั้น การที่ปล่อยให้ตัวเขาเพียงคนเดียวจับตัวผมไว้คงเป็นการให้ความรับผิดชอบที่สูงมาก ผมจึงยืนอยู่นิ่งๆอย่างนั้น ปล่อยให้เขาเกาะหลังผมต่อไป
          เจ้าเด็กปราดเปรียวที่ซ่อนอยู่ในผ้าปูที่นอนตั้งแต่ตอนเริ่มต้นนั้นเป็นหัวหน้าของกลุ่มเด็กพวกนี้ ถึงแม้จะเห็นลูกน้องของเขาพ่ายแพ้ให้ต่อผมอย่างหมดรูป เขาก็ยังกระโจนมาทางผมอย่างกล้าหาญ เพราะมันเป็นศึกที่ตัวเขาเริ่มต้นขึ้นเอง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้อย่างง่ายๆแน่ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไปมากแค่ไหน
          ผมบล็อกการโจมตีโดยการหวังจะพุ่งกระโจนใส่ของเด็กชายเอาไว้ การเล็งขัดขาหวังจะให้เสียการทรงตัวเป็นความคิดที่ดี แต่ความแตกต่างระหว่างน้ำหนักของผมกับเขามีมากเกินไป ผมจับเด็กชายตรงใต้แขนแล้วยกตัวเขาขึ้น เขย่าไปมาโดยให้หัวตกลง เท้าชี้ฟ้า จนเด็กชายส่งเสียงร้องออกมาเหมือนแพะเมาค้าง
"จะยอมแพ้รึยัง?" ผมถาม
          "ไม่มีทาง!" เด็กชายตะโกน
เด็กที่เหลือดูจะไม่ต้องการสู้แล้ว ในทางกลับกัน กลับมานั่งล้อมวงดูว่าหัวหน้าของพวกเขาจะยังยึดตำแหน่ง'ผู้บัญชาการ'ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนแทน
           "ถ้าอย่างนั้นก็ลองเจอการสอบสวนสไตล์มาเฟียซักหน่อยแล้วกัน" ผมจับรักแร้ของเด็กชายไว้แล้วจั๊กจี้อย่างเกรี้ยวกราด
           "บุย้าาาาาา! เดี๋ยว... อย๊าาาาาาาาาา!"
           หลังจากนั้นไปสองนาทีสี่สิบสองวินาที เด็กชายก็ยอมแพ้อย่างราบคาบ

           ผมพูดคุยกับพวกเด็กๆอยู่สักพัก ฟังจากที่เล่า พวกเขาให้คะแนนผ่านฉลุยในการอยู่ในร้านอาหารตะวันตกแห่งนี้ แต่ในทางกลับกัน ผมรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในการเปลี่ยนเมนูอาหารเพียงแค่หนึ่งครั้งในทุกๆสามวัน ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ถูกแก้ไขในเร็วๆนี้ ผมคงต้องยอมให้พวกเขาใช้ครัวทำอาหาร
           "ลุงเป็นคนดีมากๆ" เด็กชายที่อายุมากที่สุดในกลุ่มบอก "แต่จะว่ายังไงดี.. เขาดูแลพวกเราเหมือนกับเป็นเด็กน้อยไม่มีผิด พวกเราโตแล้วนะ! จะบอกว่าพวกเราจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกผู้ใหญ่ถ้าเราเป็นอิสระในเร็วๆนี้รึยังไงกัน"
           ผมตอบ "บางทีนะ"
           หลังจากที่พวกเด็กๆบอกว่าคราวหน้าจะปราบผมให้ได้ ผมก็ตอบกลับไปว่าจะรอในครั้งหน้า ซึ่งนั่นก็มาจากใจจริง จากนั้นผมจึงเดินออกมาจากห้องของพวกเขาและลงมาจากชั้นสอง
           เมื่อกลับมายังร้านอาหารที่ชั้นหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงของลูกค้าคนใหม่ มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยมาก
           "เผ็ดมาก! เผ็ดสุดๆเลยอ่ะ ลุง นี่มันเผ็ดเกินไปแล้วนะ! นี่ลุงใส่ลาวาลงไปในนี้เพราะเป็นสูตรลับของทางร้านรึเปล่าเนี่ย?!"
