คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency [Chapter 1, Part 2]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Naitear & Chiyuu_ki
ทรานส์อิ้ง: Here!
← Previous: Chapter 1 Part 1
เรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเล่าขานของการก่อตั้งสำนักงานนักสืบ
สำนักงานนักสืบถูกก่อตั้งอยู่บนชั้นสี่ของตึกอิฐแดง ภายในนั้นมีชั้นโรงยิม แผนกต้อนรับ ห้องสัมนา ออฟฟิศของประธาน ห้องพยาบาล ห้องผ่าตัด และห้องครัว ถึงแม้ว่าด้านหลังจะมีประตูที่เชื่อมไปยังบันไดเวียนลงไปชั้นล่างเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ทุกคนก็มักจะใช้ลิฟท์เก่าๆในการเข้าออกกันทั้งนั้น
และลิฟท์ที่ว่านั่นก็เป็นลิฟท์ที่คุนิคิดะและคนอื่นใช้เพื่อเข้าออกสำนักงานเช่นกัน
มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเสียเกือบหมด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ โดยเฉพาะสองสามคนที่ยังคงประจำอยู่ชั้นล่าง ภายใต้แสงสว่างสีขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์ พวกเขากำลังเขียนจดหมาย อ่านนิยาย และซดมาม่า ที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะว่างานยังไม่เสร็จ แต่มันเป็นเพียงเพราะแค่พวกเขาต้องการจะอยู่เท่านั้นเอง
จากหน้าต่างของออฟฟิศสามารถเห็นชายทะเลได้อย่างชัดเจน เรือบรรทุกสินค้าที่อยู่ห่างออกไปเปล่งเสียงปล่อยไอน้ำของมันออกมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่พวกเขายกมือขึ้นเพื่อทักทายสั้นๆกับพวกพนักงานแล้ว คุนิคิดะและคนอื่นจึงออกจากสำนักงานและเดินเข้าไปในห้องสัมนา
ด้านในนั้นมีคนรออยู่ก่อนแล้ว
“แหม แหม หนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึมอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ถ้าจะมาอาสาเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ฉันลองชำแหละดูก็ได้นะ แต่เสียใจด้วย วันนี้เราปิดทำการแล้ว”
เรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเล่าขานของการก่อตั้งสำนักงานนักสืบ
สำนักงานนักสืบถูกก่อตั้งอยู่บนชั้นสี่ของตึกอิฐแดง ภายในนั้นมีชั้นโรงยิม แผนกต้อนรับ ห้องสัมนา ออฟฟิศของประธาน ห้องพยาบาล ห้องผ่าตัด และห้องครัว ถึงแม้ว่าด้านหลังจะมีประตูที่เชื่อมไปยังบันไดเวียนลงไปชั้นล่างเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ทุกคนก็มักจะใช้ลิฟท์เก่าๆในการเข้าออกกันทั้งนั้น
และลิฟท์ที่ว่านั่นก็เป็นลิฟท์ที่คุนิคิดะและคนอื่นใช้เพื่อเข้าออกสำนักงานเช่นกัน
มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเสียเกือบหมด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ โดยเฉพาะสองสามคนที่ยังคงประจำอยู่ชั้นล่าง ภายใต้แสงสว่างสีขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์ พวกเขากำลังเขียนจดหมาย อ่านนิยาย และซดมาม่า ที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะว่างานยังไม่เสร็จ แต่มันเป็นเพียงเพราะแค่พวกเขาต้องการจะอยู่เท่านั้นเอง
จากหน้าต่างของออฟฟิศสามารถเห็นชายทะเลได้อย่างชัดเจน เรือบรรทุกสินค้าที่อยู่ห่างออกไปเปล่งเสียงปล่อยไอน้ำของมันออกมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่พวกเขายกมือขึ้นเพื่อทักทายสั้นๆกับพวกพนักงานแล้ว คุนิคิดะและคนอื่นจึงออกจากสำนักงานและเดินเข้าไปในห้องสัมนา
ด้านในนั้นมีคนรออยู่ก่อนแล้ว
“แหม แหม หนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึมอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ถ้าจะมาอาสาเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ฉันลองชำแหละดูก็ได้นะ แต่เสียใจด้วย วันนี้เราปิดทำการแล้ว”
โยซาโนะเหลือบมองขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ นั่งไขว้ขาเรียวทั้งสองไว้ด้วยกัน
ผู้มีพลังพิเศษ: โยซาโนะ อากิโกะ ชื่อพลัง—แก้วตาอย่าอาสัญ
เธอเป็นศัลยแพทย์ของสำนักงานนักสืบ ด้วยพลังพิเศษที่หาได้ยากสำหรับการรักษาทางการแพทย์ เธอจึงเป็นเพียงคนเดียวที่มีหน้าที่ทำการรักษาให้สมาชิกคนอื่นๆ บาดแผลที่รักษาไม่หายที่เหล่าสมาชิกได้รับจากการต่อสู้ พลังของเธอถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เพราะว่าความหลงใหลอย่างสุดโต่งในการผ่าตัดและการชำแหละของเธอ ทำให้เธอพยายามที่จะชำแหละทุกๆคนแม้ว่าบาดแผลจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เธอเป็นที่หวาดกลัวของเพื่อนร่วมงานมากกว่าศัตรูเสียอีก
และเครื่องมือชิ้นหลักที่เธอใข้ในการผ่าตัดคือขวานนั่นเอง
“โยซาโนะเซนเซย์” ทานิซากิเอ่ยพร้อมกระพริบตาด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด “คุณมาทำอะไรที่ห้องสัมนาหรอครับ?”
