วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[BSD Fanfiction] The Eternal Memory


Bungou Stray Dogs Fanfiction

16.10.2016 

Oda Sakunosuke Birthday

**Warnings** มีการพูดถึงเนื้อหาในนิยายเล่มสองรวมถึงเนื้อเรื่องหลัก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้สปอยมากค่ะ


- - -


"The Eternal Memory"




เขาลืมตาขึ้นมา สัมผัสได้ถึงแก้วน้ำแข็งเยียบเย็นในมือ


เพราะว่าความเย็นจัดนั้นเขาจึงวางมันลง ในระหว่างนั้นได้ยินเสียงเจ้าแมวสามสีที่นอนหมอบอยู่ด้านหลังส่งเสียงครางปนหาวออกมาเล็กน้อย เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะแสงสว่างที่ไม่มืดและไม่สว่างเกินไปในบาร์ลูแปงแห่งนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเสียงจอแจที่ดังอยู่รอบข้าง จึงทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังตกอยู่ในความฝันที่เลือนรางและขมุกขมัว


ในขณะที่เขาถอนหายใจ ไถลลงไปกับพื้นโต๊ะบาร์ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงฝีเท้าที่ไม่หนักจนเกินไปและเสียงของบาร์เทนเดอร์ที่เตรียมเครื่องดื่มทำให้เขานึกรู้อยู่ในใจว่าใครกำลังมุ่งหน้ามา ...นั่นยังไงล่ะ กลิ่นที่คุ้นเคยของบุหรี่ยี่ห้อนั้น เสียงฝีเท้าที่สงบนิ่งที่ดาไซฟังเสียจนแทบจะจำจังหวะของมันได้ หางตาของเขาเห็นชายเสื้อคลุมสีครีมที่ขยับมาอยู่ข้างๆแล้วนั่งลง อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกมา


ดาไซเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ เพราะว่าเพิ่งจะฟุบลงไปจึงทำให้มึนหัวเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางให้เขาเห็นโอดะซาคุชัดน้อยลงไปแต่อย่างใด เขามองไปยังดวงตาสีฟ้าที่เจือไปด้วยควันขมุกขมัวของบรรยากาศภายในบาร์ ยิ้มและขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเหมือนอย่างทุกที “มาช้ากว่าที่คิดไว้นะ.. โอดะซาคุ”


“พอดีติดงานน่ะ” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมา มันเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกคุ้นเคยและโหยหาจนน่าประหลาด ทิ้งหน่วงอยู่ในใจจนดาไซชะงักไปชั่วครู่ ขณะที่ชายด้านข้างเขาหันกลับไปรับแก้วเครื่องดื่มที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้โดยไม่สังเกตถึงปฏิกิริยาอันผิดแปลกของเขาแม้แต่น้อย “รอมานานแล้วงั้นเหรอ ดาไซ”


มันเป็นคำถามชวนคุย เขารู้ แต่ตัวคำถามกลับทำให้เขาค่อยๆหลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ตามปกติแล้วเขามักจะตอบว่าไม่ นั่นเป็นเพราะตัวเขาเองไม่เคยเบื่อหน่ายที่ต้องรอเพื่อนของตนเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้เขากลับเปลี่ยนคำตอบนั้นที่มักจะเคยตอบอยู่เสมอ “อา... รอมานานมากเลยล่ะ ไม่เคยดีใจที่ได้เจอโอดะซาคุขนาดนี้มาก่อนเลย”


เพราะคำตอบของเขาจึงทำให้ชายผมสีแดงด้านข้างของเขากะพริบตาปริบอย่างงุนงง เพียงชั่วครู่ในนัยน์ตาสีฟ้าขุ่นนั้นก็ฉายแววตา‘เป็นห่วงจริงๆว่านายกำลังคิดอะไรอยู่’ออกมา มันเป็นแววตาที่ฉายออกมาบ่อยเสียจนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือตรงไปตรงมาเกินไปจนเผยความรู้สึกในใจของตัวเองออกมากันหมดกันแน่ แต่นั่นก็ทำให้ดาไซหัวเราะ


“เพราะอย่างนั้นโอดะซาคุก็เลยต้องเลี้ยงเหล้าชดเชยความผิดที่ให้ฉันรอล่ะนะ เอาอย่างนี้เป็นไง คืนนี้เรามาดื่มให้เมากันไปเลย!”


