วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 3 [1/4 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 3
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 part 6
ผมกำลังนั่งอยู่ในขณะที่ฝนตก
เวลาหมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับไม่มีที่สิ้นสุด สรรพเสียงรอบตัวถูกกลบด้วยเสียงของสายฝนทำให้โลกทั้งใบราวกับกลายเป็นเมืองร้าง
หยาดน้ำฝนเทกระหน่ำบดบังทิวทัศน์ภายนอก ละอองน้ำจากสายฝนและไอทะเลลอยคล้อยอยู่ในอากาศ ทุกอย่างดูเศร้าสร้อยไปหมด  มีเพียงกระจกใสบางๆเท่านั้นที่กั้นระหว่างผมและความเปียกแฉะนั่น
ที่นี่คือโรงน้ำชา ตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบสี่
ผมกำลังอ่านหนังสือ
มันเป็นหนังสือเก่า หน้าปกและสันของมันเปื่อยและขาดวิ่น ยิ่งไปกว่านั้นบางส่วนของมันก็ถูกทำลายไป หนังสือเล่มนี้เก่ามาก แทบทุกหน้าเต็มไปด้วยตัวอักษรที่เลือนราง
ผมเจอหนังสือเล่มนี้ตอนที่ผมยังทำงานเป็นนักฆ่ารับจ้าง ผมนำมันกลับมาด้วยเพราะเจ้าของเดิมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านมันอีกต่อไป
ผมพลิกหน้าหนังสือผ่านไป
ความอ่อนต่อโลกของตัวผมในตอนนั้นและตอนนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ผมเป็นนักฆ่าที่ไม่เคยปฏิบัติงานพลาด เศรษฐีที่เดิมทีเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้และครอบครัวของเขากลายเป็นเพียงซากสกปรกที่ประดับอยู่บนฝาผนังในที่เกิดเหตุฆาตกรรม
ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำไมผมถึงนำหนังสือเล่มนี้กลับมาด้วย จำได้เพียงอะไรบางอย่างที่ดลใจผม ในตอนนั้นผมไม่ได้ชอบอ่านหนังสือด้วยซ้ำ แต่หนังสือเล่มนี้กลับต่างออกไป
มันเป็นนิยายเก่าๆ ฉากในเรื่องคือเมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยตัวละครมากมาย ตัวละครเหล่านั้นเล็กจ้อยอ่อนแอและมักจะวิ่งเข้าใส่ปัญหาไร้สาระ แต่มันกลับน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ทำงานเสร็จผมมักจะมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมในโรงน้ำชาและอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน
และวันนี้ผมก็อ่านหนังสือเล่มเดิมเช่นทุกครั้ง
“เจ้าหนู แกเอาแต่อ่านหนังสือนั่น ถามจริงเถอะ มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไง”
ทันใดนั้นเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกให้ผมเงยหน้ามอง
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าผมเป็นชายที่มีรอยยิ้มกวนประสาท เขาถือไม้เท้าอยู่ในมือ ที่มุมปากของเขามีหนวดอยู่นิดหน่อย ผมเคยเจอเขาก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ครั้ง
“มันน่าสนใจ” ผมตอบ
ชายคนนั้นมองผมราวกับกำลังมองของแปลก
“แกมันเด็กประหลาด มีหนังสืออีกหลายเรื่องในโลกนี้ที่น่าสนใจกว่านิยายเล่มนั้น”
ผมมองเขาแต่ไม่ได้ตอบอะไร ให้ว่าตามตรง ผมเองก็ไม่สามารถจะอธิบายให้เขาฟังได้ว่าทำไมผมถึงอ่านหนังสือเล่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แล้วเล่มสุดท้ายของมันอยู่ที่ไหนล่ะเจ้าหนู”
ผมมองหนังสือบนโต๊ะ มีเพียงแค่เล่มแรกและเล่มสองวางอยู่