           "ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเหรอ? โอดะซาคุกินแบบนี้ตลอดเลยนะ  ยินดีต้อนรับกลับอีกทีนะโอดะซาคุ พวกเด็กๆเป็นยังไงบ้างล่ะ"
           "มันค่อนข้างจะน่าสะพรึงกลัวเลยล่ะ แต่สุดท้ายฉันก็รอดมาได้นะ" ผมตอบ "ดูเหมือนพวกเขาจะคำนวณไว้ว่าตรงไหนที่ฉันจะจับเพื่อกันล้มแล้วก็เอาดินสอขี้ผึ้งละเลงลงไปเพื่อให้มันลื่น ฉันเกือบจะเข้าตาจนจริงๆซะแล้ว นายพูดก่อนหน้านี้สินะว่าถ้าพวกเขามีกันสักสิบคน พวกเขาคงจะปล้นธนาคารได้ แต่ฉันคิดว่าในอีกสองปี แค่พวกเขาห้าคนก็ปล้นธนาคารได้แล้วล่ะ"
           "ฉันควรจะรับเด็กพวกนี้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่มั้ยนะ?" ดาไซหัวเราะพลางเช็ดเหงื่อ "ฉันได้ยินมาน่ะ โอดะซาคุ นายกำลังเลี้ยงเด็กงั้นเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเด็กกำพร้าที่เสียพ่อแม่ไปในเหตุการณ์ 'การจู่โจมของหัวมังกร' (Dragon's Head Rush) ด้วยสินะ"
           เพราะว่าเป็นดาไซ ไม่ว่าผมจะพยายามซ่อนอะไรซักเท่าไหร่ เขาก็คงจะค้นเจอภายในครึ่งวันอยู่ดี "ใช่แล้วล่ะ" ผมพยักหน้ารับ
          พวกเด็กๆเป็นเด็กกำพร้า ถ้าผมไม่ได้ช่วยไว้ พวกเขาคงจะตายไปนานแล้ว
สองปีที่แล้ว มีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นระหว่างหลายองค์กรรวมทั้งพอร์ทมาเฟีย เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า 'การจู่โจมของหัวมังกร' โดยเกิดจากการแย่งชิงผลประโยชน์จากการอ้างสิทธิ์ของเงินห้าสิบล้านเยนที่ผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ให้ เกิดการนองเลือดขึ้นอย่างรุนแรงและองค์กรติดอาวุธผิดกฎหมายมากมายต่างก็ถูกนำมาต่อสู้ก่อนที่ทุกอย่างจะล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา
          ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่นกัน เห็นคนมากมายวิ่งเข้าไปฆ่าฟันกันบนถนนทุกสิบนาที และยิ่งเวลาผ่านไป กองศพก็ยิ่งพะเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ
พวกเด็กๆที่อยู่บนชั้นสองเป็นเด็กที่สูญเสียบ้านในสงครามครั้งนั้น
           "โอดะ ซาคุโนะสุเกะ มาเฟียผู้ตัดสินใจว่าจะไม่ฆ่าใคร เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถมากแต่กลับไม่ต้องการที่จะเป็นจุดเด่นและกำลังเลี้ยงเด็กกำพร้าห้าคนอยู่" ดาไซหัวเราะออกมา "แปลกจริงๆ เผลอๆจะเป็นคนแปลกที่สุดในพอร์ทมาเฟียซะด้วย"
          ตราบใดที่ดาไซยังอยู่ ผมเชื่อว่าผมยังไม่ใช่คนแปลกที่สุดหรอกนะ
ผมหันกลับไปที่เจ้าของร้าน หยิบซองจดหมายที่ภายในนั้นใส่เงินสดไว้จากกระเป๋าแจ็กเก็ต "ลุง นี่สำหรับค่าใช้จ่ายของพวกเด็กๆนะ"




"จะดีเหรอโอดะซาคุ?" เจ้าของร้านถาม เดาะลิ้นอย่างลำบากใจ เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนบนตัวแล้วรับจดหมายไปดู