“อย่างที่นายเห็น ฉันกำลังอ่านหนังสือพิมพ์” โยซาโนะเอ่ยตอบพร้อมโบกหนังสือพิมพ์ในมือ “วันนี้ฉันยุ่งมาก ยุ่งซะจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์เลยล่ะ”
ระหว่างที่เธอไล่สายตาไปยังหัวข่าว เธอกล่าวต่อ “วันนี้มีข่าวดีๆหลายเรื่องเลยนะ”
ระหว่างที่เธอไล่สายตาไปยังหัวข่าว เธอกล่าวต่อ “วันนี้มีข่าวดีๆหลายเรื่องเลยนะ”
“ผมไม่ค่อยเห็นคุณมีท่าทางประทับใจกับหนังสือพิมพ์ขนาดนั้นเลยนะครับ” ทานิซากิเอ่ยขณะที่เหลือบมองไปยังหนังสือพิมพ์ “มีข่าวไหนน่าสนใจหรอครับ?”
“ก็นะ.. ที่น่าสนใจที่สุดคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับความตายล่ะมั้ง” โยซาโนะเอ่ยและยกยิ้ม “มันเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกใบนี้ที่ตัดสินผู้คนอย่างยุติธรรมที่สุด”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขายืนอยู่ข้างหน้าทางออก
หลังจากพูดคุยกัน พวกเขาทุกคนเดินเข้ามาภายในห้องสัมนาและนั่งลงตามลำดับ ทานิซากิ คุนิคิดะและดาไซ
เสียงเข็มนาฬิกาดังกังวาลขึ้นภายในห้อง
“แล้วนี่พวกนายเข้ามาในห้องนี้ทำไมกันน่ะ?” โยซาโนะถามพร้อมเลื่อนสายตาออกจากหนังสือพิมพ์
“ฮุฮุ พวกเรามาประชุมกันเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการสอบเข้าน่ะ” ดาไซตอบด้วยรอยยิ้ม “โยซาโนะเซนเซย์รู้เรื่องมนุษย์เสือคนเมื่อวานแล้วสินะ คุณอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม? ในเมื่อพวกเรากำลังจะตัดสินใจเรื่องบททดสอบ ผมเลยชวนทุกๆคนมา พวกเราจะตัดสินกันโดยใช้เสียงข้างมากล่ะ”
“เสียงข้างมาก.. เห?” โยซาโนะเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเราไม่ทำเหมือนตอนทานิซากิล่ะ? มีปัญหาอะไรงั้นหรอ?” โยซาโนะหันไปมองทานิซากิ ใบหน้าของเขาเริ่มซีดขาวพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“ให้—ให้ผมลืมๆมันไปเถอะครับ”
ทานิซากิเองก็เป็นเด็กใหม่ สิ่งที่เขากำลังกล่าวถึงคือบททดสอบเข้าของเขาที่โหดมหาโหด และเพราะความสาหัสนี้เองทำให้ทานิซากิปิดผนึกความทรงจำของเขาลงไปยังจิตใต้สำนึก เพราะว่าการนึกถึงมันทำให้เขาเกิดอาการทางจิตขึ้นมา
“ผมไม่เป็นไรครับ..” ทานิซากิพูดและเอนกายมาข้างหน้า “แต่เราจะกำหนดบททดสอบครั้งต่อไปที่สมเหตุสมผลขึ้นมายังไงล่ะครับ?”
“ผมไม่เป็นไรครับ..” ทานิซากิพูดและเอนกายมาข้างหน้า “แต่เราจะกำหนดบททดสอบครั้งต่อไปที่สมเหตุสมผลขึ้นมายังไงล่ะครับ?”
“ว้าว ดูข่าวนี่สิ” โยซาโนะเอ่ยขึ้น สายตาของเธอยังจับจ้องไปอยู่ที่หนังสือพิมพ์ “พาดหัวข่าวเขียนว่า ’ไฟไหม้ที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปูเซียงไฮ้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน’ ฉันมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรน่าสนใจแถวที่เกิดเหตุแน่ๆ บางทีฉันอาจจะหยุดแวะซักหน่อยระหว่างทางกลับบ้าน”
โยซาโนะเลียริมฝีปาก
“นะ—นั่นไม่ฉุกละหุกไปหน่อยหรอครับ?” ทานิซากิเอ่ย เขามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “อีกอย่างนะครับโยซาโนะซัง หนังสือพิมพ์นั่นน่ะมันเป็นของเมื่อสองเดือนที่แล้ว ถึงคุณจะไปที่นั่นตอนนี้ก็คงไม่เหลือแม้แต่กลิ่นปูไหม้แล้วล่ะครับ”
“นายพูดถูก” โยซาโนะมุ่ยหน้าเมื่อเห็นวันที่บนหนังสือพิมพ์ “ใครกันนะที่วางหนังสือพิมพ์เก่าๆแบบนี้เอาไว้ ชิ— ฉันอุส่าห์รอเวลาที่มีคนบาดเจ็บเยอะขนาดนี้มาตั้งนาน ฉันตั้งใจว่าจะไปช่วยพิสูจน์ศพซักหน่อย แม่จะชำแหละทั้งคนเป็นคนตายนี่แหละ”
โยซาโนะปาหนังสือพิมพ์ทิ้งอย่างเศร้าๆ
“นายพูดถูก” โยซาโนะมุ่ยหน้าเมื่อเห็นวันที่บนหนังสือพิมพ์ “ใครกันนะที่วางหนังสือพิมพ์เก่าๆแบบนี้เอาไว้ ชิ— ฉันอุส่าห์รอเวลาที่มีคนบาดเจ็บเยอะขนาดนี้มาตั้งนาน ฉันตั้งใจว่าจะไปช่วยพิสูจน์ศพซักหน่อย แม่จะชำแหละทั้งคนเป็นคนตายนี่แหละ”
โยซาโนะปาหนังสือพิมพ์ทิ้งอย่างเศร้าๆ
“เอ่อ.. ชำแหละคนตายน่ะมันอีกเรื่องนะครับ แต่ว่าจะไปชำแหละคนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่มัน..” ทานิซากิเอ่ยด้วยท่าทีหวาดผวา ในฐานะที่เขาเป็นคนที่มักจะโดนโยซาโนะหั่นแล้วนั้น เขารู้สึกเห็นใจผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นเป็นอย่างมาก
“ปูเผาเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของโลกใบนี้” ดาไซเอ่ยและเปลี่ยนหัวเรื่อง
“โฮ่ย ดาไซ” คุนิคิดะที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “เลิกพูดเรื่องปูได้แล้ว นี่มันการประชุมอะไรกัน นายเพิ่งพูดไม่ใช่หรอว่านายเรียกทุกๆคนมาที่นี่ นอกจากโยซาโนะเซ็นเซย์แล้ว ฉันไม่เห็นคนอื่นจะมากันเลย”
