วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Manga Chapter 24: A Heartless Dog

คณะประพันธกรจรจัด
เรื่องสั้น: A Heartless Dog
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
แปลไทย : Chiyuu_ki
English Scans Here
หมายเหตุ* เรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ในมังงะตอนที่ 24 เป็นเหตุการณ์ตอนที่อาคุตะกาวะเจอกับดาไซเป็นครั้งแรก




เด็กชายออกวิ่งไปในราตรีอันมืดมิด
เม็ดเหงื่อไหลลงตามข้างแก้ม เสียงลมหายใจของเขาดังราวกับปอดทั้งสองข้างกำลังจะหลุดออกมา วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเริ่มมืดลงเพราะความอ่อนล้าและหิวโหย ร่างทั้งร่างของเขาแทบจะล้มลงเมื่อไหร่ก็ได้แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ
เขาเพียงพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ถึงแม้จะมีความรู้สึกเหมือนขาทั้งสองข้างกำลังจะหลุดออกจากร่างก็ตาม เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า—‘อาคุตะกาวะ ริวโนะสึเกะ’ เวลาของเขากำลังหมดลงทุกที
ความคิดที่ว่าเขาอาจจะตายเมื่อวิ่งไปถึงอีกฝั่งถนนเริ่มไหลเข้ามาในหัว
อาคุตะกาวะเป็นหนึ่งในเด็กกำพร้าที่ออกมาจากสลัมและอาศัยอยู่บนถนน เขาเคยอยู่กับเด็กเหล่านั้น เพื่อนๆของเขาทั้งแปดคนที่มีความเป็นอยู่ไม่ต่างกันกับตัวเขา
เด็กเหล่านั้นเคยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับอาคุตะกาวะ ทั้งเด็กหญิงและชายที่มีอายุไล่เลี่ยกันต่างเป็นเพื่อนของเขา แต่เมื่อคล้อยหลังไป พวกเขามักจะพูดว่าอาคุตะกาวะนั้นเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก
ไม่ว่าเขาจะนอนบนพื้นแข็งๆในตรอก ทานอาหารที่ได้มาอย่างยากลำบากหรือถูกผู้ใหญ่ซ้อมจนลุกไม่ขึ้น อาคุตะกาวะไม่เคยแสดงความรู้สึกใดออกมาบนใบหน้า เขาเพียงจ้องมองไปยังความว่างเปล่าด้วยดวงตาที่มืดมนราวกับหุบเหวที่ไร้ก้น จนผู้ใหญ่หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เด็กปีศาจคนนั้นไม่มีหัวใจ”
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งตอบแทนที่เขาได้รับจากหัวใจที่หายไปคือพลังอันลึกลับ เสื้อผ้าที่อาคุตะกาวะสวมใส่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจปรารถนา บางครั้งชายเสื้อของเขาก็เปลี่ยนเป็นดอกไม้หรือบางครั้งก็เป็นคมดาบ “พลังที่สามารถควบคุมเสื้อผ้าได้” มันคือความสามารถพิเศษที่ถูกมอบให้อาคุตะกาวะ
แต่ถึงแม้มันจะเป็นพลังพิเศษ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักในเมืองที่ต้องสาปแห่งนี้
ตอนนี้เป็นยุคสมัยที่ผู้คนเริ่มเบื่อการใช้ปืนและการขว้างระเบิดที่สามารถทำลายอาคารทั้งหลังให้หายไปได้ โยโกฮาม่าถูกปกคลุมด้วยความมืดและเต็มไปด้วยอันตราย ปีศาจกระหายเลือด พลังที่สามารถใช้เปลี่ยนรูปทรงของเสื้อผ้าแทบไม่พอที่จะใช้การใดได้
“แค่ควบคุมเสื้อผ้านี่จะไปทำอะไรได้?” ผู้ใหญ่ที่ได้เห็นพลังของอาคุตะกาวะมักจะดูถูกเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้
แต่เพื่อนๆของเขากลับรู้ดีกว่านั้น เด็กๆชายหญิงที่อาศัยอยู่กับอาคุตะกาวะรู้ดีพอที่จะไม่ดูถูกพลังของเขา
พลังของเขาสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เขาใส่ให้กลายเป็นใบมีดที่มีขนาดใหญ่เท่ากับชุดที่เขาสวม ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้จะพบว่าลำคอของตัวเองนั้นถูกปาดอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งกว่านั้น บนสีหน้าของอาคุตะกาวะไม่เคยมีอารมณ์ใดปรากฏอยู่ ไม่มีจิตสังหารปรากฏให้เห็นก่อนการลงมือฆ่า ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งที่ใบมีดของอาคุตะกาวะเฉือนผ่านหลอดลมของหัวขโมยที่พยายามเข้ามาขโมยของจากเพื่อนของเขา
เขาสามารถจัดการผู้บุกรุกให้หายไปได้อย่างเงียบเชียบและไร้หัวใจ ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงถูกตั้งฉายาว่า “หมาบ้าที่ไร้เสียง” เขาไม่เคยเห่าเพื่อขมขู่หรือหอนเพื่อเตือนให้ศัตรูรู้ว่าสิ่งใดจะตามมา ศัตรูจะรู้ตัวอีกครั้งเมื่อคมเขี้ยวของอาคุตะกาวะขย้ำลงบนคอ สุนัขคลั่งเป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าพวกที่ชอบเห่า ผู้คนที่รู้ถึงพลังของเขาต่างหวาดกลัวในพลังนี้และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาได้รับฉายานั้น
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นเพียงเด็กชาย อาคุตะกาวะไม่เคยมีร่างกายที่แข็งแรง ด้วยความอดอยากและความหนาวเหน็บที่แทงเข้าไปถึงกระดูกจากการอาศัยอยู่กลางแจ้ง รวมไปถึงรูปร่างที่เล็ก ทำให้เขาเป็นปีศาจร้ายที่ซูบผอม ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเพื่อนๆที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เด็กทั้งเก้าคนเกาะกลุ่มและคอยดูแลกันและกันเสมอมา



แต่มันก็กลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่สำคัญอีกต่อไป
เหตุผลที่อาคุตะกาวะกำลังวิ่งอย่างสุดกำลังในตอนนี้ก็เพียงเพราะเพื่อนๆเหล่านั้น
ทุกๆคนถูกฆ่าหมดแล้ว
และเขารู้ว่าคนร้ายคือใคร คนเหล่านั้นเป็นกลุ่มอาชญากรเล็กๆที่เร่ร่อนมาจากฝั่งตะวันตก ถ้าหากจะเรียกว่าองค์กรก็จะดูเกินไปหน่อยเพราะพวกเขาเป็นเพียงโจรสลัดที่คอยปล้นสะดมเรือผิดกฎหมาย ถึงจะเป็นพวกหน้าใหม่ แต่พวกเขาก็ได้ทำข้อตกลงและอยู่ใต้อำนาจของพอร์ตมาเฟียและนั่นทำให้พวกเขาสามารถหากินในพื้นที่นี้ได้
คงไม่มีใครที่จะบ้าบิ่นพอที่จะประกาศสงครามกับองค์กรที่อยู่ใต้การปกครองของพอร์ตมาเฟียผู้ปกครองโยโกฮาม่าในยามราตรี
เป็นเคราะห์ร้ายของเด็กๆที่ดันไปได้ยินช่วงเวลาและสถานที่ที่พอร์ตมาเฟียจะทำการลำเลียงสินค้าให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความหวาดระแวงว่าข้อมูลจะรั่วไหลออกไปยังรัฐบาล พวกอาชญากรจึงสืบหาที่อยู่ของอาคุตะกาวะและเพื่อนๆ ก่อนจะทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ความตาย
ด้วยความช่วยเหลือจากน้องสาว อาคุตะกาวะจึงสามารถหนีออกมาได้แต่เขาก็บาดเจ็บหนัก บาดแผลที่ได้รับต้องใช้เวลากว่าเดือนในการฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามทุกฝีเท้าที่เขาวิ่งกลับเบาราวกับขนนก
เด็กๆได้สาบานร่วมกันว่าถ้าหากมีใครมาทำร้ายสมาชิกในกลุ่ม พวกเขาจะร่วมมือกันและทำให้คนๆนั้นได้รับการชดใช้ มันเป็นคำสาบานที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน เหล่าเด็กๆที่อ่อนแอและถูกกดขี่ข่มเหง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียว
มันมีบางสิ่งบางอย่าง