"นี่เป็นรายได้ทั้งหมดของนายเลยนี่ใช่มั้ย? ถ้านายไม่คิดอะไร ฉันช่วยจ่ายให้ได้นะ"
          "แค่นี้ฉันก็รู้สึกขอบคุณจะแย่แล้วที่ลุงให้ฉันใช้สถานที่ตรงนี้ ตราบใดที่ฉันมากินแกงกะหรี่ที่นี่ได้เรื่อยๆ เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ"
"โอดะซาคุกินอาหารเผ็ดๆแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?" ดาไซถามขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม "มันเผ็ดมากเลย เหมือนคางจะหลุดออกมาเลยล่ะ"
"เอาล่ะ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะดาไซ?" ผมถาม
           "ฉันอยากจะมารายงานเกี่ยวกับ 'เรื่องนั้น' ให้โอดะซาคุฟังน่ะ พวกเราได้ข้อมูลมาเยอะแยะเลย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศัตรูล่ะนะ"
          เรื่องนั้น... มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เข้ามาในหัวของผม
"โทษทีนะลุง ปล่อยพวกเราไว้ตามลำพังสักพักได้มั้ย?"
           "แน่นอน แน่นอน ฉันจะไปที่หลังครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบล่ะนะ ถ้าลูกค้ามาเรียกฉันด้วยล่ะ" เหมือนกับเขาเข้าใจทุกอย่างผ่านทางการแสดงออกของผม เขาดึงผ้ากันเปื้อนของเขาออก รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วทางประตูด้านหลัง
           ในตอนท้าย ดาไซดื่มน้ำไปหลายอึกหลังจากที่กินข้าวแกงกะหรี่ในจานไปแล้วส่วนใหญ่ ระหว่างนั้นผมเดินไปที่ห้องครัวและชงกาแฟ เทลงในแก้วและนำกลับมาดื่ม
          "อา เผ็ดไปแล้วนะ! ทำไมแกงกะหรี่ต้องเผ็ดขนาดนี้ด้วยเนี่ย มันไม่เป็นการขัดแย้งกับการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษยชาติเหรอ ? ถ้ามันไม่เผ็ดขนาดนี้ คนก็จะกินแกงกะหรี่มากขึ้น นี่มันหยาบคายกับวัฒนธรรมการทานอาหารนะ!"
หลังจากที่ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ผมก็ตอบออกมา "ถ้าหากว่าคนกินแกงกะหรี่เพิ่มขึ้น คนก็จะไม่หันไปกินอย่างอื่น ถ้าเป็นอย่างนั้นวัฒนธรรมการทานอาหารก็คงจะล่มสลายเอาได้นะ"
          "จริงด้วย ฉันเข้าใจล่ะ" ดาไซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
"แล้ว เรื่องรายงาน ?"
           "มาเริ่มจากข้อสรุปกันก่อน พวกนั้นเป็นองค์กรอาชญากรต่างชาติ" ดาไซเริ่มเล่าขณะเทน้ำเพิ่มลงไปในแก้ว "เพิ่งจะย้ายมาที่ญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆนี้เอง เห็นว่าเป็นองค์กรที่รวมคนมีพลังพิเศษไว้และมีชื่อเสียงมากในยุโรป ตอนนี้ถูกขับไล่มาจากองค์กรเก่าแก่ของอังกฤษที่ชื่อ 'คำบัญชาจากหอนาฬิกา' (Order of the Clock tower) และหนีมาที่นี่"
           "องค์กรอาชญากรจากยุโรป?"
