วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] The Untold Story of the Founding of the Detective Agency: Chapter 1 Part 2

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency [Chapter 1, Part 2]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Naitear & Chiyuu_ki
ทรานส์อิ้ง: Here!
← Previous: Chapter 1 Part 1

เรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเล่าขานของการก่อตั้งสำนักงานนักสืบ
สำนักงานนักสืบถูกก่อตั้งอยู่บนชั้นสี่ของตึกอิฐแดง ภายในนั้นมีชั้นโรงยิม แผนกต้อนรับ ห้องสัมนา ออฟฟิศของประธาน ห้องพยาบาล ห้องผ่าตัด และห้องครัว ถึงแม้ว่าด้านหลังจะมีประตูที่เชื่อมไปยังบันไดเวียนลงไปชั้นล่างเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ทุกคนก็มักจะใช้ลิฟท์เก่าๆในการเข้าออกกันทั้งนั้น
และลิฟท์ที่ว่านั่นก็เป็นลิฟท์ที่คุนิคิดะและคนอื่นใช้เพื่อเข้าออกสำนักงานเช่นกัน
มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเสียเกือบหมด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ โดยเฉพาะสองสามคนที่ยังคงประจำอยู่ชั้นล่าง ภายใต้แสงสว่างสีขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์ พวกเขากำลังเขียนจดหมาย อ่านนิยาย และซดมาม่า ที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะว่างานยังไม่เสร็จ แต่มันเป็นเพียงเพราะแค่พวกเขาต้องการจะอยู่เท่านั้นเอง
จากหน้าต่างของออฟฟิศสามารถเห็นชายทะเลได้อย่างชัดเจน เรือบรรทุกสินค้าที่อยู่ห่างออกไปเปล่งเสียงปล่อยไอน้ำของมันออกมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่พวกเขายกมือขึ้นเพื่อทักทายสั้นๆกับพวกพนักงานแล้ว คุนิคิดะและคนอื่นจึงออกจากสำนักงานและเดินเข้าไปในห้องสัมนา
ด้านในนั้นมีคนรออยู่ก่อนแล้ว
“แหม แหม หนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึมอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ถ้าจะมาอาสาเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ฉันลองชำแหละดูก็ได้นะ แต่เสียใจด้วย วันนี้เราปิดทำการแล้ว”
โยซาโนะเหลือบมองขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ นั่งไขว้ขาเรียวทั้งสองไว้ด้วยกัน
ผู้มีพลังพิเศษ: โยซาโนะ อากิโกะ ชื่อพลัง—แก้วตาอย่าอาสัญ
เธอเป็นศัลยแพทย์ของสำนักงานนักสืบ ด้วยพลังพิเศษที่หาได้ยากสำหรับการรักษาทางการแพทย์ เธอจึงเป็นเพียงคนเดียวที่มีหน้าที่ทำการรักษาให้สมาชิกคนอื่นๆ บาดแผลที่รักษาไม่หายที่เหล่าสมาชิกได้รับจากการต่อสู้ พลังของเธอถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เพราะว่าความหลงใหลอย่างสุดโต่งในการผ่าตัดและการชำแหละของเธอ ทำให้เธอพยายามที่จะชำแหละทุกๆคนแม้ว่าบาดแผลจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เธอเป็นที่หวาดกลัวของเพื่อนร่วมงานมากกว่าศัตรูเสียอีก
และเครื่องมือชิ้นหลักที่เธอใข้ในการผ่าตัดคือขวานนั่นเอง
“โยซาโนะเซนเซย์” ทานิซากิเอ่ยพร้อมกระพริบตาด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด “คุณมาทำอะไรที่ห้องสัมนาหรอครับ?”
“อย่างที่นายเห็น ฉันกำลังอ่านหนังสือพิมพ์” โยซาโนะเอ่ยตอบพร้อมโบกหนังสือพิมพ์ในมือ “วันนี้ฉันยุ่งมาก ยุ่งซะจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์เลยล่ะ”
            ระหว่างที่เธอไล่สายตาไปยังหัวข่าว เธอกล่าวต่อ “วันนี้มีข่าวดีๆหลายเรื่องเลยนะ”
“ผมไม่ค่อยเห็นคุณมีท่าทางประทับใจกับหนังสือพิมพ์ขนาดนั้นเลยนะครับ” ทานิซากิเอ่ยขณะที่เหลือบมองไปยังหนังสือพิมพ์ “มีข่าวไหนน่าสนใจหรอครับ?”