อะไรบางอย่างกำลังแผดเผาหัวใจของเขา ทำให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ความรู้สึกนั้นพุ่งพล่านอย่างรุนแรงราวกับว่ามันจะพุ่งออกมานอกร่างกาย
ความเกลียดชัง
ตั้งแต่เขาเกิดมา มันเป็นความรู้สึกแรกที่เขาสัมผัสได้
ถึงแม้ว่าตัวเขาอาจจะตายเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เขาก็ยังคงวิ่งต่อไป วิ่งอย่างไม่หวั่นไหวราวกับคมดาบที่พุ่งเข้าใส่ลำคอของศัตรู คมดาบที่ฉาบด้วยความเกลียดชัง
ผมรู้สึกเกลียด
ผมไม่ใช่สุนัขอีกต่อไป
ผมกลายเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกของตัวเอง
เพียงสิ่งเดียวที่เขาต้องการในเวลานี้คือการแก้แค้น
อาคุตะกาวะมีความคิดว่าศัตรูจะปรากฏตัวขึ้น พวกเขาน่าจะอยู่ระหว่างทางสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้า
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกกังวล
ถ้าหากว่าพวกมันเข้าร่วมและได้กำลังเสริมจากพอร์ตมาเฟียที่จุดนัดพบ ทุกอย่างจะสายเกินไป อาคุตะกาวะไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับคนจำนวนมากขนาดนั้น
ดังนั้นเพื่อที่จะได้ทำการล้างแค้น เขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถไล่ตามศัตรูทันก่อนที่พวกมันจะถึงจุดนัดพบ
อาคุตะกาวะอาจจะเป็น “หมาบ้าที่ไร้เสียง” แต่เขาก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อกรกับพอร์ตมาเฟียที่เหี้ยมโหดได้ เขาคงถูกยิงทิ้งก่อนที่จะได้แสดงพลังพิเศษของตัวเองออกมาด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงต้องรีบ เหลือเพียงอีกไม่นานก่อนจะถึงเวลา
อาคุตะกาวะวิ่งผ่านป่า ใช้ควันสีเงินและเสียงของหวูดเรือที่ดังอยู่ไกลๆเป็นเครื่องนำทาง
เขาไม่กลัวความตาย
เขาคิดว่านรกอาจจะเป็นสถานที่ที่น่าอยู่กว่าที่แห่งนี้
และเขาก็ไม่หวาดกลัวความเจ็บปวดจากความตายเช่นกัน



เพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพแบบนี้ก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่งแล้ว
วันๆหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง เขาต้องกินหญ้าจากไร่เพื่อประทังชีวิต เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพียงเพื่อมองหาเพื่อนที่นอนอยู้ข้างกาย ค่ำคืนเหล่านั้นผ่านไปโดยไร้คำปลอบประโลม
อาคุตะกาวะไม่แน่ใจว่าเขาเชื่อว่านรกมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ถ้ามันมีอยู่จริง เขาคิดว่ามันน่าจะไม่แตกต่างจากที่นี่ซักเท่าไหร่
หุบเหวที่ลึกจนแสงแดดไม่สามารถส่องลงไปถึง คนที่พยายามจะลอบมองเข้าไปยังโลกใบนั้นมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด เป็นเหวที่ลึกเสียจนพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้
ไม่รู้ว่าควรเกลียดหรือโทษใคร ไม่รู้ว่าควรจะหันไปหาใครเพื่อขอความช่วยเหลือ เพียงแค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ในสถานที่แบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความรู้สึกของมนุษย์จะงอกเงยขึ้นในหัวใจของผู้ที่อาศัยอยู่
จุดมุ่งหมายในชีวิตของเราคืออะไร?
เขาเคยถามผู้คนที่เดินทางเข้ามายังโลกใบนั้น
พวกเขาไม่สามารถให้คำตอบแก่อาคุตะกาวะได้
ทำไมผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป?
ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามแสวงหาความจริงของสิ่งๆนั้น แต่เขากลับไม่พบอะไรเลย
ในตอนนี้อาคุตะกาวะกำลังคิด
ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถล้างแค้นให้แก่เพื่อนๆของเขาได้สำเร็จ แต่พอร์ตมาเฟียต้องมาตามล้างแค้นเขาแน่ พอร์ตมาเฟียมีชื่อเสียงอันฉาวโฉ่เกี่ยวกับความโหดร้ายในการเอาคืนศัตรู ถึงแม้ว่าเขาจะหนีออกนอกประเทศ เขาคงถูกตามล่าและฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน
แต่อาคุตะกาวะก็ไม่มีความลังเล
ถึงแม้เขาจะทำได้เพียงฝังเขี้ยวลงบนร่างของศัตรูเพียงคนเดียว เขาก็ยินดีที่จะได้เห็นกระดูกอันสกปรกของมันถูกเผาไหม้ไปด้วยขุมเพลิงแห่งนรก
นั่นเป็นการแก้แค้นที่อาคุตะกาวะหวังที่จะทำให้สำเร็จ
มันเป็นการแก้แค้นสำหรับทั้งชีวิตของเขา
แต่.. ความหวังของเขากลับไม่ได้รับการเติมเต็ม
ในเวลาที่อาคุตะกาวะไปถึง การติดต่อแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้นแล้ว เขาตระหนักได้ว่าคำขอของเขาได้หลุดมือออกไปไกล
คนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น
มีเพียงแค่คนๆเดียว
“เป็นคืนที่ดีนะ ว่าไหม?”
ร่างๆหนึ่งยืนอยู่บนทางเดินท่ามกลางต้นไม้
ร่างผอมในชุดสีดำ ผ้าพันแผลถูกพันอยู่รอบศรีษะ ดวงตาสีน้ำตาลแดงมีแววของความเบื่อหน่ายและเหยียดหยามทุกๆสิ่งรอบตัว
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา
“นี่มัน.. นี่มันบ้าอะไร”
อาคุตะกาวะก้าวเท้าถอยหลังเมื่อเห็นชายคนนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเขา อาคุตะกาวะยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง
ชายคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่หยุดฝีเท้าของอาคุตะกาวะเอาไว้
แต่เป็นศพของอาชญากรทั้งหกคนที่กระจัดกระจายอยู่แทบเท้าของเขา
ทุกคนตายหมดแล้ว ศัตรูทั้งหกคนที่อาคุตะกาวะต้องการล้างแค้น
เลือดจำนวนมากไหลนองอยู่บนพื้นใต้ร่างอันไร้วิญญาณของพวกเขา ความหวาดกลัวยังคงฉายชัดอยู่บนใบหน้าเหล่านั้น
และคนที่ยืนอยู่เหนือร่างเหล่านั้นด้วยคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังสำรวจเล็บมือของตัวเอง
เขาคือคนที่ฆ่าพวกมันงั้นหรอ?
ไม่ เขาไม่มีอาวุธซักชิ้น
เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ศพทั้งหกต่างถือปืนอยู่ในมือ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ชายคนหนึ่งซึ่งไร้อาวุธติดตัวจะสามารถจัดการกับกลุ่มอาชญากรติดอาวุธอย่างนั้นได้ นี่มันไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์
หรือบางที คนๆนี้อาจจะเป็นปีศาจ
“เรามาแนะนำตัวกันดีกว่า” ชายตรงหน้าเอ่ยขึ้น “ฉันคือดาไซ ดาไซ โอซามุจากพอร์ตมาเฟีย”
ดาไซ
อาคุตะกาวะรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ซึมออกมาราวกับมีน้ำแข็งก้อนมหึมาอยู่ในท้องของเขา
ผมดำ ผ้าพันแผลและชื่อดาไซ เขาเป็นปีศาจอัจฉริยะจากพอร์ตมาเฟียอย่างไม่ต้องสงสัย มีข่าวลือว่าเขาไม่มีความลังเลในการจัดการคู่หูของตัวเองทิ้งถ้าหากอีกฝ่ายเข้ามาขวางทาง ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่ทั้งเยือกเย็นและโหดเหี้ยมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโยโกฮาม่า
และชายคนนี้ยังมีอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี
“ผม-”
อาคุตะกะวาเอ่ยปากพูด แต่ดาไซกลับตัดบทเขาอย่างรวดเร็วพร้อมยกมือขึ้น
“ฉันรู้ว่านายเป็นใคร อาคุตะกาวะคุงสินะ ฉันกำลังรอนายอยู่เลยล่ะ”
เขากำลังรออยู่?