           "ยุโรปเป็นแหล่งศูนย์รวมของผู้มีพลังพิเศษ มีผู้ใช้พลังชั้นสูงอยู่ท่ามกลางรัฐบาลและอาชญากร ทำให้เกิดการกำหนดขอบเขตที่ซับซ้อนและยุ่งยากมาก เพราะอย่างนั้นเลยทำให้มีคนคอยสอดส่องผู้มีพลังพิเศษอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาไม่ควรที่จะเข้ามาในประเทศอื่นได้ง่ายๆแบบนี้นะ"
           ผมพยายามจะถามคำถาม แต่ดาไซกลับตอบด้วยการเอียงหัวไปอีกทาง
"จริงๆแล้วมันไม่มีสถานที่ไหนบนโลกนี้หรอกที่องค์กรอาชญากรที่มีพลังพิเศษจะสามารถย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายมาได้ง่ายๆ ต้องมีสายข้างในหรือไม่ก็มีใครบางคนในประเทศนี้ที่คอยช่วยเหลือพวกมันอยู่"
           "สำหรับการที่จ้องจะเข้ามาที่ญี่ปุ่นโดยเฉพาะเจาะจง พวกอาชญากรที่มีพลังพิเศษพวกนี้ต้องการอะไรกันนะ?"
           "ใครจะรู้ล่ะ? พวกเราคงได้แค่ถามมันล่ะมั้ง จริงๆแล้วถึงจะพูดอย่างนั้นฉันก็มีข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่ง กลุ่มคนสิ้นเนื้อประดาตัวกลุ่มหนึ่งขึ้นเครื่องบินมาที่ต่างประเทศโดยไม่มีใครให้พึ่งพิงซักคน ถ้าจะให้พูดตรงๆกว่านี้ก็คือ คนพวกนี้ต้องการเงินถ้าหากต้องการจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นพวกเขาอาจจะกำลังวางแผนเข้ายึดกองกำลังของพอร์ทมาเฟีย สร้างเครือข่ายการลักลอบนำเข้าของผิดกฎหมาย แล้วก็สร้างฐานอำนาจของตัวเองอยู่ก็ได้"
           นี่มีความเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียว องค์กรอาชญากรที่สิ้นเนื้อประดาตัวต่างก็มีเป้าหมายเหมือนๆกันอย่างหนึ่งเลยก็คือ— เงิน เงิน เงิน!
          แต่มันก็มีอย่างหนึ่งที่ผมกังวลใจอยู่ ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากและนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด—
"ให้ฉันพูดเรื่องนี้ให้จบก่อน" ราวกับดาไซรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาตัดสินใจตัดบทผมเสียก่อน
"ฉันรู้ว่าโอดะซาคุอยากจะพูดอะไร สำหรับสถานการณ์สับสนวุ่นวายของมาเฟียอาชญากรอย่างนั้น พวกทหารพวกนั้นดูมีประสบการณ์มากเกินไป นี่คือสิ่งที่นายกังวลอยู่ใช่มั้ย? ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน การเคลื่อนไหวในการต่อสู้ของสไนเปอร์และผู้สังเกตการณ์เป็นเทคนิคที่ชาญฉลาดมากและไม่ค่อยมีให้เห็นนัก จริงๆแล้วคนพวกนี้มาจากกองกำลังทหารน่ะ ตามรายงานแล้ว หัวหน้าขององค์กรนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษที่ทรงพลังมากและยังเป็นทหารที่นำลูกน้องของตัวเองไปต่อสู้กับศึกเป็นร้อยๆด้วยพลังของตัวเอง ส่วนรายละเอียดลงลึกมากกว่านี้ก็คงใช้เวลารวบรวมในอีกไม่นานนัก พูดสั้นๆคือ อย่าประมาทพวกมัน ถ้าคนพวกนี้เริ่มปฏิบัติการโจมตีองค์กรไหนแล้วล่ะก็— จะส่งผลกระทบในวงกว้าง แม้กระทั่งฐานของพอร์ทมาเฟียก็จะสั่นคลอนได้เลยทีเดียว"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น