คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 3
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 3 part 3
วันนั้นองค์กรมิมิคไม่ได้ทำการโจมตีเพิ่มอีก
ผมคุยกับดาไซนิดหน่อยหลังจากที่ได้รับการรักษาเสร็จแล้ว
หลังจากนั้นผมขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อใช้ความคิด ภายในห้องมืด ผมฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้น และเพ่งสมาธิไปยังความรู้สึกล่องลอยคล้ายฟองสบู่ที่ตกตะกอนอยู่ในความคิดของผม
ผมสังหรณ์ใจว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เหมือนสิ่งเตือนบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์สำคัญเช่นเฉดสีม่วงของท้องฟ้าก่อนพลบค่ำหรือเสียงคำรามกึกก้องก่อนเกิดพายุ ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากพลังพิเศษของผมแต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับใครก็ตามก่อนจะมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง
แต่ท้ายที่สุด ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นโดยตรง โลกไม่ได้มีเมตตาขนาดนั้น ผมทำได้เพียงพยายามต่อไปและทำตัวให้เข้มแข็ง
ตกดึกผมได้รับโทรศัพท์จากดาไซ เขาต้องการจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้และถามว่าผมมาหาเขาได้หรือไม่ ผมเอื้อมมือไปคว้าแจ็คเก็ตและเดินออกจากห้องไป
“กลางคืนนี่มันดีจริงๆนะ” ดาไซเอ่ย “เวลายามค่ำคืนเป็นของพอร์ทมาเฟีย”
ผมและดาไซเดินไปตามถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน มนุษย์กลางคืนทั้งหลายต่างเดินไปตามถนนด้วยท่าทางสุขุม ลมทะเลพัดผ่านอาคารต่างๆ ดวงดาวสีเหลืองเป็นประกายอยู่บนฟ้าราวกับว่าแสงของมันส่องสว่างมายังพื้นโลก
“เราจะไปไหนกันต่อ?”
“ไปพบใครบางคนน่ะ” ดาไซยิ้มบาง “จะว่าไป นายนี่โชคร้ายจังนะโอดะซาคุ แค่ครั้งแรกที่เจอกับหัวหน้าของศัตรู นายก็โดนจีบซะแล้ว ดูเหมือนว่าสุดสัปดาห์นี้เราคงจะจัดงานแต่งได้แล้วล่ะ”
“ฉันไม่ได้โดนจีบ” ผมเปล่าซักหน่อย ไม่มีทาง “พวกเขาก็เป็นแค่พวกแปลกๆที่พยายามหาเรื่องต่อสู้เพื่อสนองความอยากเท่านั้น”
“จริงเหรอ? มันไม่น่ารักหรอกเหรอ พยายามที่จะคิดหาวิธีตายขนาดนั้น ฉันเองยังคิดไม่ถึงเลยนะ” ดาไซพูดด้วยน้ำเสียงสดใส “แต่เราก็ประมาทคำเตือนของพวกนั้นไม่ได้หรอกนะโอดะซาคุ ฉันไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะกลับมาอีกรึเปล่าหลังจากเปลี่ยนกลยุทธการต่อสู้น่ะ ฉันจะให้ลูกน้องของฉันไปเฝ้าที่บ้านของโอดะซาคุก็แล้วกัน”
“สงครามนี้จะยืดเยื้อไปอีกซักแค่ไหนน่ะ“
“ทหารของพวกเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่หัวหน้านี่สิที่เป็นปัญหา เรื่องบุกจู่โจมน่ะลืมไปได้เลย พวกเราต้องการข้อมูลจากภายในมากกว่านี้ นายกำลังกังวลรึเปล่า”
พอร์ทมาเฟียกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลภายในของมิมิค แต่ในเวลานี้มันกลับเปล่าประโยชน์
“มีแค่อันโกะเท่านั้น” ผมพูด “อันโกะเป็นสายลับสองหน้าอยู่ในมาเฟียกับมิมิคมาหลายปี เขาน่าจะรู้อะไรมากกว่าสิ่งที่เขาบอกฉันเมื่อครั้งล่าสุด”
“ฉันก็ว่างั้นนะ” ดาไซพยักหน้า
“มีทางที่จะทำให้เราเจออันโกะรึเปล่า”
“มีสิ” ดาไซตอบทันที
“มี..” ผมพยักหน้าก่อนที่จะรู้สึกตกใจทันที “มีเหรอ!”
“จริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้องตามหาเขาหรอก เขารอพวกเราอยู่แล้วล่ะ เอาล่ะ ถึงแล้วๆ”
“ที่นี่เหรอ”
“จะมีที่อื่นอีกไหมล่ะ?” ดาไซยิ้มอย่างขมขื่น
ที่นี่ ที่ที่ดวงไฟดวงเล็กส่องสว่างไปตามถนนแคบๆ คือบาร์ประจำของพวกเรา
ดาไซและผมเดินไปในความมืดสลัวลงไปยังชั้นใต้ดิน ผมได้ยินเสียงบทสนทนาเบาๆดังลอดออกมา ควันของบุหรี่ลอยปะทะเท้าของเราราวกับคลื่นสีขาว เสียงกระดิ่งดังออกมาในทุกย่างก้าว
เมื่อก่อนจะมีใครซักคนอยู่ที่นี่เสมอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นัดกันมา แต่ผมก็มักจะพบเพื่อนซักคนคอยกล่าวทักทายในยามที่ผมเปิดประตูเข้าไป
ไม่ต่างกันกับครั้งนี้
“อา— ไง ผมมาถึงคนแรก”
อันโกะนั่งอยู่ในที่ๆเดิมและน้ำเสียงเดิมๆเอ่ยทักทายพร้อมยกแก้วขึ้น ผมมองไปที่บอสแล้วยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว เขาพยักหน้าให้เมื่อเห็น
ดาไซและผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆอันโกะ
“อย่างน้อยก็โทรบอกกันบ้าง” ผมพูด
“แค่สะบัดพวกที่ตามผมให้หลุดก็ยากพออยู่แล้วครับ” อันโกะยิ้มแห้งๆ “ผมมีปัญหาหลายอย่างที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่เพราะครั้งนี้ไม่มีใครตามผมมา แล้วก็ไม่มีเครื่องดักฟัง ผมจะได้ดื่มแบบสบายๆซักที เอาล่ะ พวกคุณสองคนรู้ได้ยังไงว่าผมจะมาที่นี่”
“นายทิ้งผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ตอนที่เกิดระเบิด” ดาไซยกยิ้ม “กระดาษเช็ดปากของที่นี่ถูกห่ออยู่ด้านใน มันชัดเจนจะตาย บางทีสายลับแบบนายก็ใช้วิธีที่เก่าแบบคาดไม่ถึงเลยนะ”
นั่นหมายความว่าก่อนที่ผมจะหมดสติไป ผมให้อันโกะยืมผ้าเช็ดหน้า มันถูกห่ออยู่ในนั้นหรอกหรอ ผมคิดว่าผมทำหายไปแล้วซะอีก
“มีแค่พวกเราที่ใช้วิธีนี้ในการติดต่อกัน” อันโกะพูดพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ผมคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาดื่มที่นี่อีกแล้ว ผมโชคดีมากและผมก็จะแบ่งโชคของผมให้พวกคุณสองคน”
“สำหรับตำรวจนอกเครื่องแบบอย่างนาย ไม่คิดว่านี่มันจะซาบซึ้งเกินไปหน่อยเหรอ”
ผมมองอันโกะ เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อคำพูดของดาไซโดยทันที รอยยิ้มบางๆปรากฎบนหน้าเขา
“มีแค่นายนั่นแหละ” อันโกะพูดออกมาหลังจากเงียบไปซักพัก
“อันโกะ นายมีตัวตนอื่นก่อนที่นายจะเข้าร่วมกับพอร์ทมาเฟีย และตัวตนนั้นก็คือสายขององค์กรลับของประเทศ กระทรวงความมั่นคงภายในกรมผู้ใช้พลังพิเศษ งานของนายคือการเฝ้าระวังและรายงานการเคลื่อนไหวของมาเฟีย”
“ใช่แล้วล่ะ” อันโกะเอ่ยและถอนหายใจ
“ถึงจะเป็นองค์กรลับที่คอยควบคุมดูแลผู้ใช้พลังพิเศษในประเทศ ถ้าหากต้องเข้าร่วมสงครามกับพอร์ทมาเฟียก็คงยากที่จะหนีออกไปได้แบบไร้รอยขีดข่วน ยิ่งกว่านั้นงานของแผนกผู้ใช้พลังพิเศษคือคอยดูแล ไม่ใช่กำจัดพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลในการส่งสายลับเข้ามาแทรกซึมภายในพอร์ทมาเฟียแล้วคอยตรวจตราพวกเรา นี่เป็นแผนการสินะ ฉันพูดถูกใช่ไหม”