อาคุตะกาวะตามเหตุการณ์ไม่ทัน ทำไมคนจากพอร์ตมาเฟีย องค์กรที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวงการอาชญากรรมจะมารอเขา และยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเขาถึงฆ่าองค์กรที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตัวเอง องค์กรที่อาคุตากาวะควรเป็นคนลงมือฆ่าและแก้แค้นอย่างสาสม
“คุณฆ่าพวกเขาทำไม” เสียงของอาคุตะกาวะทุ้มต่ำราวกับเสียงคำราม
“นายอยากฆ่าคนพวกนี้ใช่ไหมล่ะ” ดาไซยิ้มบางๆให้อาคุตะกาวะ “นี่เป็นเหตุผลที่นายมาที่นี่ การที่จะลอบโจมตีคนพวกนี้ระหว่างการนัดพบน่ะ เขตป่าตรงนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่เยี่ยมเลยล่ะ”
ดาไซพูดต่อโดยไม่เปิดช่องว่าง
“คนพวกนี้เคยเป็นองค์กรใต้บังคับบัญชาของพวกเรา พวกเขาฆ่าเด็กกลุ่มหนึ่งเพื่อปิดปากเกี่ยวกับข้อมูลที่รั่วไหลออกไป แต่ก็มีเด็กคนหนึ่งหนีไปได้ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันได้ยินจากรายงาน หลังจากนั้นฉันก็ใช้หลักเหตุผลนิดหน่อย เด็กคนนั้นที่หนีไปได้จะกลับมาแก้แค้นรึเปล่า? ถ้าเขาต้องการที่จะแก้แค้น เขาคงต้องลอบโจมตี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดอยากทำการลอบโจมตีระหว่างการนัดพบก็ไม่มีที่ไหนเหมาะสมเท่าที่ตรงนี้อีกแล้ว นายใช้เงาและหมอกในการซ่อนตัวได้ และถ้าศัตรูตอบโต้กลับนายก็สามารถใช้ต้นไม้เป็นที่กำบังได้อีกต่างหาก อย่างน้อยๆนายน่าจะจัดการพวกมันสี่คนได้ และถ้าโชคดีก็อาจจะจัดการได้ทั้งหมด แต่นายก็น่าจะตายด้วยเหมือนกันล่ะนะ”
ทุกอย่างตรงตามสิ่งที่ดาไซพูด แต่คำถามสำคัญของเขายังคงไม่ได้รับคำตอบ
ทำไมพอร์ตมาเฟียถึงฆ่าลิ่วล้อของตัวเอง?
ดาไซเอ่ยต่อราวกับอ่านสีหน้าของอาคุตะกาวะได้
“อันที่จริงวันนี้ฉันเพิ่งได้เลื่อนขึ้น พวกเขาให้ฉันเป็นผู้บริหาร แต่ก็นะ มันเป็นแค่ตำแหน่งนำหน้าชื่อที่ทำให้ความรับผิดชอบแล้วก็เรื่องน่ารำคาญอื่นๆเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง..”
พอร์ตมาเฟียถูกควบคุมด้วยผู้บริหารห้าคน ภายในโลกใต้ดินของโยโกฮาม่า พวกเขามีอำนาจเทียบเท่ากับสมาชิกวุฒิสภาในรัฐบาล และเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซึ่งดูแก่กว่าเขาเพียงไม่กี่ปีคือหนึ่งในห้านั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้บริหารของพอร์ตมาเฟียนั้นยังเด็กเกินกว่าที่จะดื่มเหล้าด้วยซ้ำ
ความสามารถและความอำมหิตของชายหนุ่มคนนี้จะมีมากขนาดไหนกันเชียว ที่จะสามารถไต่เต้าขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงขนาดนั้นด้วยวัยเพียงเท่านั้น
“แต่ตำแหน่งนี้ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ผู้บริหารมีสิทธิ์ที่จะรับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตามใจปรารถนา”



ผู้ใต้บังคับบัญชา?
