คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 2
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 Part 5ผมออกมาจากสำนักงานบัญชีแห่งนั้น
ผมนึกถึงอันโกะ เขาอยู่ภายในมุมซักมุมของเมืองแห่งนี้ ซึ่งกำลังถูกย้อมไปด้วยตราบาปอย่างช้าๆ
บางทีคนบาปอาจจะเป็นพวกเรา— พอร์ทมาเฟีย ในขณะที่อันโกะและองค์กรมิมิคเป็นคู่หูแห่งความยุติธรรมที่กำลังเรียกร้องบทลงโทษ ผมสามารถพูดได้ว่า การคาดเดาเช่นนี้มีเหตุผลรองรับอยู่ ผม ดาไซ บอสและคนอื่นๆอาจจะต้องรับผิดชอบต่อบาปของพวกเราด้วยการตายอย่างโดดเดี่ยวและโศกเศร้า นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์ความยุติธรรมของโลกใบนี้ก็เป็นได้
ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ขณะที่ผมกำลังออกจากสำนักงานบัญชี ผมได้รับโทรศัพท์จากดาไซ
“อาา โอดะซาคุ โทษทีนะ ฉันจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันได้เบาะแสบางอย่าง นายมาหาฉันตอนนี้เลยได้ไหม?”
จากสิ่งที่ดาไซบอก เขาพบใบไม้เหี่ยวๆขนาดใหญ่ใต้รองเท้าของทหารจากองค์กรมิมิค
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ระยะเวลาที่ต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่จะเหี่ยวเฉา ช่วงเวลาเดียวที่ต้นไม้ชนิดนี้เหี่ยวเฉาลงมีเพียงช่วงใบไม้ร่วงเท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนั้นต้นไม้ชนิดนี้ก็ไม่ได้เหี่ยวลงได้ง่ายนัก
ความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวคือการใช้ยากำจัดวัชพืชที่จะสามารถทำให้ต้นไม้เหี่ยวลงได้โดยฝีมือของมนุษย์ ดังนั้นลูกน้องของดาไซจึงกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ที่ยากำจัดวัชพืชถูกใช้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่มีการใช้ยากำจัดวัชพืชกำจัดต้นไม้ในเขตชานเมืองของโยโกฮาม่า
เพราะว่าการวางแผนต่อขยายถนน ผู้เชี่ยวชาญจึงอนุญาตให้ใช้ยากำจัดวัชพืชจัดการกับต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณทั้งสองข้างทาง สถานที่นี้อยู่ในบริเวณหุบเขาที่ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตา
ในบริเวณนี้มีเพียงสถานีตรวจสอบและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเท่านั้น และมันถูกทิ้งร้างเอาไว้มากกว่าสิบปี และตอนนี้ก็เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
มันเป็นพื้นที่กว้างขวางและไม่สะดุดตาซึ่งเป็นผลดีต่อการนำเข้าสินค้า ถ้าหากองค์กรมิมิคไม่มีฐานที่ตั้งในประเทศแห่งนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น ผมขับรถไปตามทางด่วน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ผมลงจากรถเมื่อถึงกลางทางและเริ่มออกเดิน เมื่อเดินตัดผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยหญ้ารก ผมก็มองเห็นอาคารที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ซึ่งกำลังถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง
มันคือซากของอาคารสามชั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เลื้อยที่กำแพงด้านนอก สีของอาคารหลุดลอกออกจนแทบหมดด้วยกาลเวลาและลมฝน ที่ใจกลางของอาคารมีหอสังเกตการณ์ที่คอยสอดส่องความเป็นไปบนฟากฟ้า ยอดบนสุดของมันมีบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายลูกบอลเชื่อมต่อกันอยู่
ดินและต้นไม้ดูดซับเสียงทำให้บริเวณรอบๆเงียบสงัดราวกับอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันแสนสงบ ไม่มีแม้แต่สัญญาณของมีสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนอยู่
หลังจากครุ่นคิดซักพัก ผมตัดสินใจที่จะเดินสำรวจภายในอาคารก่อนที่ลูกน้องของดาไซจะมาถึง เพราะสังหรณ์ใจบางอย่าง