“หืม..” ดาไซหันไปมองนาฬืกา “ฉันโทรเรียกทุกคนแล้วล่ะ แต่ฉันว่านักสืบของเราคงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย พวกเราน่าจะต้องรออีกซักพัก”
“หืม..” ดาไซหันไปมองนาฬืกา “ฉันโทรเรียกทุกคนแล้วล่ะ แต่ฉันว่านักสืบของเราคงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย พวกเราน่าจะต้องรออีกซักพัก”
คุนิคิดะกอดอกและมองดาไซ
“ฉันไม่อยากเห็นเจ้าชายแห่งความเห็นแก่ตัวว่าคนอื่นว่าเห็นแก่ตัว” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ถึงนายจะโทรตามทุกคนมาที่นี่ นายตัดสินใจรึยังว่าจะดำเนินการกันยังไง”
“โอ้ แน่นอน ฉันวางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้วล่ะ เจ้าชายแห่งการวางแผนอย่างคุนิคิดะคุงจะได้ไม่บ่นยังไงล่ะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นว่าดาไซกำลังเริ่มต้นเขียนอะไรบ้างอย่างลงบนกระดานสีขาวที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง
“อย่างแรก ทุกคนต้องช่วยกันคิดเรื่องบททดสอบ อย่างที่สองเลือกเอาแผนการที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมาหนึ่งอย่างและสุดท้ายก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องอะไรโดยใช้เนื้อหาของการสอบเป็นตัวตัดสิน!— ไง ฉันวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ฉันยอมรับว่านายวางแผนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีลางสังหรณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับสิ่งที่จะตามมา” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ลำดับที่สาม— ‘แบ่งหน้าที่ว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ’— ยิ่งฟังยิ่งน่าสงสัย นายคงวางแผนไว้แล้วสินะเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่สำคัญๆ ฉันพูดถูกรึเปล่า”
“ไม่มีทางน่า~ คนที่จริงใจอย่างฉันไม่มีทางทำเรื่องสกปรกๆแบบนั้นหรอก หรือว่าคุนิคิดะคุง เพื่อนร่วมงานที่แสนดีของฉันกำลังบอกว่าไม่เชื่อใจฉันงั้นหรอ?”
ดาไซเอ่ยขึ้นพร้อมยกแขนขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
“ฉันไม่เชื่อใจนาย..”
“ผมเองก็ไม่ค่อยเหมือนกันครับ..”
“ฉันมีความเชื่อมั่นอันน้อยนิดว่าทุกอย่างจะออกมาดี”
ดาไซกระโดดดึ๋งทันที
“ทุกคนแย่ที่สุดเลย!”
“เอาล่ะ เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยตัดสินใจกันอีกที ตอนนี้ขั้นตอนที่สามที่ว่าจะให้ใครเป็นคนจัดการอะไรก็ปล่อยเอาไว้ก่อน เรามาเริ่มออกความคิดกันก่อนเป็นไง?”
คุนิคิดะมองที่นาฬิกาอีกครั้ง
หากจะกล่าวถึงเหล่านักสืบที่ดาไซเรียกมา รันโปและเคนจิยังคงไม่ปรากฏตัว พวกเขาทั้งสองคนจำเป็นต่อการตัดสินครั้งสุดท้ายซึ่งต้องการการลงคะแนนจากเสียงข้างมาก แต่ขั้นตอนก่อนหน้านั้นสามารถใช้เพียงสมาชิกที่เหลืออยู่ในการหารือกันได้ เหมือนที่คุนิคิดะพูด
“ว้าว ในที่สุดก็มีแรงกระตุ้นแล้วสินะ” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุนิคิดะคุงมีความกระตือรือร้นขนาดนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนเราทำงานกันเสร็จแล้วล่ะ เอาล่ะๆ เรามาเริ่มการประชุมกันเถอะ ใครมีความคิดอะไรบ้างไหม?”
ดาไซมองทุกคนขณะที่เขากลับมานั่งประจำที่ ทุกคนในห้องประชุมต่างมองมาที่เขา เพราะว่าการประชุมนั้นเริ่มต้นอย่างกระทันหันเกินไปทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหน ถึงแม้ว่าจะเป็นสมาชิกผู้มีประสบการณ์โชกโชนแห่งสำนักงานนักสืบที่สามารถฆ่าศัตรูได้ในขณะที่ฮัมเพลงไปด้วยก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเช่นเดียวกัน
นั่นคือ ‘การประเมินสถานการณ์’
เหล่านักสืบที่มาชุมนุมกันต่างมีพลังพิเศษและลักษณะนิสัยอันหลากหลาย การที่จะสามารถเข้าใจความคิดของทุกคนได้ก็เป็นเรื่องที่ใหญ่พอๆกับการล่าสมบัติแถวป่าดิบชื้นในเขตแอฟริกาใต้
ถึงอย่างนั้น ความเงียบก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ทานิซากิคุง หน้านายบอกชัดๆเลยนะว่าให้ ‘เลือกฉัน!’” ดาไซที่เริ่มหมดความอดทนชี้ไปที่ทานิซากิ
“เอ๋? ผ—ผม?” ทานิซากิเอ่ยขึ้นและชี้ตัวเองด้วยความงุนงง
“จากที่ฉันเห็นน่ะ นายมีประกายความคิดเจ๋งๆพุ่งออกมาจากหน้าของนายเลยล่ะนะ~ เร็วเข้าๆ บอกไพ่ตายของนายมาสิ— ข้อเสนอที่จะทำให้ทุกคนยืนขึ้นปรบมือให้นายน่ะ พวกเราเตรียมตัวประทับใจกันอยู่นะ!”