“ก็นะ.. ที่น่าสนใจที่สุดคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับความตายล่ะมั้ง” โยซาโนะเอ่ยและยกยิ้ม “มันเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกใบนี้ที่ตัดสินผู้คนอย่างยุติธรรมที่สุด”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขายืนอยู่ข้างหน้าทางออก
หลังจากพูดคุยกัน พวกเขาทุกคนเดินเข้ามาภายในห้องสัมนาและนั่งลงตามลำดับ ทานิซากิ คุนิคิดะและดาไซ
เสียงเข็มนาฬิกาดังกังวาลขึ้นภายในห้อง
“แล้วนี่พวกนายเข้ามาในห้องนี้ทำไมกันน่ะ?” โยซาโนะถามพร้อมเลื่อนสายตาออกจากหนังสือพิมพ์
“ฮุฮุ พวกเรามาประชุมกันเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการสอบเข้าน่ะ” ดาไซตอบด้วยรอยยิ้ม “โยซาโนะเซนเซย์รู้เรื่องมนุษย์เสือคนเมื่อวานแล้วสินะ คุณอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม? ในเมื่อพวกเรากำลังจะตัดสินใจเรื่องบททดสอบ ผมเลยชวนทุกๆคนมา พวกเราจะตัดสินกันโดยใช้เสียงข้างมากล่ะ”
“เสียงข้างมาก.. เห?” โยซาโนะเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเราไม่ทำเหมือนตอนทานิซากิล่ะ? มีปัญหาอะไรงั้นหรอ?” โยซาโนะหันไปมองทานิซากิ ใบหน้าของเขาเริ่มซีดขาวพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“ให้—ให้ผมลืมๆมันไปเถอะครับ”
ทานิซากิเองก็เป็นเด็กใหม่ สิ่งที่เขากำลังกล่าวถึงคือบททดสอบเข้าของเขาที่โหดมหาโหด และเพราะความสาหัสนี้เองทำให้ทานิซากิปิดผนึกความทรงจำของเขาลงไปยังจิตใต้สำนึก เพราะว่าการนึกถึงมันทำให้เขาเกิดอาการทางจิตขึ้นมา  
    “ผมไม่เป็นไรครับ..” ทานิซากิพูดและเอนกายมาข้างหน้า “แต่เราจะกำหนดบททดสอบครั้งต่อไปที่สมเหตุสมผลขึ้นมายังไงล่ะครับ?”
“ว้าว ดูข่าวนี่สิ” โยซาโนะเอ่ยขึ้น สายตาของเธอยังจับจ้องไปอยู่ที่หนังสือพิมพ์ “พาดหัวข่าวเขียนว่า ’ไฟไหม้ที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปูเซียงไฮ้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน’ ฉันมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรน่าสนใจแถวที่เกิดเหตุแน่ๆ บางทีฉันอาจจะหยุดแวะซักหน่อยระหว่างทางกลับบ้าน”
โยซาโนะเลียริมฝีปาก
“นะ—นั่นไม่ฉุกละหุกไปหน่อยหรอครับ?” ทานิซากิเอ่ย เขามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “อีกอย่างนะครับโยซาโนะซัง หนังสือพิมพ์นั่นน่ะมันเป็นของเมื่อสองเดือนที่แล้ว ถึงคุณจะไปที่นั่นตอนนี้ก็คงไม่เหลือแม้แต่กลิ่นปูไหม้แล้วล่ะครับ”
      “นายพูดถูก” โยซาโนะมุ่ยหน้าเมื่อเห็นวันที่บนหนังสือพิมพ์ “ใครกันนะที่วางหนังสือพิมพ์เก่าๆแบบนี้เอาไว้ ชิ— ฉันอุส่าห์รอเวลาที่มีคนบาดเจ็บเยอะขนาดนี้มาตั้งนาน ฉันตั้งใจว่าจะไปช่วยพิสูจน์ศพซักหน่อย แม่จะชำแหละทั้งคนเป็นคนตายนี่แหละ”
     โยซาโนะปาหนังสือพิมพ์ทิ้งอย่างเศร้าๆ
“เอ่อ.. ชำแหละคนตายน่ะมันอีกเรื่องนะครับ แต่ว่าจะไปชำแหละคนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่มัน..” ทานิซากิเอ่ยด้วยท่าทีหวาดผวา ในฐานะที่เขาเป็นคนที่มักจะโดนโยซาโนะหั่นแล้วนั้น เขารู้สึกเห็นใจผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นเป็นอย่างมาก
“ปูเผาเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของโลกใบนี้” ดาไซเอ่ยและเปลี่ยนหัวเรื่อง
“โฮ่ย ดาไซ” คุนิคิดะที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “เลิกพูดเรื่องปูได้แล้ว นี่มันการประชุมอะไรกัน นายเพิ่งพูดไม่ใช่หรอว่านายเรียกทุกๆคนมาที่นี่ นอกจากโยซาโนะเซ็นเซย์แล้ว ฉันไม่เห็นคนอื่นจะมากันเลย”
      “หืม..” ดาไซหันไปมองนาฬืกา “ฉันโทรเรียกทุกคนแล้วล่ะ แต่ฉันว่านักสืบของเราคงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย พวกเราน่าจะต้องรออีกซักพัก”
คุนิคิดะกอดอกและมองดาไซ
“ฉันไม่อยากเห็นเจ้าชายแห่งความเห็นแก่ตัวว่าคนอื่นว่าเห็นแก่ตัว” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ถึงนายจะโทรตามทุกคนมาที่นี่ นายตัดสินใจรึยังว่าจะดำเนินการกันยังไง”
“โอ้ แน่นอน ฉันวางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้วล่ะ เจ้าชายแห่งการวางแผนอย่างคุนิคิดะคุงจะได้ไม่บ่นยังไงล่ะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นว่าดาไซกำลังเริ่มต้นเขียนอะไรบ้างอย่างลงบนกระดานสีขาวที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง
“อย่างแรก ทุกคนต้องช่วยกันคิดเรื่องบททดสอบ อย่างที่สองเลือกเอาแผนการที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมาหนึ่งอย่างและสุดท้ายก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องอะไรโดยใช้เนื้อหาของการสอบเป็นตัวตัดสิน!— ไง ฉันวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ฉันยอมรับว่านายวางแผนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีลางสังหรณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับสิ่งที่จะตามมา” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ลำดับที่สาม— ‘แบ่งหน้าที่ว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ’— ยิ่งฟังยิ่งน่าสงสัย นายคงวางแผนไว้แล้วสินะเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่สำคัญๆ ฉันพูดถูกรึเปล่า”
“ไม่มีทางน่า~ คนที่จริงใจอย่างฉันไม่มีทางทำเรื่องสกปรกๆแบบนั้นหรอก หรือว่าคุนิคิดะคุง เพื่อนร่วมงานที่แสนดีของฉันกำลังบอกว่าไม่เชื่อใจฉันงั้นหรอ?”