ถ้าลางสังหรณ์ของผมถูกต้อง มันน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับอันโกะหลงเหลืออยู่ที่นี่
เป็นข้อมูลที่สมาชิกมาเฟียคนอื่นๆจะไม่มีทางมองเห็นอย่างแน่นอน
ผมเดินผ่านพงหญ้าและเข้าไปภายในอาคาร ชั้นล่างมีเพียงความว่างเปล่า นอกเหนือจากกระเบื้องที่แตกหัก เก้าอี้สนิมเขรอะที่ถูกวางทิ้งไว้และซากของเต่าทอง มันไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น กระดานไม้ถูกตอกตะปูติดไว้กับบานหน้าต่างทำให้แสงอาทิตย์สาดเข้ามาเป็นเส้นตรง ทำให้ผมเห็นเศษฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ
มีรอยเท้าอยู่บนพื้น มันเป็นรอยเท้าของทหาร ดูเหมือนว่ามีคนเข้าออกที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
บันไดที่ทอดไปยังชั้นสองเก่าจนราวกับว่ามันจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ระหว่างที่ผมกำลังมุ่งหน้าขึ้นไป เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นมาภายในอาคาร ถึงแม้จะไม่ต่างอะไรกับเสียงของแมวแต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ผมก้าวขึ้นบันได ที่ชั้นสองและสามไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ตามลางสังหรณ์ของผม
ผมยังคงเดินขึ้นบันไดไปที่หอสังเกตการณ์
เมื่อขึ้นไปด้านบน ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง มีใครบางคนอยู่ด้านใน
เมื่อเขาเห็นผม ชายคนนั้นตะโกนออกมา
“โอดะซาคุซัง คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
ผมไม่สนใจคำพูดของเขาและวิ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที
ชายคนนั้น— ซาคากุจิ อันโกะกำลังพยายามทำให้มือทั้งสองข้างที่ถูกมัดไพล่หลังเป็นอิสระ แต่เชือกถูกมัดอย่างแน่นหนาจนเกินไปทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ ผมเดินอ้อมไปด้านหลังอันโกะและเตรียมที่จะแกะเชือก
“ทำไมคุณมาที่นี่! ที่นี่มันฐานทัพของศัตรู!”
“ฉันรู้สึกได้ว่านายกำลังร้องไห้ขอความช่วยเหลืออยู่น่ะ” ผมพยายามคลายเชือกนั่นแต่มันแน่นจนเกินไป
“ผมไม่ได้ร้องไห้ขอความช่วยเหลือ!”
“จริงเหรอ?” ผมสอดนิ้วเข้าไปในเงื่อนและใช้ความพยายามนิดหน่อย เงื่อนนั่นดูจะเริ่มหลวมขึ้น
“ให้ฉันลองเดาดูหน่อยว่าทำไมนายถึงรู้สึกอายขนาดนี้ พวกมิมิครู้ว่านายเป็นสายลับแล้วใช่ไหม”
“..! นั่นน่ะ..” อันโกะนิ่งเงียบไป
“ทุกคนในมาเฟียเชื่อว่านายเป็นสายลับของมิมิคที่แทรกซึมเข้ามา แต่จริงๆแล้วมันตรงกันข้าม”
อันโกะเบิกตามองผม
“มิมิคให้สไนเปอร์ไปประจำอยู่ที่ห้องของนายเพื่อป้องกันไม่ให้ปืนกระบอกนั้นถูกขโมยไป แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ให้สไนเปอร์มุ่งเป้าไปที่บอสของมาเฟียล่ะ? เหตุผลนั้นง่ายมาก— เพราะนายโกหกและบอกพวกเขาว่านายไม่รู้ว่าบอสอยู่ที่ไหน ทำไมนายถึงทำอย่างนั้น? เพราะว่าสิ่งที่นายสามารถและไม่สามารถพูดเกี่ยวกับมาเฟียได้ถูกตัดสินโดยบอสยังไงล่ะ”
อันโกะหลับตาแน่นและขบฟันราวกับความรู้สึกที่ถูกกดทับอยู่ภายในใจของเขาเอ่อล้นออกมา ในที่สุดเขาก็ลืมตาและเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“โอดะซาคุซัง ได้โปรดหนีไปตอนนี้เลย ผมทำภารกิจพลาดไปแล้ว” อันโกะพยักเพยิดขึ้นไปยังชั้นบน “ระเบิดเวลาถูกติดตั้งไว้ที่ชั้นบน พวกเขาวางแผนที่จะเผาคนทรยศอย่างผมให้กลายเป็นขี้เถ้า”
“เห็นไหม นายกำลังร้องไห้ขอความช่วยเหลือ” ผมเลิกสนใจเชือกเงื่อนที่ยังแก้ไม่ออกและชักปืนออกมา “อยู่ให้ห่างๆเก้าอี้นั่นไว้ล่ะ”
ผมเล็งไปยังเป้าหมาย ยิงปืนสองนัดไปที่เงื่อนนั่นก่อนที่เก้าอี้ทั้งตัวจะสั่นสะเทือน เชือกหลุดออกไปอย่างง่ายดาย
“ไปกันเถอะ เมื่อไหร่ระเบิดนั่นจะทำงาน”
“ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าตึกมันจะถล่มลงมาตอนนี้!”