หมายความว่าอันโกะมาเข้าร่วมพอร์ทมาเฟียโดยผ่านการจัดการของแผนกผู้ใช้พลังพิเศษงั้นหรอ
“ตอนนี้มิมิคปรากฏตัวแล้ว องค์กรก่อการร้ายที่ใช้พลังพิเศษภายในญี่ปุ่นคงเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับแผนกผู้ใช้พลังพิเศษน่าดู ดังนั้นอันโกะจึงต้องกลายเป็นสายลับสองหน้าเข้าไปแทรกซึมภายในมิมิคด้วย และถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น หน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดดำก็จะเข้ามาให้ความช่วยเหลืองั้นสินะ”
“สำหรับข้าราชการกินเงินเดือน งานนี้มันไม่คุ้มซักนิด” รอยยิ้มเริ่มเข้ามาแทนที่ท่าทางเศร้าๆของอันโกะ
“ถ้าอย่างนั้น อันโกะก็ไม่ใช่สายลับสองหน้า แต่เป็นสามเลยน่ะสิ”
“ใช่แล้วล่ะ” ดาไซพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องทั้งหมดที่ฉันหามาได้ เอาล่ะๆ เรื่องน่าเบื่อมันจบแล้วล่ะ เรามาดื่มกันดีกว่า!”
เครื่องดื่มของเราถูกนำมาเสิร์ฟอย่างเงียบๆ
ถ้าเป็นปกติเราคงชนแก้วกัน แต่ครั้งนี้เรากลับไม่ได้ทำอย่างนั้น และมันก็อาจจะไม่มีครั้งต่อไป
หลังจากผ่านไปซักพักก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบงันโรยตัวลงปกคลุมพวกเราทั้งสามคน
“งั้น” อันโกะถูกบังคับให้เอ่ยปากพูดเพราะไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา “พวกคุณมาเพื่อจะยืนยันว่ามิตรภาพระหว่างเราไม่ได้เปลี่ยนไปใช่ไหมครับ”
“จะเป็นงั้นได้ยังไงล่ะ!” มุมปากของดาไซมีรอยยิ้มแฝงอยู่ “พวกเรามาที่นี่เพื่อรับข้อมูลของนักลอกเลียบแบบ นายน่าจะรู้นี่ ใช่ไหม”
“ไม่น่าเชื่อ ถึงมันจะเป็นเหล้าแบบเดิมแต่ผมไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันเลย” อันโกะจ้องมองแก้วใสตรงหน้าและพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะถามผม “ทีมของแผนกผู้ใช้พลังพิเศษส่งรายงานการแลกเปลี่ยนระหว่างอังเดรกับโอดะซาคุมาให้ผมดู คุณเห็นพลังของอังเดรแล้วใช่ไหม”
ผมเห็นมันแล้ว มันคือพลังในการพยากรณ์การโจมตีของศัตรู
“พวกเราไม่สามารถทำอะไรกับคนที่มีพลังพิเศษแบบนั้นได้เลย” อันโกะส่ายหน้า “วิธีเดียวคือเราต้องหย่อนระเบิดลงใส่หัวของพวกมัน แต่อังเดรปรากฏตัวเหมือนกับผี ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เบื้องบนวางแผนที่จะปล่อยทุกอย่างให้พอร์ทมาเฟียจัดการ ตราบเท่าที่ทั้งสององค์กรยังสู้กันไปเรื่อยๆและรอรับมือกับองค์กรที่เหลือรอด แผนกผู้ใช้พลังพิเศษก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละใคร”
สำหรับแผนกผู้ใช้พลังพิเศษที่ต่อสู้ดิ้นรนกับองค์กรทั้งสองมานาน การเดินหมากครั้งนี้ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“วิธีแบบนั้นดูจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยนะ” ดาไซเอียงคอ “ถึงจะเป็นมาเฟียก็เถอะ ถ้าจะให้ต่อสู้กับพลังแบบนั้นมันก็น่าจะยากพอตัวเลยล่ะ”
ดาไซเหลือบมามองผมเมื่อพูดจบ
“แน่นอน.. นอกเสียจากสมาชิกระดับล่างคนนึง..”