ดาไซเอ่ยขึ้นพร้อมยกแขนขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
“ฉันไม่เชื่อใจนาย..”
“ผมเองก็ไม่ค่อยเหมือนกันครับ..”
“ฉันมีความเชื่อมั่นอันน้อยนิดว่าทุกอย่างจะออกมาดี”
ดาไซกระโดดดึ๋งทันที
“ทุกคนแย่ที่สุดเลย!”      
“เอาล่ะ เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยตัดสินใจกันอีกที ตอนนี้ขั้นตอนที่สามที่ว่าจะให้ใครเป็นคนจัดการอะไรก็ปล่อยเอาไว้ก่อน เรามาเริ่มออกความคิดกันก่อนเป็นไง?”
คุนิคิดะมองที่นาฬิกาอีกครั้ง
หากจะกล่าวถึงเหล่านักสืบที่ดาไซเรียกมา รันโปและเคนจิยังคงไม่ปรากฏตัว พวกเขาทั้งสองคนจำเป็นต่อการตัดสินครั้งสุดท้ายซึ่งต้องการการลงคะแนนจากเสียงข้างมาก แต่ขั้นตอนก่อนหน้านั้นสามารถใช้เพียงสมาชิกที่เหลืออยู่ในการหารือกันได้ เหมือนที่คุนิคิดะพูด
“ว้าว ในที่สุดก็มีแรงกระตุ้นแล้วสินะ” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุนิคิดะคุงมีความกระตือรือร้นขนาดนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนเราทำงานกันเสร็จแล้วล่ะ เอาล่ะๆ เรามาเริ่มการประชุมกันเถอะ ใครมีความคิดอะไรบ้างไหม?”
ดาไซมองทุกคนขณะที่เขากลับมานั่งประจำที่ ทุกคนในห้องประชุมต่างมองมาที่เขา เพราะว่าการประชุมนั้นเริ่มต้นอย่างกระทันหันเกินไปทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหน ถึงแม้ว่าจะเป็นสมาชิกผู้มีประสบการณ์โชกโชนแห่งสำนักงานนักสืบที่สามารถฆ่าศัตรูได้ในขณะที่ฮัมเพลงไปด้วยก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเช่นเดียวกัน
นั่นคือ ‘การประเมินสถานการณ์’
เหล่านักสืบที่มาชุมนุมกันต่างมีพลังพิเศษและลักษณะนิสัยอันหลากหลาย การที่จะสามารถเข้าใจความคิดของทุกคนได้ก็เป็นเรื่องที่ใหญ่พอๆกับการล่าสมบัติแถวป่าดิบชื้นในเขตแอฟริกาใต้
ถึงอย่างนั้น ความเงียบก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ทานิซากิคุง หน้านายบอกชัดๆเลยนะว่าให้ ‘เลือกฉัน!’” ดาไซที่เริ่มหมดความอดทนชี้ไปที่ทานิซากิ
“เอ๋? ผ—ผม?” ทานิซากิเอ่ยขึ้นและชี้ตัวเองด้วยความงุนงง
“จากที่ฉันเห็นน่ะ นายมีประกายความคิดเจ๋งๆพุ่งออกมาจากหน้าของนายเลยล่ะนะ~ เร็วเข้าๆ บอกไพ่ตายของนายมาสิ— ข้อเสนอที่จะทำให้ทุกคนยืนขึ้นปรบมือให้นายน่ะ พวกเราเตรียมตัวประทับใจกันอยู่นะ!”
“อย่าตั้งความหวังสูงขนาดนั้นสิครับ!” ทานิซากิร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ยังไงก็เถอะ ผมคิดว่ามันไม่เห็นจำเป็นต้องหาวิธีสอบแบบพิสดารเลยนี่นา ทำไมเราไม่เลือกคดีที่มีความยากระดับปานกลางที่พวกเราได้รับล่ะครับ ผมได้ยินมาว่านั่นเป็นแบบทดสอบที่คุณได้รับใช่ไหมครับดาไซซัง”
“โอ้ เป็นความคิดที่ดีนะ ขอบใจทานิซากิคุง” ดาไซเอ่ยและเขียนคำว่า ‘การอนุมัติเข้าร่วมสำนักงานนักสืบโดยการไขคดี’ ลงบนกระดาน “มีใครคัดค้านไหม?”