ผมช่วยอันโกะและวิ่งลงไปตามบันได ดูเหมือนอันโกะจะผ่านสิ่งเลวร้ายมาก่อนที่เขาจะถูกมัดเข้ากับเก้าอี้ เขาเดินอย่างซวนเซและใข้ฝ่ามือกดลงบนสีข้าง ถึงอย่างนั้นพวกเราก็วิ่งลงบันไดด้วยความเร็วสูงสุดจนเกือบจะกลิ้งลงมาแทน
ตอนที่ระเบิดทำงาน พวกเราออกจากอาคารได้สำเร็จ
สิ่งแรกที่ไล่ตามพวกเรามาคือแรงระเบิด
หลังจากนั้น ไอความร้อนพัดผ่านมา
พวกเรากระโจนไปด้านหน้า เหมือนจะเป็นการปลิวไปด้านหน้าซะมากกว่าและล้มลงบนพงหญ้า อากาศทั้งหมดเหมือนถูกสูบออกจากปอดของเรา
เศษซากจำนวนมากของอาคารร่วงลงมาราวกับสายฝน ถึงแม้ว่าผมอยากจะขยับหนี ตอนนี้ผมก็กลายเป็นอัมพาตไปแล้วจากแรงระเบิดเมื่อครู่ โชคดีที่เศษเหล็กชิ้นใหญ่ไม่ได้ปลิวมาทางนี้ มีเพียงเศษไม้เท่านั้นที่ถูกพัดมา แต่อย่างไรก็ตามทั้งเศษชิ้นส่วนทั้งเล็กและใหญ่ตกลงมาบนร่างของเรา กระแทกเข้ากับแผ่นหลังจนทำให้เกิดความเจ็บปวดที่แทบทนไม่ไหว
ผมใช้เวลาเกือบนาทีกว่าลมหายใจจะกลับเข้าที่ ผมไอและปัดเศษฝุ่นออกจากศรีษะ วิสัยทัศน์ของผมกลายเป็นสีแดงไปชั่วครู่ก่อนจะสลับเป็นสีขาว
“อันโกะ.. นายเป็นอะไรรึเปล่า”
“อ่า.. ผมไม่เป็นไร”
อันโกะคลานออกมาจากกองหินและหันกลับไปมองอาคารด้านหลัง ผมทำตามเขาและหันกลับไปมองเช่นกัน อาคารชั้นสองเป็นต้นไปถูกทำลายจนไม่เหลือซาก เหลือเพียงกลิ่นไหม้ของโครงตึก แม้แต่พื้นในห้องที่อันโกะโดนขังก็ถูกเป่าจนไม่เหลือซาก นั่นหมายความว่าศัตรูใช้ระเบิดปริมาณมากและมันทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะตามหาเบาะแสของพวกเขาต่อ
“บอสรู้มากแค่ไหน?” ผมถามและพยายามสูดอากาศหายใจ
“เกือบทุกอย่าง” อันโกะตอบ “เขาเป็นเพียงคนเดียวในมาเฟียที่รู้เรื่องที่ผมแทรกซึมเข้าไปในมิมิค นั่นหมายความว่าภารกิจนี้ค่อนข้างเปราะบาง ยิ่งมีคนมาเกี่ยวข้องมาเท่าไหร่ ความลับก็จะรั่วไหลออกไปได้มากเท่านั้น นี่เป็นกฎพื้นฐานของหน่วยข่าวกรองลับสุดยอด”
“ยุ่งยากซะจริง” ผมยืดตัวขึ้นและลุกขึ้นนั่งบนกองปูน “นั่นเป็นเหตุผลที่บอสสั่งให้ฉันตามหานายสินะ เพื่อปิดเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป”
ผมเป็นผู้คำ้ประกันของอันโกะถ้าหากเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอันตรายขณะที่กำลังแทรกซึมอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้อะไรเลย ไม่ต้องโกหกคนอื่นๆ ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนหรือสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ผมเป็นตัวหมากที่มีไว้ช่วยชีวิตอันโกะอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมไม่ใช่พวกที่ถูกมัดเอาไว้แล้วจะหนีจากระเบิดได้” อันโกะเอ่ยอย่างขมขื่น ส่ายหน้าไปมาเพื่อทำใจให้ปลอดโปร่ง “การตอบสนองของพวกมิมิครวดเร็วเหมือนลูกธนู และเพราะแบบนั้นผมเลยไม่สามารถทำอะไรที่จะพอช่วยชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้เลย อา.. ผมมองเห็นดาวในตาตัวเองด้วย มันคืออะไรน่ะ”