“อย่าตั้งความหวังสูงขนาดนั้นสิครับ!” ทานิซากิร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ยังไงก็เถอะ ผมคิดว่ามันไม่เห็นจำเป็นต้องหาวิธีสอบแบบพิสดารเลยนี่นา ทำไมเราไม่เลือกคดีที่มีความยากระดับปานกลางที่พวกเราได้รับล่ะครับ ผมได้ยินมาว่านั่นเป็นแบบทดสอบที่คุณได้รับใช่ไหมครับดาไซซัง”
“โอ้ เป็นความคิดที่ดีนะ ขอบใจทานิซากิคุง” ดาไซเอ่ยและเขียนคำว่า ‘การอนุมัติเข้าร่วมสำนักงานนักสืบโดยการไขคดี’ ลงบนกระดาน “มีใครคัดค้านไหม?”
“นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอดาไซ” คุนิคิดะพูด “ถ้าเจ้าเด็กเหลือขอนี่เป็นแค่พวกมือใหม่ธรรมดาก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาถูกหมายหัวจากสารวัตรทหารว่าเป็นสัตว์อันตรายที่ต้องถูกจับกุมทันที ถึงสำนักงานนักสืบจะช่วยปกปิดตัวตนของเขาเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่ควรที่จะให้เขาลงไปทำงานภาคสนามก่อนที่เขาจะผ่านบททดสอบ ประธานก็บอกนายแล้วเหมือนกันใช่ไหม”
“สมกับเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของประธานเลยนะ~” ดาไซแนบสองมือลงบนแก้มของตัวเอง “ประธานบอกฉันอย่างนี้เป๊ะเลยล่ะ อืม.. มันเป็นข้อเสนอที่มีเหตุผลนะ งั้นเราก็ต้องคิดบททดสอบที่จะไม่ทำให้เป็นที่สนใจจากผู้คนข้างนอกงั้นสิ โทษทีนะ ทานิซากิคุง”
“ผมเข้าใจครับ” ทานิซากิตอบ “ถ้าอย่างงั้น— ให้เขาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานดีไหมครับ? แบบนั้นเขาก็ไม่ต้องออกไปข้างนอก”
“ปัญหาที่ว่าคืออะไรล่ะ?”
“อืม.. ซ่อมเครื่องพิมพ์หรือล้างท่อ หรือว่า..”
“นี่ไม่ใช่การหาสามีมาทำงานบ้าน” คุนิคิดะเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน “ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่มีทางที่จะมีเหตุการณ์ที่ใหญ่พอที่จะทดสอบความแน่วแน่ของเขาภายในสำนักงานนี้”
“งั้นเราพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” ดาไซพูดพร้อมเขียน ‘การแก้ปัญหาภายในสำนักงาน’ และเครื่องหมาย ‘?’ ไว้ด้านหลัง
“การบ่นของพวกนายไม่ช่วยให้อะไรคืบหน้าขึ้นเลย” โยซาโนะเอ่ยพร้อมชี้ไปที่ดาไซ “ดาไซ ในฐานะที่นายเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด นายเสนอความคิดมาซะ ได้คิดอะไรเอาไว้รึยัง”
ดาไซเงียบไปซักครู่
“ฮุฮุฮุ”
ฉันกำลังรอให้ใครซักคนพูดแบบนี้อยู่พอดี— นั่นเป็นความหมายของรอยยิ้มของเขา
ดาไซหยิบตั้งกระดาษออกมาจากกระเป๋าและวางลงในที่ที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ บนกระดาษนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่แน่นขนัดและยากที่จะบอกได้ว่าคนเขียนมันมีมีฝีมือหรือไม่
“แน่นอน ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ! เข้ามาดูแผนการอันสมบูรณ์แบบที่ฉันคิดเอาไว้ใกล้ๆสิ!”
“หือ” ทุกคนมองดาไซด้วยความประทับใจ มีเพียงคุนิคิดะที่ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
“อย่างแรกเป็นการทดสอบสมรรถภาพ! เราจะทดสอบความอดทนของร่างกายเขาโดยการไปที่สวนสัตว์โยโกฮาม่า— เดินทางโดยรถไฟประมานสามสิบนาที—แล้วก็แอบย่องเข้าไปข้างใน จากนั้นเราก็จะโยนเจ้าหนูนั้นเข้าไปในกรงหมีดำหิมาลายัน และเราก็จะกลับมารับเขาในเช้าของวันรุ่งขึ้น ถ้าเขาเอาชนะหมีและหนีออกมาได้ เราจะรับเขาเข้าทำงาน!”