 “นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอดาไซ” คุนิคิดะพูด “ถ้าเจ้าเด็กเหลือขอนี่เป็นแค่พวกมือใหม่ธรรมดาก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาถูกหมายหัวจากสารวัตรทหารว่าเป็นสัตว์อันตรายที่ต้องถูกจับกุมทันที ถึงสำนักงานนักสืบจะช่วยปกปิดตัวตนของเขาเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่ควรที่จะให้เขาลงไปทำงานภาคสนามก่อนที่เขาจะผ่านบททดสอบ ประธานก็บอกนายแล้วเหมือนกันใช่ไหม”
“สมกับเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของประธานเลยนะ~” ดาไซแนบสองมือลงบนแก้มของตัวเอง “ประธานบอกฉันอย่างนี้เป๊ะเลยล่ะ อืม.. มันเป็นข้อเสนอที่มีเหตุผลนะ งั้นเราก็ต้องคิดบททดสอบที่จะไม่ทำให้เป็นที่สนใจจากผู้คนข้างนอกงั้นสิ โทษทีนะ ทานิซากิคุง”
“ผมเข้าใจครับ” ทานิซากิตอบ “ถ้าอย่างงั้น— ให้เขาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานดีไหมครับ? แบบนั้นเขาก็ไม่ต้องออกไปข้างนอก”
“ปัญหาที่ว่าคืออะไรล่ะ?”
“อืม.. ซ่อมเครื่องพิมพ์หรือล้างท่อ หรือว่า..”
“นี่ไม่ใช่การหาสามีมาทำงานบ้าน” คุนิคิดะเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน “ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่มีทางที่จะมีเหตุการณ์ที่ใหญ่พอที่จะทดสอบความแน่วแน่ของเขาภายในสำนักงานนี้”
“งั้นเราพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” ดาไซพูดพร้อมเขียน ‘การแก้ปัญหาภายในสำนักงาน’ และเครื่องหมาย ‘?’ ไว้ด้านหลัง
“การบ่นของพวกนายไม่ช่วยให้อะไรคืบหน้าขึ้นเลย” โยซาโนะเอ่ยพร้อมชี้ไปที่ดาไซ “ดาไซ ในฐานะที่นายเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด นายเสนอความคิดมาซะ ได้คิดอะไรเอาไว้รึยัง”
ดาไซเงียบไปซักครู่
“ฮุฮุฮุ”
ฉันกำลังรอให้ใครซักคนพูดแบบนี้อยู่พอดี— นั่นเป็นความหมายของรอยยิ้มของเขา
ดาไซหยิบตั้งกระดาษออกมาจากกระเป๋าและวางลงในที่ที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ บนกระดาษนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่แน่นขนัดและยากที่จะบอกได้ว่าคนเขียนมันมีมีฝีมือหรือไม่
“แน่นอน ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ! เข้ามาดูแผนการอันสมบูรณ์แบบที่ฉันคิดเอาไว้ใกล้ๆสิ!”
“หือ” ทุกคนมองดาไซด้วยความประทับใจ มีเพียงคุนิคิดะที่ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
“อย่างแรกเป็นการทดสอบสมรรถภาพ! เราจะทดสอบความอดทนของร่างกายเขาโดยการไปที่สวนสัตว์โยโกฮาม่า— เดินทางโดยรถไฟประมานสามสิบนาที—แล้วก็แอบย่องเข้าไปข้างใน จากนั้นเราก็จะโยนเจ้าหนูนั้นเข้าไปในกรงหมีดำหิมาลายัน และเราก็จะกลับมารับเขาในเช้าของวันรุ่งขึ้น ถ้าเขาเอาชนะหมีและหนีออกมาได้ เราจะรับเขาเข้าทำงาน!”
“โฮ่ย..” คุนิคิดะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขณะมองจ้องไปยังดาไซ
“แต่ถ้าเขาเกิดอ่อนข้อให้หมีนั่นขึ้นมา เราค่อยเก็บเขาเอาไว้เป็นตัวสำรองก็ได้”
“โฮ่ย”
“แต่ถ้าเกิดเกิดอะไรขึ้นกับหมี แผนสำรองของฉันก็คือ— การทดสอบการคิดแก้ไขปัญหา ฉันรู้จักชายแก่ขี้งกอยู่คนนึง งกมากจนถึงขั้นยอมตายเพื่อเงินเลยล่ะ เขาเคยใช้เวลาสองชั่วโมงบ่นคนที่มาขอยืมเงินห้าเยน ดังนั้นเจ้าหนูมนุษย์เสือจะต้องหาเหตุผลไปขอยืมเงินพันเยนจากเขาให้ได้!”
โฮ่ย
“แล้วถ้าเจ้าหนูหลอกเขาได้ทั้งเดือนจะถือว่าสอบผ่าน!”
“นั่นมันเกินไปแล้วครับ!”