มันเป็นความผิดพลาดเพราะผมหาเจอเพียงแค่สองเล่มแรกเท่านั้น ผมพยายามตามหาที่ร้านขายหนังสือเก่าแทบทุกที่แต่ผมก็ไม่สามารถหาเล่มสุดท้ายได้เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่รู้ตอนจบของมัน
“ผมไม่มีเล่มสุดท้าย” ผมตอบเขา
“เข้าใจแล้ว แกโชคดีแล้วล่ะ เล่มจบของมันน่ะห่วยมาก พออ่านจบแกจะรู้สึกเหมือนสมองโดนควักออกมาล้างน้ำเลยล่ะ อ่านแค่สองเล่มแรกเถอะ มันจะดีสำหรับตัวแกเอง”
“แค่นั้นมันไม่พอหรอก”
“งั้นแกก็เขียนขึ้นมาเองสิ” ชายหน้าหนวดคนนั้นพูดขึ้น “มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นิยายเรื่องนี้จบบริบูรณ์”
ผมนิ่งไป ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดถึงการเขียนตอนจบของมันขึ้นมาใหม่
“การเขียนนิยายก็เหมือนการเขียนชีวิตผู้คน กำหนดวิถีชีวิตและความตาย จากที่ฉันมองแล้ว แกน่าจะมีคุณสมบัตินั้น”
ผมไม่ได้ตอบอะไร และผมก็ไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเช่นนั้นด้วย วันนั้นเป็นเพียงแค่เวลาว่างหลังจากการฆ่าคนเท่านั้น แต่คำพูดของชายคนนั้นกลับมีแรงโน้มน้าวอย่างน่าประหลาด ทั้งประกายแสงในแววตาและน้ำเสียงที่มั่นคงของเขา ผมไม่เคยพบคนประเภทนั้นมาก่อน
ผมถามชื่อเขาและเขาก็บอกผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ลืมมันไปนานแล้ว
ไม่กี่วันต่อมาผมกลับไปที่โรงน้ำชาและผมพบหนังสือเล่มนึงวางอยู่บนเก้าอี้ประจำ บนหน้าปกของมันมีแผ่นกระดาษเขียนคำว่า ‘อย่าเสียใจทีหลัง’ ติดอยู่
มันคือตอนจบของหนังสือ
ในวันนั้นผมใช้เวลาทั้งวันในการอ่านมันจนจบ
แล้วความคิดของผมก็—






ผมได้สติขึ้นมาอีกทีบนเตียง
แขนทั้งสองข้างถูกพันด้วยผ้าพันแผล ขณะที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดที่ได้รับจากระเบิดก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทำให้ผมต้องส่งเสียงร้องออกไป
ที่นี่คือห้องเดี่ยวในโรงพยาบาล มันสะอาด ว่างเปล่าและเงียบสนิทราวกับห้องดับจิต ชายในชุดสูทและแว่นกันแดดยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่หน้าประตู ทันทีที่เขาเห็นผมรู้สึกตัวเขาก็เดินจากไปเพื่อตามใครบางคน
“อา— รู้สึกตัวแล้วสินะโอดะซาคุ เป็นยังไงบ้าง” ไม่นานนักดาไซก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
“เหมือนฉันเพิ่งซ้อมเมาค้างล่วงหน้าซักห้าสิบปีในรวดเดียว..” ผมตอบพร้อมมองสำรวจไปรอบห้อง “นายเจออันโกะรึเปล่า”
“ไม่ ลูกน้องของฉันเจอโอดะซาคุสลบอยู่ตอนที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พวกศัตรูก็หายไปแบบไร้ร่องรอย อาคุตะกาวะกำลังสติแตกเพราะพลาดโอกาสที่จะได้ฆ่าพวกทรยศ ... สรุปแล้วอันโกะอยู่ที่นั่นมาตลอดเลยหรอ”
หลังจากที่ฟังจบผมก็นั่งไล่ความพินาศทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
“อันโกะถูกจับ ระเบิด หัวหน้ากลุ่มมิมิคแล้วก็หน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดดำ เห——” ดาไซกดนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากอย่างที่เขาชอบทำเวลาครุ่นคิด เขานิ่งเงียบแบบนั้นอยู่เป็นนาทีก่อนที่แววตาของเขาจะวาววับราวกับนึกอะไรบางอย่างออก ผมรออย่างเงียบเชียบ