“โฮ่ย..” คุนิคิดะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขณะมองจ้องไปยังดาไซ
“แต่ถ้าเขาเกิดอ่อนข้อให้หมีนั่นขึ้นมา เราค่อยเก็บเขาเอาไว้เป็นตัวสำรองก็ได้”
“โฮ่ย”
“แต่ถ้าเกิดเกิดอะไรขึ้นกับหมี แผนสำรองของฉันก็คือ— การทดสอบการคิดแก้ไขปัญหา ฉันรู้จักชายแก่ขี้งกอยู่คนนึง งกมากจนถึงขั้นยอมตายเพื่อเงินเลยล่ะ เขาเคยใช้เวลาสองชั่วโมงบ่นคนที่มาขอยืมเงินห้าเยน ดังนั้นเจ้าหนูมนุษย์เสือจะต้องหาเหตุผลไปขอยืมเงินพันเยนจากเขาให้ได้!”
“โฮ่ย”
“แล้วถ้าเจ้าหนูหลอกเขาได้ทั้งเดือนจะถือว่าสอบผ่าน!”
“นั่นมันเกินไปแล้วครับ!”
“แล้วก็.. อย่างถัดไปคือ—”
คุนิคิดะหยุดดาไซทันทีระหว่างที่เขากำลังคุ้ยกองกระดาษ
“เดี๋ยวๆ ทุกอย่างที่นายคิดมาเป็นแบบนั้นหมดเลยเรอะ? นายคิดว่าการทดสอบมันเป็นอะไรกัน? ยิ่งกว่านั้น ไม่มีทางที่เจ้าหนูจะทนตาแก่คนนั้นได้เกินเดือนหรอก เดี๋ยวเขาก็เครียดจนผมร่วงหมดหัวพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะขอยืมเงินเขาด้วยชื่อของคุนิคิดะคุงเป็นไง?” ดาไซเอ่ยและมองไปที่ศรีษะของคุนิคิดะ
“ไม่มีทาง!” คุนิคิดะตะโกนและจับศรีษะของตัวเองไว้ “นอกจากนั้น นายก็รู้ว่าทุกคนที่สำนักงานเป็นนักสืบ ช่วยคิดอะไรที่มันเหมาะสมสำหรับการเป็นบททดสอบหน่อยจะได้ไหม เช่นบททดสอบคุณธรรม จริยธรรม ความฉลาด ความกล้าหาญอะไรเทือกนั้น ”
“เอ๋? งั้นแบบนี้ดีไหม ถ้าเขาสามารถกินน้ำตาลสองกิโลกรัมหมดได้ในเวลาห้านาที—”
“เพราะมันไร้สาระแบบนั้นไง ความคิดของนายถึงใช้การไม่ได้ซักอย่าง! อีกอย่าง นายกำลังพาออกนอกเรื่องเข้าไปทุกที ชิ มีใครอีกไหมที่สามารถเสนอความคิดที่มันน่าเชื่อถือได้น่ะ”
ขณะที่คุนิคิดะกำลังทึ้งศรีษะตัวเองและคร่ำครวญออกมา ในเวลานั้น—
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ!”
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจนบานพับส่งเสียงแปลกๆออกมา
ทุกๆคนหันไปมอง
“ผมทำสวนที่หน้าบ้านจนสายไปหน่อย วันนี้ผมปลูกหัวไชเท้าชั้นดีที่ดูเหมือนจะเอามาใช้ฆ่าคนได้ด้วยล่ะครับ! เอาไว้ผมจะเอามาแบ่งให้ทุกคนนะ”
เด็กหนุ่มสวมหมวกฟางพูดกับทุกคนอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้าย ถุงมือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาเปรอะไปด้วยดินและนอกเหนือจากนั้น เขายังเดินเท้าเปล่า
เขาคือพนักงานที่อายุน้อยที่สุดในสำนักงานนักสืบ มิยาซาว่า เคนจิ
“โอ้ เคนจิคุง พวกเรากำลังรออยู่เลย” ดาไซเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเพิ่งเริ่มกันเองเพราะงั้นนายน่าจะตามการประชุมได้ทัน ตอนนี้พวกเราหารือกันไปได้เยอะแล้วล่ะ เพราะงั้นเคนจิคุง ลองออกความคิดเจ๋งๆของนายมาหน่อยสิ!”
เคนจิเอ่ยตอบอย่างร่าเริงและเดินเข้ามาภายในห้องประชุม “ครับ! ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
เขาเดินเข้ามาภายในและอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาน ก่อนที่จะหันกลับมามองทุกๆคนที่นั่งอยู่และพูดว่า “เรากำลังตรวจสอบว่าเขามีความสามารถที่จะเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบหรือไม่สินะครับ”
หลังจากที่ครุ่นคิดเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ยกมือขึ้นและหันไปหาดาไซ “โอเคครับ!”
“ว่ามาเลยเคนจิคุง” ดาไซเอ่ยและชี้ไปที่เด็กหนุ่ม
“ถ้าเขาเอาชนะการแข่งขันงัดข้อกับผมได้น่าจะดีไปเลยนะครับ!”
ทุกๆคนเงียบไปทันทีและมีท่าทีเคร่งขรึม ขนาดดาไซยังไม่เว้น
นั่นมันเป็นไปไม่ได้
ความสามารถของเคนจิคือ—”ไม่ปราชัยด้วยสายฝน”— มันคือความสามารถที่จะทำให้ร่างกายของเขามีสมรรถภาพเทียบเท่ายอดมนุษย์ หรือก็คือเขามีพลังกายที่แข็งแกร่งมาก เขาสามารถโยนรถทั้งคันอย่างง่ายดาย มีครั้งหนึ่งที่เขาแข่งงัดข้อกับนักซูโม่สามคน และเขาสามารถโยนทั้งสามคนนั้นให้ลอยหายไป
แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่านักซูโม่ทั้งสามลอยไปตกที่ไหน
นั่นคือการแข่งงัดข้อกับเคนจิ
ในหัวของทุกคนที่นั่งอยู่ เพียงสิ่งเดียวที่พวกเขานึกออกคือแขนของเจ้าเด็กใหม่ที่ถูกฉีกออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน
“อืม.. นั่นมันค่อนข้าง..” ทานิซากิที่นั่งเงียบเอ่ยออกมาอย่างหวาดกลัว เขามองไปรอบๆด้วยสายตาเหมือนปลาตาย
ถัดไปจากเขา โยซาโนะแสยะยิ้มกับตัวเองและพึมพัมเบาๆ “..อาจจะใช้ได้ก็ได้” ทานิซากิตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“ม-มีความคิดอื่นอีกไหมครับ?”