“แล้วก็.. อย่างถัดไปคือ—”
คุนิคิดะหยุดดาไซทันทีระหว่างที่เขากำลังคุ้ยกองกระดาษ
“เดี๋ยวๆ ทุกอย่างที่นายคิดมาเป็นแบบนั้นหมดเลยเรอะ? นายคิดว่าการทดสอบมันเป็นอะไรกัน? ยิ่งกว่านั้น ไม่มีทางที่เจ้าหนูจะทนตาแก่คนนั้นได้เกินเดือนหรอก เดี๋ยวเขาก็เครียดจนผมร่วงหมดหัวพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะขอยืมเงินเขาด้วยชื่อของคุนิคิดะคุงเป็นไง?” ดาไซเอ่ยและมองไปที่ศรีษะของคุนิคิดะ
“ไม่มีทาง!” คุนิคิดะตะโกนและจับศรีษะของตัวเองไว้ “นอกจากนั้น นายก็รู้ว่าทุกคนที่สำนักงานเป็นนักสืบ ช่วยคิดอะไรที่มันเหมาะสมสำหรับการเป็นบททดสอบหน่อยจะได้ไหม เช่นบททดสอบคุณธรรม จริยธรรม ความฉลาด ความกล้าหาญอะไรเทือกนั้น ”
“เอ๋? งั้นแบบนี้ดีไหม ถ้าเขาสามารถกินน้ำตาลสองกิโลกรัมหมดได้ในเวลาห้านาที—”
“เพราะมันไร้สาระแบบนั้นไง ความคิดของนายถึงใช้การไม่ได้ซักอย่าง! อีกอย่าง นายกำลังพาออกนอกเรื่องเข้าไปทุกที ชิ มีใครอีกไหมที่สามารถเสนอความคิดที่มันน่าเชื่อถือได้น่ะ”
ขณะที่คุนิคิดะกำลังทึ้งศรีษะตัวเองและคร่ำครวญออกมา ในเวลานั้น—
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ!”
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจนบานพับส่งเสียงแปลกๆออกมา
ทุกๆคนหันไปมอง
“ผมทำสวนที่หน้าบ้านจนสายไปหน่อย วันนี้ผมปลูกหัวไชเท้าชั้นดีที่ดูเหมือนจะเอามาใช้ฆ่าคนได้ด้วยล่ะครับ! เอาไว้ผมจะเอามาแบ่งให้ทุกคนนะ”
เด็กหนุ่มสวมหมวกฟางพูดกับทุกคนอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้าย ถุงมือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาเปรอะไปด้วยดินและนอกเหนือจากนั้น เขายังเดินเท้าเปล่า
เขาคือพนักงานที่อายุน้อยที่สุดในสำนักงานนักสืบ มิยาซาว่า เคนจิ
“โอ้ เคนจิคุง พวกเรากำลังรออยู่เลย” ดาไซเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเพิ่งเริ่มกันเองเพราะงั้นนายน่าจะตามการประชุมได้ทัน ตอนนี้พวกเราหารือกันไปได้เยอะแล้วล่ะ เพราะงั้นเคนจิคุง ลองออกความคิดเจ๋งๆของนายมาหน่อยสิ!”
เคนจิเอ่ยตอบอย่างร่าเริงและเดินเข้ามาภายในห้องประชุม “ครับ! ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
เขาเดินเข้ามาภายในและอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาน ก่อนที่จะหันกลับมามองทุกๆคนที่นั่งอยู่และพูดว่า “เรากำลังตรวจสอบว่าเขามีความสามารถที่จะเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบหรือไม่สินะครับ”
หลังจากที่ครุ่นคิดเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ยกมือขึ้นและหันไปหาดาไซ “โอเคครับ!”
“ว่ามาเลยเคนจิคุง” ดาไซเอ่ยและชี้ไปที่เด็กหนุ่ม
“ถ้าเขาเอาชนะการแข่งขันงัดข้อกับผมได้น่าจะดีไปเลยนะครับ!”
ทุกๆคนเงียบไปทันทีและมีท่าทีเคร่งขรึม ขนาดดาไซยังไม่เว้น
นั่นมันเป็นไปไม่ได้
ความสามารถของเคนจิคือ—”ไม่ปราชัยด้วยสายฝน”— มันคือความสามารถที่จะทำให้ร่างกายของเขามีสมรรถภาพเทียบเท่ายอดมนุษย์ หรือก็คือเขามีพลังกายที่แข็งแกร่งมาก เขาสามารถโยนรถทั้งคันอย่างง่ายดาย มีครั้งหนึ่งที่เขาแข่งงัดข้อกับนักซูโม่สามคน และเขาสามารถโยนทั้งสามคนนั้นให้ลอยหายไป
แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่านักซูโม่ทั้งสามลอยไปตกที่ไหน
นั่นคือการแข่งงัดข้อกับเคนจิ
ในหัวของทุกคนที่นั่งอยู่ เพียงสิ่งเดียวที่พวกเขานึกออกคือแขนของเจ้าเด็กใหม่ที่ถูกฉีกออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน
“อืม.. นั่นมันค่อนข้าง..” ทานิซากิที่นั่งเงียบเอ่ยออกมาอย่างหวาดกลัว เขามองไปรอบๆด้วยสายตาเหมือนปลาตาย
ถัดไปจากเขา โยซาโนะแสยะยิ้มกับตัวเองและพึมพัมเบาๆ “..อาจจะใช้ได้ก็ได้” ทานิซากิตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“ม-มีความคิดอื่นอีกไหมครับ?”
“ความคิดอื่นหรอ” เคนจิเอ่ยพร้อมเดินไปรอบๆห้องพร้อมกับใช้ความคิด
“แน่นอนว่าสำนักงานนักสืบต่างให้ความสนใจกับเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวัน” เคนจิพูดพร้อมประกบมือเข้าหากัน “พวกเราไม่สามารถที่จะพยายามปิดคดีและไขข้อสรุปด้วยอารมณ์ชั่ววูบได้—อย่างน้อยประธานก็น่าจะพูดแบบนั้น ตอนนี้ที่บ้านของผมมีไร่เปล่าที่อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการเพาะปลูก ผมคิดว่าถ้าให้เขาไปไถดินทุกวันและตัดสินเขาโดยใช้ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนตุลาคมน่าจะดีไม่น้อยนะครับ!”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
พวกเราชักจะถลำลึกเกินไปแล้ว นั่นคือสีหน้าของพวกเขา
“อะ เอ่อ.. นั่นสินะ” ทานิซากิเอ่ยออกมาอย่างกล้ำกลืน
“ฉันคิดว่าทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดครึ่งแรกนั่น แต่.. มันคงอีกซักพักกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงนะ.. ใช่ไหมครับคุนิคิดะซัง?”