สิ้นเสียงกล่าวเขาก็ได้ยินเสียงคนด้านข้างถอนหายใจหน่ายปนจนใจออกมา หากแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร บาร์เทนเดอร์มองมาทางพวกเขาอย่างยิ้มๆพลางยื่นสาเกของโปรดให้อีกขวด ทว่าก่อนที่เขาจะรับมัน มือเรียวที่เพิ่งจะโผล่มาจากทางด้านหลังก็แย่งมันไป


“โอดะซาคุซัง จะปล่อยให้เขาเมาไม่ได้นะครับ พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่ ถ้าเมาหนักคืนนี้รับรองว่าดูไม่จืดแน่ๆ” อันโกะกล่าว ยึดขวดเหล้าไว้ข้างๆตนเองไม่ให้เขาเอื้อมถึงก่อนจะหันไปพูดกับบาร์เทนเดอร์ “บอส คืนนี้ผมกับดาไซคุงไม่ดื่ม ขอน้ำผลไม้แทนก็แล้วนะครับ”


“เอ๋...” เขากล่าวลากเสียง ไถลไปกับพื้นโต๊ะบาร์ด้วยท่าทีเสียดาย น่าแปลกที่ปกติแล้วควรจะต่อบทสนทนาได้มากกว่านี้ แต่วันนี้เขากลับรู้สึกไม่อยากทักทายคนที่เพิ่งมาถึงเอาเสียเลย ในวินาทีที่กำลังงุนงงกับความรู้สึกเช่นนั้น เสียงทุ้มต่ำที่เงียบไปตั้งแต่เมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศสบายๆของคนทั้งสามคน


“จะว่าไป... ดาไซ นายยังไม่ได้เอาเต้าหู้ที่ว่านั่นมาให้ฉันชิมเลยนะ”


รู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างสนใจจากทั้งสอง ทว่าเขากลับไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งตอบอย่างที่ควรจะเป็น ดาไซเอียงคอนอนไปกับพื้นโต๊ะ เส้นผมสลวยคลอเคลียไปกับบาร์หินอ่อนเงาวับพลางตอบลากเสียงอย่างเอื่อยเฉื่อย “ก็เพราะโอดะซาคุไม่ว่างซักทีนี่นา ฉันทำเตรียมไว้ทั้งหมดแล้วนะ ยังทำเผื่อไว้สำหรับหม้อไฟที่พวกเราสามคนจะไปกินกันคราวหน้าด้วย!”


สีหน้าของอันโกะซีดลงทันทีราวกับป่วยไข้เมื่อได้ยินคำที่เขาเพิ่งจะกล่าวจบ รีบยกมือขึ้นมาทำท่าหยุดทั้งสองข้างด้วยท่าทีลำบากใจ "สำหรับงานนั้นผมขอผ่านก็แล้วกันครับ โอดะซาคุซัง คุณก็ควรจะระวังหม้อไฟของดาไซคุงเอาไว้ให้ดีๆ..."


ดาไซยักไหล่ มองเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของพอร์ทมาเฟียที่กำลังคุยอยู่กับชายที่อยู่อีกฝั่งด้านข้างเขาด้วยสีหน้าเหงื่อตกแต่ก็แฝงความสนุกสนานไว้ในที ทั้งที่บรรยากาศในบาร์คืนนี้ค่อนข้างจะหนาวเย็น แต่กลับน่าแปลกที่เขารู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน


นี่มันก็คือสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่รึไงกันนะ ?


มิตรภาพของพวกเขาสามคนที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เป็นสิ่งที่เขาต้องการแต่ก็ไม่ได้หายวับไปกับตาเมื่อเขายื่นมือออกไปคว้ามัน เมื่อขยับตัวในตอนนี้ ก็จะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากคนข้างๆทั้งสองที่กำลังหัวเราะอยู่ มันช่างเป็นสิ่งที่เขาโหยหา... น่าคิดถึงเหลือเกิน


‘ฉัน...’


ในขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นไปพูดคุยโต้ตอบกับบทสนทนาที่ค้างไว้ เสียงของคำพูดหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาในหัว ดาไซชะงักไปอีกครั้ง มองไปยังโอดะซาคุที่จ้องมาทางเขาอย่างงุนงง และรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่บ่าอย่างเป็นห่วงของอันโกะจากด้านหลัง เขาพยายามจะตอบรับทั้งคู่ แต่ทว่าภายในชั่วพริบตา มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เลือนรางและห่างไกลเหลือเกิน

เขาได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัวของตนเอง ทั้งที่เป็นอย่างนั้นกลับได้ยินไม่ชัดนัก เห็นภาพตัวเองใส่ชุดสีดำทั้งชุด ในมือถือดอกไม้สีขาวสะอาด กำลังพูดอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหน้ารูปถ่ายสีดำ


อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย


ช่วยพูดใหม่อีกครั้งได้ไหม


‘ฉัน... อยากให้นายได้ลองชิมเต้าหู้นั่นจริงๆนะ’


ดาไซก้มหน้าลง ในวินาทีที่ได้ยินประโยคนั้นครั้งแรกเขารู้สึกว่าเสียงของคนที่พูดคำนั้นช่างคุ้นเคย แต่ในวินาทีถัดมาที่นึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นเสียงของใคร ความรู้สึกหนาวเหน็บสายหนึ่งก็พุ่งแทรกเข้ามา


เขายื่นมือไปจับแก้วของเหลวเบื้องหน้า มันช่างเยียบเย็นเหลือเกิน















“ดาไซซังครับ! เป็นอะไรรึเปล่าครับ ดาไซซัง!!”


อัตสึชิพุ่งจากโต๊ะของสำนักงานไปยังร่างของคนคนหนึ่งที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นมา ขยุ้มเสื้อโค้ทสีน้ำตาลบนตัวเจ้าของมันจนยับย่นก่อนจะตะโกนถามอย่างเป็นห่วง คนที่ดูราวกับเพิ่งจะได้สติกะพริบตาเล็กน้อย กวาดสายตามองไปรอบๆตัว ที่สำนักงานนักสืบต่างจากบาร์ลูแปงเป็นอย่างมาก แสงสว่างที่สลัวและพอดีกับสายตาในก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้กลับเป็นแสงเจิดจ้าเสียจนดาไซคิดอยากจะเบือนหน้าหนี หากยังมีความแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือคนสองคนข้างตัวของเขาหายไป กลายเป็นคนหลายคน... ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาแทน


ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คืออัตสึชิคุง ภายในดวงตาสีม่วงเหลือบเหลืองสดใสนั้นฉายแววเป็นห่วงปนกรุ่นโกรธเอาไว้อยู่ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามถึงสาเหตุของความรู้สึกอย่างหลังนั้น เขาก็เหลือบเห็นชายหนุ่มที่ผมพะรุงพะรังจนปิดหน้าตาคนหนึ่งเกาะหลังชายอีกคนผู้ที่กำลังทานขนมหวานอยู่อย่างไม่เดือดร้อนเอาไว้ด้วยท่าทีหวาดหวั่นปนเปไปกับตกใจ ด้านข้างได้ยินเสียงเด็กหนุ่มผมขาวที่อยู่ใกล้เขาที่สุดค่อยๆอธิบายออกมา “ตอนที่กำลังทำความสะอาดสำนักงาน รัมโปซังท้าให้โพซังลองใช้พลังพาคุณเข้าไปในหนังสือน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมกับดาไซซังที่มีพลังลบล้างความสามารถของคนอื่น ถึงได้เข้าไปอยู่ในหนังสือจริงๆได้...”


เขาก้มลงมองหนังสือเล่มหนึ่งในมือตัวเอง มันคงจะเป็นหนังสือเล่มที่เขา‘หลุดเข้าไป’อย่างที่อัตสึชิว่า เมื่อพิจารณาดูดีๆ มันเป็นเพียงแค่สมุด สมุดที่เขาเอามันมาจากชั้นสองของร้านอาหารตะวันตกแห่งนั้นเมื่อนานมาแล้ว


ไดอารี่ของโอดะซาคุ


เขาไม่คิดจะอ่านมัน ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นวางของ ฝังเอาไว้เป็นความทรงจำที่ไม่คิดจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก จนกระทั่งในวันนี้ เขาได้รับรู้ถึงเนื้อหาของมันโดยที่ยังไม่ต้องอ่านด้วยซ้ำ