“ความคิดอื่นหรอ” เคนจิเอ่ยพร้อมเดินไปรอบๆห้องพร้อมกับใช้ความคิด
“แน่นอนว่าสำนักงานนักสืบต่างให้ความสนใจกับเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวัน” เคนจิพูดพร้อมประกบมือเข้าหากัน “พวกเราไม่สามารถที่จะพยายามปิดคดีและไขข้อสรุปด้วยอารมณ์ชั่ววูบได้—อย่างน้อยประธานก็น่าจะพูดแบบนั้น ตอนนี้ที่บ้านของผมมีไร่เปล่าที่อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการเพาะปลูก ผมคิดว่าถ้าให้เขาไปไถดินทุกวันและตัดสินเขาโดยใช้ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนตุลาคมน่าจะดีไม่น้อยนะครับ!”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
พวกเราชักจะถลำลึกเกินไปแล้ว นั่นคือสีหน้าของพวกเขา
“อะ เอ่อ.. นั่นสินะ” ทานิซากิเอ่ยออกมาอย่างกล้ำกลืน
“ฉันคิดว่าทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดครึ่งแรกนั่น แต่.. มันคงอีกซักพักกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงนะ.. ใช่ไหมครับคุนิคิดะซัง?”
“ช-ใช่แล้วล่ะ” คุนิคิดะเอ่ยด้วยความแปลกใจ เขาไม่นึกว่าจะโดนเรียกอย่างกระทันหันแบบนี้
“งั้นหรอครับ” เคนจิเอ่ยด้วยความผิดหวังแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจ “งั้นแบบนี้ไหมครับ ที่หมู่บ้านของผมมีพืธีกรรมที่ใช้สำหรับการคัดเลือกอยู่อย่างหนึ่ง”
“โอ้ อะไรหรอ?” ทานิซากิถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
เคนจิเป็นคนพื้นเมืองที่มาจากชนบทอันแสนไกล ลึกเข้าไปในหุบเขาในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางป่าไม้และหนองน้ำ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ประธานพาเขามาเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบ เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ท่ามกลางไร่นาและฟาร์มสัตว์ และนี่เป็นเหตุผลที่เขามีกลิ่นอายของธรรมชาติอยู่รอบตัวราวกับเขาเกิดมาจากดิน
“การได้สิทธิเข้ารับเลือกให้ร่วมกลุ่มยุวชนต้องมีสิ่งจำเป็นบางอย่าง โดยส่วนมากจะเกี่ยวกับเกษตรกรรม แต่ว่าลองอันนี้ดูไหมครับ?” เคนจิเอ่ยและชี้นิ้วขึ้น “การพยากรณ์อากาศ”
“หืม..น่าสนใจดีนะ ว่ากันว่าอากาศเป็นสิ่งที่สำคัญต่อเกษตรกร ถ้าเขาสามารถพยากรณ์อากาศของวันพรุ่งนี้ได้โดยที่ไม่ใช้ตัวช่วยถือว่าเขาผ่านงั้นหรอ?”
“ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้หรอกครับ ทั้งเดือนเลยต่างหาก เราสามารถพยากรณ์อากาศได้จากสภาพของดินและสัตว์ ผมก็ทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน แดดออก มีเมฆมาก แดดออก แดดออก แดดออกในตอนเช้าแต่มีฝนในตอนเย็น...”
หลังจากนั้นเคนจิก็พยากรณ์อากาศของทั้งเดือน แต่น่าเสียดายที่ทุกคนกำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขาพูดออกมา
“นั่นมัน.. มหัศจรรย์” ทานิซากิเอ่ยออกมา “แต่.. นายมีความคิดอื่นอีกรึเปล่า”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถสื่อสารกับวัวได้ เขาจะผ่านการคัดเลือกและถ้าเขาสื่อสารกับสุนัขรู้เรื่องก็ผ่านเช่นกัน”
“หมู่บ้านของเคนจิคุงนี่สุดยอดไปเลย..” ทานิซากิพึมพัม
“ใครก็ตามที่มีความสามารถในการเรียกฝนก็ผ่าน และคนที่สามารถปลูกต้นไม้ให้โตภายในหนึ่งวันก็ผ่านเช่นกัน!”
“คนในหมู่บ้านนายนี่สุดยอดไปเลย!”
“ถ้าใครสามารถสร้างศูนย์ชุมชนภายในหนึ่งคืนได้ก็ถือว่าผ่าน”
“โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ?!” (โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิคือขุนนางคนสำคัญในอดีตของญี่ปุ่น เป็นทั้งนักรบ ซามูไรและและนักการเมืองในช่วงสมัยเซ็นโกกุ ถือเป็นผู้ที่รวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น)
“ถ้าใครสามารถชนะจ้าวแห่งปีศาจได้ก็ถือว่าผ่าน”
“ของแบบนั้นมันมีด้วยเรอะ!”