“ช-ใช่แล้วล่ะ” คุนิคิดะเอ่ยด้วยความแปลกใจ เขาไม่นึกว่าจะโดนเรียกอย่างกระทันหันแบบนี้
“งั้นหรอครับ” เคนจิเอ่ยด้วยความผิดหวังแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจ “งั้นแบบนี้ไหมครับ ที่หมู่บ้านของผมมีพืธีกรรมที่ใช้สำหรับการคัดเลือกอยู่อย่างหนึ่ง”
“โอ้ อะไรหรอ?” ทานิซากิถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
เคนจิเป็นคนพื้นเมืองที่มาจากชนบทอันแสนไกล ลึกเข้าไปในหุบเขาในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางป่าไม้และหนองน้ำ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ประธานพาเขามาเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบ เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ท่ามกลางไร่นาและฟาร์มสัตว์ และนี่เป็นเหตุผลที่เขามีกลิ่นอายของธรรมชาติอยู่รอบตัวราวกับเขาเกิดมาจากดิน
“การได้สิทธิเข้ารับเลือกให้ร่วมกลุ่มยุวชนต้องมีสิ่งจำเป็นบางอย่าง โดยส่วนมากจะเกี่ยวกับเกษตรกรรม แต่ว่าลองอันนี้ดูไหมครับ?” เคนจิเอ่ยและชี้นิ้วขึ้น “การพยากรณ์อากาศ”
“หืม..น่าสนใจดีนะ ว่ากันว่าอากาศเป็นสิ่งที่สำคัญต่อเกษตรกร ถ้าเขาสามารถพยากรณ์อากาศของวันพรุ่งนี้ได้โดยที่ไม่ใช้ตัวช่วยถือว่าเขาผ่านงั้นหรอ?”
“ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้หรอกครับ ทั้งเดือนเลยต่างหาก เราสามารถพยากรณ์อากาศได้จากสภาพของดินและสัตว์ ผมก็ทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน แดดออก มีเมฆมาก แดดออก แดดออก แดดออกในตอนเช้าแต่มีฝนในตอนเย็น...”
หลังจากนั้นเคนจิก็พยากรณ์อากาศของทั้งเดือน แต่น่าเสียดายที่ทุกคนกำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขาพูดออกมา
“นั่นมัน.. มหัศจรรย์” ทานิซากิเอ่ยออกมา “แต่.. นายมีความคิดอื่นอีกรึเปล่า”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถสื่อสารกับวัวได้ เขาจะผ่านการคัดเลือกและถ้าเขาสื่อสารกับสุนัขรู้เรื่องก็ผ่านเช่นกัน”
“หมู่บ้านของเคนจิคุงนี่สุดยอดไปเลย..” ทานิซากิพึมพัม
“ใครก็ตามที่มีความสามารถในการเรียกฝนก็ผ่าน และคนที่สามารถปลูกต้นไม้ให้โตภายในหนึ่งวันก็ผ่านเช่นกัน!”
“คนในหมู่บ้านนายนี่สุดยอดไปเลย!”
“ถ้าใครสามารถสร้างศูนย์ชุมชนภายในหนึ่งคืนได้ก็ถือว่าผ่าน”
“โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ?!” (โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิคือขุนนางคนสำคัญในอดีตของญี่ปุ่น เป็นทั้งนักรบ ซามูไรและและนักการเมืองในช่วงสมัยเซ็นโกกุ ถือเป็นผู้ที่รวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น)
“ถ้าใครสามารถชนะจ้าวแห่งปีศาจได้ก็ถือว่าผ่าน”
“ของแบบนั้นมันมีด้วยเรอะ!”
“และหลังจากนั้น”   
“ด-เดี๋ยวก่อนสิ” ทานิซากิเอ่ยเพื่อขัดจังหวะเขา “ตอนนี้พวกเรากำลังนอกเรื่องออกไปกันใหญ่แล้วล่ะ ผมว่าถ้าเรายังคุยกันแบบนี้ต่อเราคงกลับเข้าเรื่องไม่ได้ ขอโทษนะครับ.. แต่ว่าหยุดก่อนดีกว่า”
“อย่างนั้นหรอครับ?” เคนจิเอ่ยอย่างเศร้าๆพร้อมเอียงคอเล็กน้อย
และเมื่อทานิซากิหันกลับไป เขาเห็นดาไซเขียนคำว่า ‘โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ’ ลงบนกระดาน
การประชุมกันว่าด้วยหัวข้อของบททดสอบได้ดำเนินมาถึงจุดที่กู่ไม่กลับแล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาไซเสนอความคิดเห็น คุนิคิดะก็ปัดมันทิ้งทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เสนออะไรออกมา โยซาโนะก็มีเหตุผลมาคัดค้านและเมื่อไหร่ที่โยซาโนะมีความคิด ทานิซากิก็จะพูดว่า “เอ่อ.. ผมว่ามันค่อนข้าง..”