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มีอยู่สองอย่าง” ดาไซเอ่ยขึ้น “อย่างแรกคือการโจมตีของพวกนักลอกเลียนแบบ อีกอย่างคือการเคลื่อนไหวอย่างลับๆของอันโกะกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษนั่น”
“นักลอกเลียนแบบกับพวกชุดดำนั่นมาจากคนละองค์กรสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าจะให้สันนิษฐานไปอีกขั้นก็คือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากความเกี่ยวข้องของสามองค์กร พวกเรา นักลอกเลียนแบบแล้วก็พวกชุดดำนั่น แต่ตอนนี้เราไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นหรอก ที่อันตรายจริงๆน่ะมาจากพวกนักลอกเลียนแบบ ระหว่างที่โอดะซาคุนอนเป็นผักอยู่เนี่ย ร้านค้าในเขตการปกครองของเราโดนระเบิดไปหกที่แล้ว ความอันตรายยิ่งเพิ่มขึ้นทุกนาที”
นอกจากการลักลอบนำเข้าและซื้อขายของโจร พอร์ทมาเฟียยังสนับสนุนการคุ้มครองให้กิจการร้านค้าและเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครอง ถ้าหากพวกเขาโดนโจมตีขึ้นมา พอร์ทมาเฟียจะสูญเสียรากฐานทางการเงินและความไว้วางใจจากพวกเขาไป
ใบหน้าของลุงเจ้าของร้านอาหารตะวันตกแว้บขึ้นมาในความคิด ร้านนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในความรับผิดชอบของผม
“แต่พวกร้านเล็กๆน่ะไม่ตกเป็นเป้าหรอก” ดาไซเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความคิดผมออก “องค์กรนักลอกเลียนแบบน่ะต่างจากองค์กรอื่นที่พวกเราเคยเจอมา มันว่องไวแล้วก็โจมตีรุนแรงมาก แถมยังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ถึงเราอยากจะโจมตีฐานมันแต่มันก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย ทำให้ยากที่พวกเราจะบุกไปโจมตีมันถึงที่ เหมือนกับพวกเรากำลังต่อกรกับผีอยู่อย่างนั้น สมกับฉายาผีสีเทาของพวกมันนั่นล่ะนะ”
ผมนึกถึงสไนเปอร์ของพวกมันและสถานที่ปรักหักพังที่อันโกะถูกขัง บรรยากาศของมันมีกลิ่นอายความน่ากลัวอยู่จริงอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้บัญชาการแห่งภูตผี
เจ้าแห่งความตายที่ต้องการกลืนกินแม้แต่วิญญาณอันชั่วร้ายของพอร์ทมาเฟีย
“ฉันยังจับวิธีการโจมตีของพวกมันไม่ได้เท่าไหร่ แต่เรื่องที่มั่นใจคือพวกมันวางแผนที่จะทำลายอาณาเขตของพวกเราจนราบเป็นหน้ากลอง ถึงจะเป็นจ้าวนรกก็ยังไม่ทำอะไรที่บ้าคลั่งขนาดนั้นเลย อีกอย่าง อาคุตากาวะก็เรียกรวมหน่วยประจัญบานเพื่อเอาคืนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรายังไม่รู้พลังพิเศษของหัวหน้าของพวกมันอยู่ดี นั่นทำให้พวกเราเสียเปรียบมาก”
“ผู้ใช้พลังคนนั้น.. ที่ชื่ออาคุตากาวะ เขาเป็นลูกน้องของนายสินะ” ผมนึกและเอ่ยออกมา “ฉันจำได้ว่าเขามีพลังที่เก่งกาจมากในการต่อสู้ แค่คนเดียวยังไม่พออีกเหรอ”
“อ่า— อาคุตากาวะน่ะเป็นดาบที่ไม่มีฝัก” ดาไซยิ้มเล็กน้อย “อีกไม่นานเขาจะขึ้นมาเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในพอร์ทมาเฟีย แต่ถึงอย่างนั้น หมอนั่นก็ต้องเรียนรู้ที่จะเก็บคมดาบของตัวเองซะบ้าง”