“ฉันชินกับมันแล้วล่ะ”
“ผมต้องรายงานเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด” อันโกะลุกขึ้น “หัวหน้าของมิมิคเป็นชายที่อันตรายและอำมหิตมาก เขามีความสามารถในการบัญชาการและมีความกระหายในการต่อสู้ เขาต้องการที่จะทำลายพอร์ทมาเฟียทิ้งให้สิ้นซาก พวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสามารถปาดคอตัวเองเพื่อเขาได้ ผมเคยเห็นคนทำแบบนั้นมาแล้ว”
“หัวหน้าของพวกเขาชื่ออะไรน่ะ” ผมถาม
“อังเดร ไกด์ เขาเป็นผู้ใช้พลังที่เก่งกาจเลยทีเดียว คุณไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ โดยเฉพาะคุณ โอดะซาคุซัง คนที่พบปืนในเซฟคือคุณใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ”
“ปืนนั่นเป็นสัญลักษณ์ มันมีตราประทับที่ด้ามปืนว่าผู้ครอบครองเป็นสมาชิกขององค์กรมิมิค ผมใช้เวลาตั้งหนึ่งปีถึงจะได้มันมา”
อันโกะลุกขึ้นจากกองปูนอย่างซวนเซ เขามองไปยังป่ารกราวกับว่าพยายามที่จะระบุตำแหน่งของบางสิ่ง
“ในตอนนี้ความขัดแย้งขององค์กรมิมิคและพอร์ทมาเฟียเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในหัวของคนพวกนั้นมีเพียงการต่อสู้ ถ้าจะให้พูดตรงๆคือ ศัตรูจะเป็นใครก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถลากอีกฝ่ายออกไปยังสนามรบได้ ถึงขนาดที่ว่าพวกเขายินดีที่จะเต้นรำอย่างสนุกสนานกับสุนัขเฝ้าประตูนรกเลยล่ะ ถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่าง เมืองทั้งเมืองก็คง— โอ๊ย!”
ผิวใกล้ขมับของอันโกะเป็นแผลถลอกและมีเลือดไหลลงมาเป็นทาง ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้เขา อันโกะเอ่ยขอบคุณและรับไว้ก่อนที่จะกดมันลงไปบนแผล
“พวกเขาเป็นคนประเภทไหนกันน่ะ”
“พวกเขาเป็นทหาร คุณคงจะเดาออกแล้วล่ะ พวกเขาเป็นทหารที่เหลือจากสงครามก่อนหน้านี้ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นอกสนามรบ พวกเขาเป็นภูติผีสีเทาที่ไม่มีเจ้านาย จนถึงตอนนี้พวกเขาถูกครอบงำด้วยสงคราม—”
อันโกะมองไปยังเส้นทางรกครึ้มและเอ่ยขึ้น
“นั่นอะไรน่ะ”
ผมมองตามอันโกะ เทมาริสีน้ำเงินกลิ้งลงมาตามทางเดินหิน มันคือเทมาริที่เด็กๆเอาไว้ใช้โยนเล่น ปลิวมาจากที่ไหนซักแห่งเพราะแรงระเบิดรึเปล่านะ?