ทุกๆคนมีความพยายามที่จะเลือกหาสมาชิกที่ดีที่สุดสำหรับสำนักงาน พวกเขารวมตัวกันและใช้พลังทั้งหมดไปกับการปรึกษาหารือ— หรือบางที มันอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพียงเพราะทุกๆคนต่างมีเอกลักษณ์สุดโต่งเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีใครสามารถที่จะเสนอความคิดที่เป็นกลางออกมาได้เลย
“เด็กใหม่ต้องมีความกล้าใช่ไหม?” โยซาโนะเอ่ยและแสยะยิ้ม “งั้นลองแบบนี้ไหม เอ้า ทุกคนมองไปที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของตัวเองซะ”  
ทุกๆคนมองที่นิ้วก้อยของตัวเอง
“เริ่มต้นที่นิ้วก้อยข้างซ้ายแล้วก็หั่นมันออกมาทีละนิ้ว ถ้าเขาทนได้จนครบสิบนิ้ว เขาผ่าน”
“โหดร้ายเกินไปแล้วครับ!” ทานิซากิโวยออกมา
“ก็ได้.. งั้นแปดนิ้ว”
“นั่นเป็นการประนีประนอมที่ไร้ความหมายสุดๆ!”   
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงซะฉันก็รักษาเขาได้อยู่แล้ว” โยซาโนะเอ่ยพร้อมมุ่ยหน้า “ถ้านายไม่ให้ฉันเฉือนนิ้ว งั้นให้ฉันชำแหละของสำคัญที่ท่อนล่างของเขาออกจนกว่าเขาจะร้องขอชีวิตดีไหม?”
ชายหนุ่มในห้องถึงกับสะดุ้งโหยงและกุมหัวตัวเองราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดนั้น
“ได้โปรดหยุดความคิดแบบนั้นเถอะครับ!”
“งั้นแข่งดื่มกันไหม ถ้าเขาชนะก็ถือว่าผ่าน”
“ดื่มแอลกอฮอล์ขนาดนั้นนั้นก็เรียกว่าความรุนแรงเหมือนกันครับ!”
“เฮ่ คุนิคิดะคุง เงียบไปเลยนะ” ดาไซเอ่ย “เอาล่ะๆ ถึงเวลาของคนสำคัญแล้ว ในฐานะที่นายเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากนายจะเสนอความคิดเห็นอันแสนเปล่งประกาย มันก็ต้องเป็นตอนนี้แล้วล่ะ!”
  “ถ้านายพยายามจะยอฉันเพื่อให้ฉันเสนออะไรซักอย่าง ฉันไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่” คุนิคิดะพูดพร้อมจ้องไปที่ดาไซ “แต่ก็เอาเถอะ แบบนี้ดีไหม? ถ้าเขาฆ่าดาไซได้ถือว่าเขาผ่านการทดสอบ”
“แบบนั้นเองสินะครับ” ทานิซากิปรบมือด้วยความประทับใจ
“..นอกเหนือจากนั้นล่ะ” ดาไซเอ่ยและหรี่ตามองไปยังคุนิคิดะ
“ถ้าเกิดเจ้าหนูทำให้ดาไซหุบปากและทำให้สำนึกถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ทำลงไปจนถึงตอนนี้ได้ ถือว่าผ่าน”
“ผมเห็นด้วยครับ” ทานิซากิพยักหน้า
“อย่างอื่นล่ะ”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถขึงดาไซไว้กับไม้กระดานและใช้ไอน้ำร้อนเป่าใส่พร้อมกับใช้เข็มแทงแล้วก็ส่งกระแสจิตว่า ‘นี่เป็นความผิดของนาย ทุกอย่างเป็นความผิดของนาย’ แล้วก็ แล้วก็!”
เมื่อความคิดของคุนิคิดะเริ่มดุเดือดขึ้น เขาเริ่มแสดงมันออกมาเป็นท่าทาง ทั้งเตะ ต่อย จับทุ่ม ตาของเขาเริ่มแดงก่ำเพราะอารมณ์ร่วมอันสูงลิ่ว
ทานิซากิและคนอื่นๆในห้องประชุมถอยออกมาจากเชานิดหน่อย
“อื้ม.. โทษทีนะ” ดาไซเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กๆ แต่คุนิคิดะก็ไม่ได้ยินเขา
“แต่คุณก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจใช่ไหมครับดาไซซัง” ทานิซากิถาม
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
ตอนนั้นเอง เสียงเคาะดังขึ้นจากหน้าประตู
“ขอโทษนะคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น “ทุกๆคนคงจะเหนื่อยกับการประชุม นาโอมิเอาเครื่องดื่มมาให้ ทำไมไม่พักกันซักหน่อยล่ะคะ?”