ผมตกใจนิดหน่อย ผมไม่เคยได้ยินดาไซชื่นชมลูกน้องของตนอย่างไม่ปิดบังแบบนี้มาก่อน
“ครั้งแรกที่ฉันเจอเขาที่สลัม ฉันสั่นไปหมดเลยล่ะ ความสามารถของเขาเหนือกว่าคนอื่นมากและอันตรายอย่างที่สุด ตัวของหมอนั่นเองก็หัวดื้อใช่เล่น ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้อีกไม่นานความสามารถแบบนั้นคงย้อนกลับมาทำลายตัวเองแน่”
ดาไซไม่เคยคิดที่จะรับใครเข้ามาเป็นคนในสังกัด ยิ่งเป็นเด็กอดอยากจากสลัมยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีแผนการบางอย่างสำหรับเด็กคนนี้
“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ ภัยคุกคามของพวกเราตอนนี้ก็ยังเป็นพวกนักลอกเลียนแบบ ผู้บริหารทั้งห้าได้ประชุมกันแล้วและเราก็ตัดสินใจที่จะใช้กำลังทั้งหมดของเราต่อกรกับพวกมัน เราจะประกาศกฎอัยการศึก”
การประชุมของผู้บริหารทั้งห้าคือสิ่งที่กำหนดทิศทางของพอร์ทมาเฟีย นี่ถือเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์การจู่โจมของหัวมังกร และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมตระหนักได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ตึงเครียดขนาดไหน
“แรงจูงใจของพวกหน่วยปฏิบัติการพิเศษก็ยังไม่แน่ชัด” ดาไซเอ่ย “แต่ดูจากที่พวกมันทำกับโอดะซาคุ ฉันว่าพวกมันคงไม่เผยไต๋ออกมาตอนนี้แน่ ภัยคุกคามตอนนี้คือนักลอกเลียนแบบ ตอนนี้ลูกน้องของฉันรวมถึงอาคุตากาวะเพิ่งจะโดนจู่โจม พวกมันเหมือนสัตว์ร้ายที่กินงูพิษเป็นอาหาร การต่อสู้เกิดขึ้นที่ถนนสายหลักหน้าพิพิธภัณฑ์—”
ผมลุกออกจากเตียงในขณะที่ดาไซกำลังพูด ถึงปลายนิ้วผมจะยังชาอยู่แต่มันก็ไม่มีผลในตอนต่อสู้
“โอดะซาคุ นายไม่ได้คิดจะไปร่วมสู้ด้วยใช่รึเปล่า” ดาไซกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พวกเราต้องต่อสู้ด้วยกองกำลังทั้งหมดของพอร์ทมาเฟียใช่รึเปล่า” ผมตอบขณะที่สวมเสื้อคลุมที่ถูกแขวนไว้ข้างผนัง
“ฉันคิดว่าโอดะซาคุจะไม่สนใจเรื่องต่อสู้ซะอีก” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันไม่สนใจ” ผมเหน็บซองปืนไว้ข้างเอว “แต่ฉันรู้สึกเจ็บในอกเพราะเหตุผลบางอย่าง คงเพราะฉันติดค้างคนสองคนเอาไว้”
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ผมเดินข้ามห้องไป ดาไซมองผมอย่างเงียบเชียบ
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปยังประตู ดาไซโยนบางอย่างมาให้ผม ผมรับมันไว้ เสียงของโลหะดังขึ้น
ผมแบมือออก มันคือกุญแจรถของผม
“เรื่องติดค้างน่ะลืมมันไปซะเถอะ คนอื่นเขาไม่สนใจหรอกว่าให้นายยืมอะไรมา”
“ฉันไม่เก่งเรื่องการลืม” ผมพูด “ดาไซ นายช่วยฉันมาหลายครั้งแล้ว ลูกน้องของนายกำลังโดนโจมตีใช่ไหม พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นเรียกว่าติดหนี้บุญคุณล่ะก็ มันทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บนะ” ดาไซยิ้มอย่างอ่อนแรง “แล้วใครอีกล่ะที่นายติดหนี้เขาอยู่น่ะ”
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ก่อนจะเปิดประตูและออกจากห้องไป
ดาไซไม่ได้ถามอะไรต่อ ทำเพียงมองส่งผมด้วยสายตา
แม้จะไม่พูดอะไรออกมา พวกเราก็มีความคิดอย่างเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น