รับ?
เขากำลังพูดถึงอะไร?
“นายถามว่าทำไมฉันถึงฆ่าคนพวกนี้ใช่ไหม? ง่ายๆเลยล่ะ มันเป็นของขวัญสำหรับนายไง นายไม่ใช่พวกที่นิยมเงินตราหรืออำนาจใหญ่โต ฉันเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นสิ่งตอบแทนที่ดีที่จะดึงดูดความสนใจของนายได้”
อาคุตะกาวะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ เขาไม่ควรฟังมัน คนๆนี้คือปีศาจ เขาไม่ควรรับฟัง..
“ฉันอยากชวนนายเข้าร่วมกับพอร์ตมาเฟีย”
เมื่อดาไซพูดจบ อาคุตะกาวะก็พุ่งเข้าหาเขาราวกับคมดาบ
เขาโน้มตัวลงและพุ่งไปด้านหน้า พุ่งผ่านผืนป่าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม อาคุตะกาวะไม่ปล่อยให้ศัตรูมีเวลาตอบโต้ จนถึงตอนนี้ อาคุตะกาวะยังไม่เคยพบศัตรูที่สามารถรอดชีวิตจากการโจมตีครั้งแรกของเขาได้ การโจมตีของเขาไร้ซึ่งจิตสังหารและไร้ซึ่งคำเตือนให้ศัตรูได้เตรียมตัวโต้กลับ
อาคุตะกาวะเปลี่ยนแขนเสื้อของเขาให้กลายเป็นใบมีดและแทงเข้าใส่ลำคอของดาไซอย่างไร้ความลังเล
นั้นไม่ใช่สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ดาไซเมื่ออาคุตะกาวะพุ่งเข้ามา เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่
ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตควรจะแสดงลักษณะของการป้องกันตัวออกมาเมื่อมีใบมีดแหลมคมพุ่งเข้ามาที่ลำคอของตัวเอง แต่ดวงตาคู่นั่น.. ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงกลับแสดงท่าทีกึ่งตื่นเต้นกึ่งเบื่อหน่ายและไม่มีแวววูบไหวกับการโจมตีแม้แต่น้อย
เขารู้อยู่แล้ว
เขารู้อยู่แล้วว่าอาคุตะกาวะจะโจมตี เขารู้อยู่แล้วว่าใบมีดที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังพิเศษจะพุ่งเข้าแทงคอหอยของตัวเอง
อาคุตะกาวะรู้สึกราวกับความคิดของเขาถูกดวงตาคู่นั้นเผยไต๋ออกมาจนหมด เขาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติราวกับกำลังถูกตัวตนของคนตรงหน้ากลืนกิน สัญชาตญาณของเขากำลังกรีดร้องอยู่ในหัว
ตำแหน่งผู้บริหารของดาไซไม่ไช่เพียงยศประดับสวยหรูหรือเป็นเพียงการตัดสินใจส่งๆของใครซักคน อันที่จริงแล้ว ตำแหน่งนั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำหากจะให้อธิบายความน่าสะพรึงกลัวของเขา
ชายคนนี้อันตราย อันตรายเกินไป
“คุณฆ่าพวกเขายังไง”
อาคุตะกาวะเอ่ยถามด้วยความอ่อนแรง
“คุณฆ่าอาชญากรติดอาวุธหกคน คุณทำยังไง!”
“ฉันแค่สร้างเรื่องให้พวกเขาแตกคอกันนิดหน่อย” ดาไซยกยิ้มราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
อาคุตะกาวะเชื่อว่าชายตรงหน้าของเขาคือปีศาจ
แต่เขาคิดผิด ชายหนุ่มที่ชื่อดาไซได้ข้ามผ่านความเป็นปีศาจไปแล้ว
“ฟังฉัน ฉันจะไม่ต่อว่าถ้านายปฏิเสธคำชวนของฉัน ถึงนายจะปฏิเสธ ฉันก็จะให้เงินมากพอที่นายจะจัดงานศพของเพื่อนนายได้และทำให้มั่นใจว่านายกับน้องสาวจะไม่ต้องลำบาก และฉันสัญญาว่าฉันจะไม่มายุ่มย่ามกับนายอีก”
เสียงของดาไซแผ่วเบาแต่กลับก้องกังวาล
“แต่ถ้านายตกลง ฉันจะให้ทุกสิ่งที่นายปรารถนา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงดูนายเป็นพิเศษ นรกที่เลวร้ายยิ่งกว่าช่วงเวลาที่นายอดอยากอยู่บนถนนรอนายอยู่ แต่ถ้านายตัดสินใจที่จะเดินบนถนนเส้นนี้..”