เด็กสาวในชุดนักเรียนเปิดประตูเข้ามา
เธอมีผมสีดำสลวยยาวไปถึงหลัง ในมือของเธอมีถาดใส่ของว่าง
“นาโอมิ” ทานิซากิเอ่ยขึ้นพร้อมมองเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ “พี่นึกว่าเธอกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
“นาโอมิรออยู่น่ะ นาโอมิอยากกลับบ้านกับท่านพี่น่ะสิ~” เด็กสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไฝใต้ตาของเธอทำให้เธอดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ทานิซากิ นาโอมิ นอกจากกำลังเรียนหนังสือแล้ว เธอยังทำงานอยู่ในออฟฟิศของสำนักงานนักสืบ เธอเป็นน้องสาวของทานิซากิ
เด็กสาววางแก้วชาเขียวและซาลาเปาลงบนโต๊ะในห้องประชุมอย่างคล่องแคล่ว ควันฉุยจากซาลาเปาส่งกลิ่นหอมราวกับว่ามันเพิ่งทำเสร็จมาไม่นาน
นาโอมิขยับเข้าไปหาทานิซากิ ใกล้จนผู้เป็นพี่รู้สึกถึงลมหายใจของเธอก่อนจะพูดออกมา
“ท่านพี่คะ” นาโอมิกระซิบ “วันนี้ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ”
ในขณะที่พูด ปลายนิ้วเรียวก็ไต่ไปตามลำคอของผู้เป็นพี่ชาย
ทุกๆคนในห้องประชุมทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด—นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาบอก ทานิซาบอกว่านาโอมิคือน้องสาวแท้ๆและนาโอมิก็บอกว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งสองก็ไม่เหมือนกันเลยซักนิด
หากเปรียบเทียบกับทานิซากิ เขาเป็นคนที่มีดวงตาซื่อๆและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนนาโอมินั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่สมกับอายุของเจ้าตัว
นาโอมิมีริมฝีปากที่อวบอิ่ม ขนตาที่ยาวราวกับมีเสียงทุกครั้งเวลาที่เธอกระพริบตา ดวงตาของเธอกลมโตและลึกล้ำราวกับหุบเหวที่ไร้ก้น ถ้าหากมีหนุ่มไร้เดียงสาได้สบตากับเธอ เขาจะตกหลุมรักและหลงอยู่ในห้วงแห่งความฝันและเลือดทั้งหมดในร่างคงจะถูกสูบฉีดไปรวมอยู่ในที่เดียวกันอย่างเสียไม่ได้
และยิ่งแย่กว่านั้นคือนาโอมิมักจะพยายามสัมผัสร่างกายของพี่ชายโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง  เธอจะจับใบหูของเขาในขณะที่กำลังพูดคุย ลูบคลำต้นขาของเขาในขณะที่กำลังทำงานและหายใจรดใบหูของเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกๆครั้งทานิซากิมักจะรับรู้สึกผู้คนที่อยู่รอบตัวและแสดงท่าทางเขินอายออกมา แต่นาโอมิกลับเพลิดเพลินที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นจากพี่ชาย
“โอ้ ท่านพี่มีผ้าพันแผลติดอยู่ด้วย นาโอมิจะเอาออกให้นะคะ”
นาโอมิลากนิ้วไปตามไหปลาร้าของอีกฝ่าย และแน่นอนว่าตรงนั้นไม่มีผ้าพันแผลที่ว่าแปะอยู่
ทานิซากิหน้าแดงและกระพริบตาปริบ เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก
ทุกๆคนต่างปวดหัวกับสิ่งที่เห็น
“พวกนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรอ? พี่น้องกันทำแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ?”— นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครซักคนในสำนักงานกล้าพอที่จะถาม
ทุกคนในสำนักงานมั่นใจว่าพวกเขาแค่แกล้งกัน แต่ถ้ามีใครซักคนถามและทั้งสองตอบว่า “ได้สิ” สมาชิกที่เหลือก็ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกริยาอย่างไร
“ท่านพี่คะ นาโอมิเอาของที่สัญญาไว้มาแล้วนะ มันอยู่ในกระเป๋า คืนนี้เราจะได้—”
“เอ๋? อ-อ่า โอเค ขอบใจนะ”
นาโอมิกระซิบคำพูดถัดและก่อนที่ทานิซากิจะเอ่ยตอบอย่างกำกวม ไม่มีซักคนที่มีความกล้าพอที่จะถามว่า “พวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกัน”
“ซาลาเปาอร่อยมากเลยครับ!” เคนจิเอ่ยออกมาพร้อมกับกินซาลาเปาที่ตนได้รับ ความเป็นอยู่ที่ดีของกระเพราะอาหารของเขาสำคัญกว่าแรงดึงดูดทางเพศมากมายนัก
“นี่ นาโอมิจัง ไหนๆเธอก็อยู่ที่นี่ ลองเสนอความคิดให้พวกเราซักอย่างสองอย่างทีสิ” ดาไซเอ่ยพร้อมยกยิ้ม “ตอนนี้เราพยายามให้ทุกคนออกความเห็นว่าบททดสอบของเจ้าหนูหน้าใหม่ควรจะเป็นอะไรดี”
“โอ้ ยอดเยี่ยมไปเลย!” นาโอมิยิ้มกว้างพร้อมกอดถาดอาหารเอาไว้ “แต่อยากจะให้นาโอมิเสนอความคิดเห็นจริงๆหรอคะ?—”
“ตอนนี้เราพยายามรวบรวมหลายๆความคิดอยู่ อะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ” ดาไซตอบ “แค่บอกสิ่งที่ชอบของเธอมาก้ได้นะ”
“น—” คุนินิคิดะใช้สายตาหยุดดาไซเอาไว้
“อย่างงั้นหรอ—” นาโอมิเอียงคอพร้อมนิ่งคิดไปซักครู่ก่อนจะหน้าแดงออกมาอย่างเขินอาย เธอเสนอความคิดทั้งหมดสามอย่าง

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรสามารถเขียนลงมาในนี้ได้
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น