“เขาเป็นทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน เป็นผู้นำของทหารกล้า” ผมพูดพร้อมมองไปยังเงาของตัวเองที่สะท้อนลงบนแก้ว “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังของฉันหรือเขา ผลลัพธ์ก็เป็นแค่การทำนายอนาคตเพียงแค่ไม่กี่วินาที ท้ายที่สุดใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้และเทคนิคการยิง”
เทคนิคการยิงปืน— ผู้ที่สามารถยิงถูกอีกฝ่ายอย่างแม่นยำได้ในระยะที่ห่างไกลจะเป็นผู้ชนะ
“การยืงปืนของโอดะซาคุ...” ดาไซยิ้มกริ่ม
“เรื่องส่วนใหญ่น่ะมันคือความไม่แน่นอน แต่ความแปลกประหลาดของพลังมันเป็นอีกเรื่องนึง”
“ความแปลกประหลาด?”
“ตอนที่คุณใช้พลังกับอังเดรน่ะ คุณรู้สึกถึงความไม่ปกติรึเปล่า”
ผมนิ่งคิดไปซักพักก่อนเอ่ยตอบ “รู้สึก”
ตอนนั้นผมเห็นความเหลื่อมล้ำของการคาดเดาอนาคตอันแสนซับซ้อน
“รัฐบาลเพิ่งเริ่มวิเคราะห์ปรากฏการณ์นั้นเมื่อไม่นานมานี้” อันโกะเอ่ยด้วยความจริงจัง “พวกเขายืนยันว่าการเผชิญหน้ากันของผู้ใช้พลังพิเศษสองคนจะมีผลลัพธ์เป็นการสูญเสีญการควบคุมของพลังทำให้ยากที่จะบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา รายละเอียดมันยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่.. ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง ถ้าผู้ใช้พลังพิเศษสองคนที่สามารถทำการโจมตีก่อนคนอื่น (Ability to launch an attack first) มาเผชิญหน้ากัน สถานการณ์จะคลี่คลายยังไง หรือถ้าให้ผู้ใช้พลังที่มีความสามารถในการโกหกคนอื่นได้ (An ability that will lie to other party) กับผู้ใช้พลังที่มีความสามารถที่สามารถมองเห็นความจริง (An ability to definitely see the truth) มาคุยกันอะไรจะเกิดขึ้น คำตอบคือพวกเราจะไม่รู้ถ้าเราไม่ได้ลอง โดยทั่วไปผู้ใช้พลังคนใดคนหนึ่งจะชนะ แต่ยังไงก็ตาม มันก็มีอยู่บ้างที่ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถต่อกรกันได้ พวกเราเรียกมันว่าความแปลกประหลาด (Oddity)”
ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมเห็นหรือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือความแปลกประหลาดกันล่ะ
“ยังไงก็ตามผมไม่สมควรที่จะบอกเรื่องนี้กับพวกคุณ” อันโกะพูด “ถ้าเบื้องบนรู้เกี่ยวกับการพบปะของเราคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ถ้าถึงเวลานั้น ผมคงต้องหายตัวไปซักพัก”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ดาไซมองไปที่อันโกะและยกยิ้ม
“แหม ฟังจากน้ำเสียงของนาย นายคงจะคิดสินะว่านายจะได้ออกจากที่นี่ไปแบบมีลมหายใจอยู่น่ะ”
บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง
สีหน้าของอันโกะดูเจื่อนลงแต่ดาไซยังคงยิ้มแย้ม
“องค์กรลับที่เต็มไปด้วยปริศนา ปรากฏตัวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย สร้างข่าวลือที่สามารถสั่นสะเทือนองค์กรอาชญากรรมของประเทศนี้ได้ หนึ่งในสมาชิกขององค์กรนั่นกำลังนั่งอยู่หน้าฉันตรงนี้.. ฉันคิดว่าทั้งข้อมูลแล้วก็รายชื่อที่ฉันอยากให้นายคายออกมาน่ะหนายิ่งกว่าพจนานุกรมซะอีกนะ ฉันพูดถูกรึเปล่า?”
ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากถามดาไซ “นายคิดจะเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นสนามรบงั้นเหรอ”
อันโกะไม่ได้ขยับตัว รอยยิ้มของเขาว่างเปล่า สายตาที่เขามองดาไซราวกับล่วงรู้ว่าเขากำลังจะถูกจับ
“มันเป็นความผิดของผมเองคัรบ” อันโกะพูดอย่างสิ้นหวัง “ผมเข้าใจผิดเอง คิดไปว่าพวกเราสามารถมองข้ามตำแหน่งหน้าที่และพบกันได้ที่นี่ ผมไม่อยากเป็นปัญหาของที่ร้าน ดังนั้นผมจะไม่ตอบโต้ จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ”
อันโกะน่าจะรู้ว่าการสอบสวนของมาเฟียโหดร้ายขนาดไหน เขาคงไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปที่แผนกผู้ใช้พลังพิเศษแบบมีชีวิตรอด
ถ้าผมช่วยอันโกะตอนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปยังไงกันนะ? คำตอบคือมันจะไม่เปลี่ยน พวกเราไม่สามารถหลบหนีจากใยแมงมุมที่ดาไซสร้างขึ้นมาได้ และถ้าหากผมทรยศพอร์ทมาเฟีย เด็กกำพร้าที่ร้านอาหารพวกนั้นก็จะตายทันที
“อันโกะ” ดาไซจ้องมองมือของเขา พลิกฝ่ามือไปมา “ลูกน้องของฉันจะเข้ามาล้อมสถานที่นี้ตามคำสั่งของฉัน แต่พวกเขายังไม่มา ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ ออกไปซะ อย่ามาให้ฉันเห็นอีก”
ดูเหมือนอันโกะต้องการจะพูดอะไรซักอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา
“ฉันไม่ได้เสียใจ ฉันรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก” ดาไซเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ว่านายจะมาจากแผนกผู้ใช้พลังพิเศษหรือไม่ พวกเราก็จะสูญเสียในสิ่งที่เราไม่อยากสูญเสียไปอยู่ดี ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้วล่ะ สิ่งที่มีค่าพอให้ไล่ตามมักจะหายไปก่อนที่จะได้มันมา ไม่มีอะไรมีค่าพอที่จะยืดเวลาแห่งความเจ็บปวดนี้หรอก”
ผมมองไปที่ดาไซ ถึงแม้เราจะรู้จักกันมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ดาไซพูดเกี่ยวกับตัวเอง ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่แหลมคมราวกับตะขอเกี่ยวทะลุชีวิตของดาไซ
“ดาไซคุง โอดะซาคุซัง ผมเป็นเหมือนทุกคน เป็นสมาชิกขององค์กรใต้ดินที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ในฐานะผู้ใช้พลังพิเศษที่คอยจับกุมพวกเดียวกัน ผมมักจะฝังตัวเองอยู่ในความมืดของรัฐบาล ผมไม่สามารถใช้ชีวิตในแสงสว่างได้” อันโกะพูดและมองมาที่เรา “บางทีเมื่ออะไรๆเปลี่ยน เมื่อแผนกผู้ใช้พลังพิเศษและพอร์ทมาเฟียเปลี่ยนไป ตอนที่เราอยู่ในตำแหน่งที่มีอิสระมากกว่านี้.. เรากลับมาดื่มด้วยกันที่นี่อีกได้ไหมครับ”
“พอเถอะอันโกะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น มันคือเสียงของผม “ลืมมันซะเถอะ”
อันโกะส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า เงียบสนิทราวกับกำลังฟังเสียงฝีเท้าของตัวเองเดินออกจากร้านไป
ผมคงไม่ได้เจออันโกะอีก
ที่ๆอันโกะเคยนั่ง มีอะไรบางอย่างวางอยู่นอกเหนือจากแก้วเปล่า ผมหยิบมันขึ้นมาและส่งให้ดาไซ
มันคือรูปที่พวกเราสามคนถ่ายด้วยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ในรูปนั้น พวกเรายิ้มอย่างมีความสุขเหลือเกิน
Next → Chapter 4 Part 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น