“และหลังจากนั้น”
“ด-เดี๋ยวก่อนสิ” ทานิซากิเอ่ยเพื่อขัดจังหวะเขา “ตอนนี้พวกเรากำลังนอกเรื่องออกไปกันใหญ่แล้วล่ะ ผมว่าถ้าเรายังคุยกันแบบนี้ต่อเราคงกลับเข้าเรื่องไม่ได้ ขอโทษนะครับ.. แต่ว่าหยุดก่อนดีกว่า”
“อย่างนั้นหรอครับ?” เคนจิเอ่ยอย่างเศร้าๆพร้อมเอียงคอเล็กน้อย
และเมื่อทานิซากิหันกลับไป เขาเห็นดาไซเขียนคำว่า ‘โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ’ ลงบนกระดาน
การประชุมกันว่าด้วยหัวข้อของบททดสอบได้ดำเนินมาถึงจุดที่กู่ไม่กลับแล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาไซเสนอความคิดเห็น คุนิคิดะก็ปัดมันทิ้งทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เสนออะไรออกมา โยซาโนะก็มีเหตุผลมาคัดค้านและเมื่อไหร่ที่โยซาโนะมีความคิด ทานิซากิก็จะพูดว่า “เอ่อ.. ผมว่ามันค่อนข้าง..”
ทุกๆคนมีความพยายามที่จะเลือกหาสมาชิกที่ดีที่สุดสำหรับสำนักงาน พวกเขารวมตัวกันและใช้พลังทั้งหมดไปกับการปรึกษาหารือ— หรือบางที มันอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพียงเพราะทุกๆคนต่างมีเอกลักษณ์สุดโต่งเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีใครสามารถที่จะเสนอความคิดที่เป็นกลางออกมาได้เลย
“เด็กใหม่ต้องมีความกล้าใช่ไหม?” โยซาโนะเอ่ยและแสยะยิ้ม “งั้นลองแบบนี้ไหม เอ้า ทุกคนมองไปที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของตัวเองซะ”
ทุกๆคนมองที่นิ้วก้อยของตัวเอง
“เริ่มต้นที่นิ้วก้อยข้างซ้ายแล้วก็หั่นมันออกมาทีละนิ้ว ถ้าเขาทนได้จนครบสิบนิ้ว เขาผ่าน”
“โหดร้ายเกินไปแล้วครับ!” ทานิซากิโวยออกมา
“ก็ได้.. งั้นแปดนิ้ว”
“นั่นเป็นการประนีประนอมที่ไร้ความหมายสุดๆ!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงซะฉันก็รักษาเขาได้อยู่แล้ว” โยซาโนะเอ่ยพร้อมมุ่ยหน้า “ถ้านายไม่ให้ฉันเฉือนนิ้ว งั้นให้ฉันชำแหละของสำคัญที่ท่อนล่างของเขาออกจนกว่าเขาจะร้องขอชีวิตดีไหม?”
ชายหนุ่มในห้องถึงกับสะดุ้งโหยงและกุมหัวตัวเองราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดนั้น
“ได้โปรดหยุดความคิดแบบนั้นเถอะครับ!”
“งั้นแข่งดื่มกันไหม ถ้าเขาชนะก็ถือว่าผ่าน”
“ดื่มแอลกอฮอล์ขนาดนั้นนั้นก็เรียกว่าความรุนแรงเหมือนกันครับ!”
“เฮ่ คุนิคิดะคุง เงียบไปเลยนะ” ดาไซเอ่ย “เอาล่ะๆ ถึงเวลาของคนสำคัญแล้ว ในฐานะที่นายเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากนายจะเสนอความคิดเห็นอันแสนเปล่งประกาย มันก็ต้องเป็นตอนนี้แล้วล่ะ!”
“ถ้านายพยายามจะยอฉันเพื่อให้ฉันเสนออะไรซักอย่าง ฉันไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่” คุนิคิดะพูดพร้อมจ้องไปที่ดาไซ “แต่ก็เอาเถอะ แบบนี้ดีไหม? ถ้าเขาฆ่าดาไซได้ถือว่าเขาผ่านการทดสอบ”
“แบบนั้นเองสินะครับ” ทานิซากิปรบมือด้วยความประทับใจ
“..นอกเหนือจากนั้นล่ะ” ดาไซเอ่ยและหรี่ตามองไปยังคุนิคิดะ
“ถ้าเกิดเจ้าหนูทำให้ดาไซหุบปากและทำให้สำนึกถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ทำลงไปจนถึงตอนนี้ได้ ถือว่าผ่าน”
“ผมเห็นด้วยครับ” ทานิซากิพยักหน้า
“อย่างอื่นล่ะ”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถขึงดาไซไว้กับไม้กระดานและใช้ไอน้ำร้อนเป่าใส่พร้อมกับใช้เข็มแทงแล้วก็ส่งกระแสจิตว่า ‘นี่เป็นความผิดของนาย ทุกอย่างเป็นความผิดของนาย’ แล้วก็ แล้วก็!”
เมื่อความคิดของคุนิคิดะเริ่มดุเดือดขึ้น เขาเริ่มแสดงมันออกมาเป็นท่าทาง ทั้งเตะ ต่อย จับทุ่ม ตาของเขาเริ่มแดงก่ำเพราะอารมณ์ร่วมอันสูงลิ่ว
ทานิซากิและคนอื่นๆในห้องประชุมถอยออกมาจากเชานิดหน่อย
“อื้ม.. โทษทีนะ” ดาไซเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กๆ แต่คุนิคิดะก็ไม่ได้ยินเขา
“แต่คุณก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจใช่ไหมครับดาไซซัง” ทานิซากิถาม
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
ตอนนั้นเอง เสียงเคาะดังขึ้นจากหน้าประตู
“ขอโทษนะคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น “ทุกๆคนคงจะเหนื่อยกับการประชุม นาโอมิเอาเครื่องดื่มมาให้ ทำไมไม่พักกันซักหน่อยล่ะคะ?”