ผมหยิบมันขึ้นมาในขณะที่มันกลิ้งมาที่เท้าของผม มันเป็นเทมาริสีน้ำเงินเข้ม ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและมีขอบผ้าที่หลุดลุ่ย มันมีลวดลายที่สวยงามและน่าหลงใหลอย่างประหลาด
ผมหมุนเทมาริในมือ มันใหญ่พอที่จะถือด้วยสองมือ ผมมองด้านล่างของมัน ไม่มีอะไรพิเศษ—
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นพื้นดินก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวผมกำลังล้มลง ถึงผมจะใช้สองแขนเพื่อทรงตัวผมก็ยังล้มลงไปด้านหน้า วิสัยทัศน์ของผมเริ่มพร่ามัว ความรู้สึกน่าขยะแขยงบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นมา
ผมมองไปที่มือทั้งสองข้างที่เปรอะไปด้วยของเหลวสีน้ำเงินเข้ม นี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่อยู่บนเทมาริ มือของผมที่ถูกสัมผัสด้วยของเหลวสีน้ำเงินนั่นเริ่มชา เสียงเตือนในสมองของผมดังขึ้นจนถึงขีดสุด
นิมิตรจบลง
ผมยืนอยู่ท่ามกลางกองปูน
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ถึงผมจะเห็นนิมิตเมื่อครู่ ผมก็ถือเทมาริไว้ในมือแล้ว
ผมรีบขว้างเทมาริทิ้งไปอย่างรวดเร็วแต่มันก็สายเกินไป ความง่วงงุนที่ผมรู้สึกก่อนหน้าเริ่มปรากฎขึ้น ผมถูของเหลวสีน้ำเงินในมือลงบนเสื้อแจ็คเก็ต แต่ของเหลวนั้นได้ซึมลงบนผิวของผมและผ่านเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว
พลังพิเศษของผม— “ไร้ที่ติ” (Flawless) ทำให้เกิดภาพในอนาคตขึ้นในหัว ความยาวของนิมิตจำกัดอยู่ที่ห้าถึงหกวินาที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สามารถคาดเดาการโจมตีของสไนเปอร์ ระเบิด และการเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบและหลบเลี่ยงมันได้
ถึงอย่างนั้น แม้ผมจะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ ผมก็ตกลงสู่กับดักอยู่ดี— เหมือนอย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้— ถึงผมจะสามารถคาดเดาได้แต่ผมก็ไม่สามารถหลบมันได้ ระยะเวลาที่ผมใช้ในการหยิบลูกเทมาริขึ้นมานั้นเกินหกวินาที มันสายเกินไปแล้ว
ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร เขาต้องรู้เกี่ยวกับพลังของผม และจำนวนคนพวกนั้นก็มีไม่มาก
เหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมา ผมต้องการที่จะเตือนอันโกะแต่ผมไม่สามารถส่งเสียงได้
เงาดำปรากฏขึ้นเบื้องหลังอันโกะ
สี่คน.. ไม่สิ ห้าคน ทุกคนแต่งกายในเครื่องแบบปฎิบัติการสีดำสนิทราวกับสีของท้องฟ้าในยามราตรี พวกเขาสวมหน้ากากป้องกันควันพิษเอาไว้
พวกเขาไม่ใช่มิมิค ปืนในมือของพวกเขาไม่ใช่ปืนพกรุ่นเก่าสีเทาแต่เป็นปืนไรเฟิลรุ่นล่าสุด พวกเขาคือหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้น ชายคนนั้นวางมือลงบนบ่าอันโกะ อันโกะหันหลังกับไปและพยักหน้าให้เขาราวกับจะพูดว่า “ฉันรู้”
“โอดะซาคุซัง ขอโทษที่สร้างปัญหาให้กับคุณ”
อันโกะเดินเข้ามาและวางเช็ดหน้าคืนลงบนมือผม ผมไม่สามารถกำผ้าเช็ดหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่มีความพร้อมในการต่อสู้
อันโกะดึงถุงมือผ้าไหมสีขาวออกมาจากกระเป๋าและสวมลงบนมือขวา ก่อนจะใช้มือข้างนั้นหยิบลูกเทมาริขึ้นมา
“คุณสามารถรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ได้— ข้อมูลภายในของมิมิคล้วนเป็นเรื่องจริง ถ้า.. ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณ ดาไซและผมไปดื่มด้วยกันอีก.. ที่เดิมเวลาเดิม”
หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทุ้งศอกใส่อันโกะ ส่งสัญญาณให้เขา อันโกะทำเพียงแค่มองตอบก่อนจะหันมามองผมและส่งรอยยิ้มที่แสนสิ้นหวังให้
“ดูแลตัวเองด้วย”
จากหางตาของผม ผมเห็นอันโกะหมุนตัวกลับและเดินจากไปพร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ผมไม่สามารถขยับคอได้ ไม่สามารถเหลือบมองได้ ความมืดคืบคลานเข้ามาครอบงำจากทั้งสองด้าน
ลิ้นของผมชาสนิท ผมพูดอะไรบางอย่างกับอันโกะที่กำลังเดินจากไป แต่กลับไม่สามารถจำสิ่งที่ตัวเองพูดได้ ความเหงาที่ไม่สามารถอธิบายได้เข้ามากัดกินหัวใจของผม ทำให้รู้สึกราวกับตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของอวกาศ
พวกเขาเองก็ถูกกลืนกินด้วยความมืดมิด
และในตอนนั้น สติของผมก็ดับวูบลง
Next → Chapter 3 part 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น