เมื่อได้มองใกล้ๆ เขาเห็นว่าดวงตาของดาไซนั้นช่างลึกราวกับหุบเหว
มันเป็นดวงตาที่สามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง ดวงตาที่ทั้งพระเจ้าและปีศาจร้ายต่างหลบเลี่ยง เขาสามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง อาคุตะกาวะรู้สึกว่าแม้แต่คำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยก็ไม่มีทางเล็ดรอดสายตาของดาไซได้
“นายต้องการอะไรรึเปล่า?” ดาไซถาม
คำถามของเขาสะท้อนในใจของอาคุตะกาวะ มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นมา สิ่งที่เขาต้องการ ความปรารถนาของเขา..
ณ จุดที่ต่ำที่สุดของความต่ำต้อย
ในโลกใบนั้น มีความปรารถนาอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีวันเป็นจริง
อาคุตะกาวะพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคออันแห้งผาก
“ผมต้องการเหตุผล.. ความหมายของชีวิตของผม”
“ฉันจะให้มันแก่นาย” เมื่อได้ยินคำๆนั้น อาคุตะกาวะรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในใจ
ถ้าหากความรู้สึกแรกที่เขารู้จักคือความเกลียดชัง ดังนั้นนี่คือความรู้สึกอย่างที่สองที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสในชีวิต ถึงแม้มันจะเทียบไม่ได้กับความรู้สึกแรกแต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง
ความเคารพอย่างสุดใจ
ความเคารพที่คนๆหนึ่งมีให้กับผู้เป็นอาจารย์
เขารู้สึกว่าชายคนนี้ผู้เป็นทั้งพระเจ้าและปีศาจ เป็นอาจารย์.. เป็นที่ปรึกษาของเขา..
“คำตอบของนายคืออะไรล่ะ?” ดาไซถาม
แทนที่อาคุตะกาวะจะให้คำตอบดาไซเป็นคำพูด เขาหอนออกมา
เสียงของเขาสะท้อนขึ้นไปยังฟากฟ้า ผ่านม่านหมอกและกังวาลขึ้นไปถึงสวรรค์
มันคือความโศกเศร้า
มันคือสิ่งที่มอบแก่เพื่อนของเขา เพื่อนๆที่ต้องตายก่อนที่จะได้พบกับผู้ที่สามารถเชื่อใจได้ ก่อนที่จะได้รับรู้ความหมายในชีวิตของตนเอง
เด็กชายผู้ถูกเรียกขานว่าเป็น “หมาบ้าที่ไร้เสียง” เด็กชายที่ไม่เคยมีความรู้สึกใดๆกำลังส่งความเศร้าเสียใจไปยังท้องฟ้า
“เป็นคำตอบที่ดี” ดาไซยิ้ม
ดาไซก้าวมาข้างหน้าและถอดเสื้อโค้ทสีดำของตัวเองออกก่อนจะคลุมมันลงบนไหล่ของอาคุตะกาวะ
เสียงหอนนั้นเป็นเครื่องป่าวประกาศการถือกำเนิดของอาคุตะกาวะ ริวโนะสึเกะ ผู้ใช้พลังพิเศษที่สี่ปีต่อมาดำรงตำแหน่งผู้นำของกลุ่มกองโจรที่ขึ้นตรงกับผู้บังคับบัญชาแห่งพอร์ตมาเฟีย อาคุตะกาวะ ริวโนะสึเกะ— สุนัขล่าเนื้อสีทมิฬแห่งความหายนะจากพอร์ตมาเฟีย ผู้เป็นที่หวาดกลัวไปทั่วเมืองโยโกฮาม่า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น