เด็กสาวในชุดนักเรียนเปิดประตูเข้ามา
เธอมีผมสีดำสลวยยาวไปถึงหลัง ในมือของเธอมีถาดใส่ของว่าง
“นาโอมิ” ทานิซากิเอ่ยขึ้นพร้อมมองเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ “พี่นึกว่าเธอกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
“นาโอมิรออยู่น่ะ นาโอมิอยากกลับบ้านกับท่านพี่น่ะสิ~” เด็กสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไฝใต้ตาของเธอทำให้เธอดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ทานิซากิ นาโอมิ นอกจากกำลังเรียนหนังสือแล้ว เธอยังทำงานอยู่ในออฟฟิศของสำนักงานนักสืบ เธอเป็นน้องสาวของทานิซากิ
เด็กสาววางแก้วชาเขียวและซาลาเปาลงบนโต๊ะในห้องประชุมอย่างคล่องแคล่ว ควันฉุยจากซาลาเปาส่งกลิ่นหอมราวกับว่ามันเพิ่งทำเสร็จมาไม่นาน
นาโอมิขยับเข้าไปหาทานิซากิ ใกล้จนผู้เป็นพี่รู้สึกถึงลมหายใจของเธอก่อนจะพูดออกมา
“ท่านพี่คะ” นาโอมิกระซิบ “วันนี้ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ”
ในขณะที่พูด ปลายนิ้วเรียวก็ไต่ไปตามลำคอของผู้เป็นพี่ชาย
ทุกๆคนในห้องประชุมทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด—นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาบอก ทานิซาบอกว่านาโอมิคือน้องสาวแท้ๆและนาโอมิก็บอกว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งสองก็ไม่เหมือนกันเลยซักนิด
หากเปรียบเทียบกับทานิซากิ เขาเป็นคนที่มีดวงตาซื่อๆและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนนาโอมินั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่สมกับอายุของเจ้าตัว
นาโอมิมีริมฝีปากที่อวบอิ่ม ขนตาที่ยาวราวกับมีเสียงทุกครั้งเวลาที่เธอกระพริบตา ดวงตาของเธอกลมโตและลึกล้ำราวกับหุบเหวที่ไร้ก้น ถ้าหากมีหนุ่มไร้เดียงสาได้สบตากับเธอ เขาจะตกหลุมรักและหลงอยู่ในห้วงแห่งความฝันและเลือดทั้งหมดในร่างคงจะถูกสูบฉีดไปรวมอยู่ในที่เดียวกันอย่างเสียไม่ได้
และยิ่งแย่กว่านั้นคือนาโอมิมักจะพยายามสัมผัสร่างกายของพี่ชายโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง เธอจะจับใบหูของเขาในขณะที่กำลังพูดคุย ลูบคลำต้นขาของเขาในขณะที่กำลังทำงานและหายใจรดใบหูของเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกๆครั้งทานิซากิมักจะรับรู้สึกผู้คนที่อยู่รอบตัวและแสดงท่าทางเขินอายออกมา แต่นาโอมิกลับเพลิดเพลินที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นจากพี่ชาย
“โอ้ ท่านพี่มีผ้าพันแผลติดอยู่ด้วย นาโอมิจะเอาออกให้นะคะ”
นาโอมิลากนิ้วไปตามไหปลาร้าของอีกฝ่าย และแน่นอนว่าตรงนั้นไม่มีผ้าพันแผลที่ว่าแปะอยู่
ทานิซากิหน้าแดงและกระพริบตาปริบ เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก
ทุกๆคนต่างปวดหัวกับสิ่งที่เห็น
“พวกนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรอ? พี่น้องกันทำแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ?”— นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครซักคนในสำนักงานกล้าพอที่จะถาม
ทุกคนในสำนักงานมั่นใจว่าพวกเขาแค่แกล้งกัน แต่ถ้ามีใครซักคนถามและทั้งสองตอบว่า “ได้สิ” สมาชิกที่เหลือก็ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกริยาอย่างไร
“ท่านพี่คะ นาโอมิเอาของที่สัญญาไว้มาแล้วนะ มันอยู่ในกระเป๋า คืนนี้เราจะได้—”
“เอ๋? อ-อ่า โอเค ขอบใจนะ”
นาโอมิกระซิบคำพูดถัดและก่อนที่ทานิซากิจะเอ่ยตอบอย่างกำกวม ไม่มีซักคนที่มีความกล้าพอที่จะถามว่า “พวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกัน”
“ซาลาเปาอร่อยมากเลยครับ!” เคนจิเอ่ยออกมาพร้อมกับกินซาลาเปาที่ตนได้รับ ความเป็นอยู่ที่ดีของกระเพราะอาหารของเขาสำคัญกว่าแรงดึงดูดทางเพศมากมายนัก
“นี่ นาโอมิจัง ไหนๆเธอก็อยู่ที่นี่ ลองเสนอความคิดให้พวกเราซักอย่างสองอย่างทีสิ” ดาไซเอ่ยพร้อมยกยิ้ม “ตอนนี้เราพยายามให้ทุกคนออกความเห็นว่าบททดสอบของเจ้าหนูหน้าใหม่ควรจะเป็นอะไรดี”
“โอ้ ยอดเยี่ยมไปเลย!” นาโอมิยิ้มกว้างพร้อมกอดถาดอาหารเอาไว้ “แต่อยากจะให้นาโอมิเสนอความคิดเห็นจริงๆหรอคะ?—”
“ตอนนี้เราพยายามรวบรวมหลายๆความคิดอยู่ อะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ” ดาไซตอบ “แค่บอกสิ่งที่ชอบของเธอมาก้ได้นะ”
“น—” คุนินิคิดะใช้สายตาหยุดดาไซเอาไว้
“อย่างงั้นหรอ—” นาโอมิเอียงคอพร้อมนิ่งคิดไปซักครู่ก่อนจะหน้าแดงออกมาอย่างเขินอาย เธอเสนอความคิดทั้งหมดสามอย่าง
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรสามารถเขียนลงมาในนี้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น