เสียงหัวเราะแผ่วๆหลุดออกมาจากลำคอ ก่อนจะกลายเป็นเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางความงุนงงของคนในสำนักงานนักสืบ ถึงแม้ผมสีดำที่แนบไปกับใบหน้าจะปกปิดสีหน้าของดาไซไปจนเกือบทั้งหมด แต่อัตสึชิกลับเห็นรอยยิ้มที่ราวกับจะเย้ยหยันตัวเองของคนตรงหน้าผุดขึ้นมา ครู่หนึ่ง เขาเห็นริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงกระซิบจนแทบไม่ได้ยิน


“อัตสึชิคุง.. ที่ฉันสามารถหลุดเข้าไปในหนังสือเล่มนี้ อาจจะเป็นเพราะมันเป็น‘วันนี้’ก็ได้”


วันที่ 26 ตุลาคม


ผู้ฟังนิ่งงันไปอย่างไม่เข้าใจความหมาย แต่ถึงจะไม่เข้าใจคำพูดนั้น ในตอนที่คนที่อยู่ตรงหน้าผุดลุกขึ้นและกำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน อัตสึชิก็ลุกขึ้นตาม จับแขนดึงรั้งอีกฝ่ายไว้ให้หันกลับมาเผชิญหน้า นั่นทำให้เขาเห็นเสี้ยวหนึ่งของแววตานั้น แววตาที่อัตสึชิจำได้ว่าเขาเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว


เพราะว่ามือที่จับไว้ไม่ได้เพิ่มแรงบีบให้แน่น ชายตรงหน้าจึงดึงมันออกได้โดยง่ายและเดินหายไปจากหลังบานประตูโดยไม่ฟังเสียงตะโกนไล่หลังจากคุนิคิดะเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศของสำนักงานกลับมาเป็นปกติ รัมโปยื่นมือไปลูบหัวโพราวกับจะปลอบขวัญจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เคนจิหันกลับไปจิ้มมือถืออย่างใคร่รู้ ทานิซากิผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะถูกโดดกอดโดยน้องสาวของตน และโยซาโนะที่นั่งลงกับเก้าอี้พลางบ่นกับตัวเอง


“เป็นอะไรของเขา ไม่เข้าใจเอาซะเลยน้า...”


หากอัตสึชิยังคงมองไปที่บานประตูนั้น ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา เขานึกออกแล้ว สายตานั้นเป็นสายตาของดาไซซังที่มองมาทางเขาครั้งแรกที่ริมฝั่งแม่น้ำ มองมายังเขาที่ตอนนั้นเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง สกปรกไปหมดทั้งตัว และยังไม่เข้าใจถึงความหมายในการดำรงชีวิตอยู่ของตัวเอง


มันคือสายตาของคนที่โหยหาใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปเสียจนไม่สามารถเอื้อมถึง


เพราะว่าเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำมือของตัวเองเอาไว้แน่น จึงค่อยๆคลายมันออก ผ่อนลมหายใจ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตน


อัตสึชิหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดพาดอกไม้สีขาวที่ถูกวางไว้ข้างหน้าต่างร่วงลงไปยังสวนเขียวขจีเบื้องล่าง






---





Note : ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคของเรานะคะ หลังจากตรงนี้เรามีประเด็นที่อยากชี้แจงเพิ่มประมาณสามประเด็น ถ้าหากใครไม่อยากอ่านก็สามารถข้ามไปได้ แต่ถ้าหากอ่านแล้ว คงจะเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อในฟิคนี้ไม่มากก็น้อยเลยล่ะค่ะ ' v ')

ประเด็นแรก การ'หลุดเข้าไปในหนังสือ'ของดาไซ 

ฟิคนี้ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าที่ดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือเป็นเพราะ'พลังของโพคุง' ที่อัตสึชิบอกนั่นก็เป็นเพราะทุกคนในสำนักงานเห็นเป็นแบบนั้น ดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือ และที่ตรงนั้นก็มีเพียงแค่คนคนเดียวที่มีพลังในการทำแบบนั้นได้ ทุกคนเห็นรัมโปแกล้งโพคุงให้ใช้พลังในตอนนั้น เลยส่งให้ดาไซเข้าไปอยู่ในหนังสือเล่มนั้นจริงๆ

แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้วางให้เป็นแบบนั้น ในที่ตอน 32 จะเห็นว่าโพคุงสามารถควบคุมพลังตัวเอง คุยกับคนที่อยู่ในหนังสือและสามารถพาออกมาได้หากบรรลุเงื่อนไข แต่ในฟิคนี้ตอนที่ดาไซอยู่ท่ามกลางแสงขมุกขมัวของบาร์ลูแปง ไม่มีการติดต่อจากคนในสำนักงานนักสืบเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่การบอก'เงื่อนไข'ในการจะหลุดออกจากโลกที่เป็นเหมือนความฝันแห่งนี้

สิ่งที่ทำให้ดาไซออกมาได้ คือเสียงของตัวเองที่ดังก้องมาจากในความทรงจำ ย้ำเตือนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้

ดังนั้น ในส่วนที่ว่าดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือนั้นได้ยังไง อยากให้ลองคิดกันเองดูค่ะ (เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นไปได้มากๆ) แต่สำหรับเรา ทุกอย่างอยู่ในคำตอบที่ดาไซพูดกับอัตสึชิทั้งหมดแล้วค่ะ :)

ประเด็นที่สอง ไดอารี่ของโอดะซาคุ

เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมานานแล้วค่ะ โอดะซังอยากเป็นนักเขียนที่เขียนถึงชีวิตคนมาตลอด ดังนั้นเขาจะไม่ลองเขียนบันทึกของชีวิตตัวเองบ้างเลยรึยังไงกันนะ ซึ่งในชีวิตเขา สิ่งที่มีความสุขที่สุดนอกจากพวกเด็กๆและแกงกะหรี่ที่เป็นรักแท้ของเขาแล้ว ก็มีแต่มิตรภาพในยามค่ำคืนกับเพื่อนของเขาทั้งสองคนในบาร์ลูแปงนั่นแหละเนอะ

ในส่วนของชื่อเรื่อง เพราะว่าดาไซหลุดเข้าไปในไดอารี่ของโอดะซัง ดังนั้นมันจึงเป็น'ช่วงเวลาในหนังสือที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป' เป็นความทรงจำในช่วงแห่งความสุขชั่วนิรันดร์ และจะคงอยู่ในหนังสือนั้นไปตลอด คือ 'Eternal Memory' ค่ะ

ประเด็นที่สาม อัตสึชิคุง

เราเคยเปรยๆในทวิตไว้ว่าโอดะซังกับอัตสึชิเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตดาไซ คนหนึ่งชี้หนทางที่สว่างไสวให้ ส่วนอีกคนเหมือนเป็น'หลักฐาน'ที่แสดงให้เห็นถึงผลของการเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองของดาไซในวันนั้น สำหรับเรา อัตสึชิเป็นคนที่'มอง'ดาไซมากที่สุด ถ้าหากถามว่าใครจะเป็นคนต่อไปที่สามารถเข้าใจโลกของดาไซได้ เราคงตอบว่าอัตสึชิ

ความสัมพันธ์ของคู่นี้เราไม่คิดว่าเป็นเหมือนกับศิษย์กับอาจารย์ แต่เป็นความสัมพันธ์ของคนที่ช่วยและคนที่ถูกช่วย อัตสึชิมองดาไซด้วยความเคารพและคิดว่าเป็นคนที่มอบความหมายในการดำรงชีวิตให้ จากที่เห็นในมังงะภาคกิลด์และนิยายเล่มสี่ เราว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเกินความเชื่อใจไปแล้ว และเราก็กำลังรอดูไปต่ออยู่ค่ะว่าทางเนื้อเรื่องจะปูให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ต่อไปในทิศทางไหน



จริงๆแล้วในฟิคนี้เราแฝงความคิดส่วนตัวไว้เยอะมากจนมีประเด็นให้พูดถึงเยอะไปหมด สำหรับคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเราจะไม่แปลกใจเลย T v T #รู้สึกผิดมาก ยังไงก็ตามสามารถทักมาคุยเรื่องฟิคของเราได้เสมอนะคะ ได้ทั้งติชมหรือแย้งถ้าหากมีข้อมูลไหนไม่ถูกต้อง เราพร้อมแก้ไขเสมอค่ะ

จะว่าไปนี่เป็นฟิคสำหรับวันเกิดโอดะซังนี่นา ทำไมถึงกลายเป็นดาไซเต็มไปหมดกันล่ะเนี่ย...









วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] The Untold Story of the Founding of the Detective Agency: Chapter 2 Part 4

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
English Scans Here!
← Previous: Chapter 2 Part 3

ปลอบรัมโปในขณะที่เจ้าตัวกำลังคร่ำครวญถึงขนม – สามครั้ง
ยอมแพ้และยอมไปซื้อให้เขา – สองครั้ง
ถูกถามว่าทำไมเครื่องบินถึงบินได้ – สามครั้ง
เกลี้ยกล่อมรัมโปขณะที่เจ้าตัวกำลังบ่นว่าเมื่อยและอยากจะหยุดพัก – สามครั้ง
แบกรัมโปขึ้นหลัง – สี่ครั้ง
และในที่สุด ทั้งสองคนก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ก่อนหน้านั้น รัมโปเอาแต่ถามคำถามอย่างไม่หยุดหย่อน เขาถามเกี่ยวกับความคิดเห็นต่างๆ บ่นถึงเรื่องนู่นนี่และบอกว่าเขาไม่ชอบการเดิน เขาไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้แรงงาน การเดินทางไกลๆช่างเป็นสิ่งที่เสียเวลา อุปกรณ์สื่อสารถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร เรายังไม่ถึงอีกหรอ ผมอยากกินขนม บริษัทนั้นกำลังจะเจ๊งแน่นอน คุณภาพชีวิตของผู้คนตกต่ำลงหลังจากการเปลี่ยนประธานาธิบดี เมืองนี้มันไม่มีอะไรดีแต่ที่ชนบทห่วยแตกยิ่งกว่านี้อีก ผมอยากล่องเรือชมวิว ผมอยากให้อาหารนกพิราบ เรายังไม่ถึงจริงๆหรอ ผมอยากกินขนมจัง ทำไมเรายังไม่ถึงกันซักทีล่ะ
ฟุคุซาว่าไม่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
สำหรับฟุคุซาว่าที่แตกฉานในศาสตร์การป้องกันตัวของญี่ปุ่นโบราณและมีความเฉียบคมทั้งเทคนิคการต่อสู้และจิตวิญญาณ จิตที่นิ่งสงบของเขาไม่มีทางถูกรบกวนด้วยเสียงร้องงอแงของเด็ก มันเป็นผลพวงของการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ฟุคุซาว่าเอ่ยตอบรัมโปโดยไม่มีความเปลี่ยงแปลงทางสีหน้าและน้ำเสียงแม้แต่น้อย
ถึงฟุคุซาว่าจะเอ่ยตอบ แต่ในใจเขากำลังอยากโยนเจ้าหนูนี่ทิ้งไป ใช้เชือกมัดและปล่อยเขาไว้ที่หัวมุมถนน หรือไม่ก็เปิดฝาท่อระบายน้ำและพาเจ้าหนูนี่เดินร่วงลงไป ฟังเสียงเสนาะหูของน้ำที่แตกกระจายก่อนจะปิดฝาท่อระบายน้ำตามเดิม นอกจากนั้นเขายังคิดแผนอีกกว่าห้าสิบแผนที่จะทิ้งรัมโปเอาไว้และจากไป แต่แผนพวกนั้นก็อยู่แค่ในความคิดเท่านั้น
ยิ่งเขาคิดแผนได้มากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ้งไร้อารมณ์มากขึ้นตามไปด้วย–
“ตาแก่ คุณนี่อดทนเก่งจริงๆ”
นั้นเป็นสิ่งที่รัมโปพูด
ถ้าหากฟุคุซาว่าจิตใจวอกแวกไปเพียงนิดเดียว ตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังเดินตรงไปยังท่อระบายน้ำแล้ว
นี่คือผลจากการฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้เป็นประจำ
ในวันนั้นพวกเขาใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมง และแล้วฟุคุซาว่าก็สามารถคิดแผนที่ห้าสิบเอ็ดออก แต่มันค่อนข้างจะรุนแรงไปซักหน่อยจึงไม่สามารถเขียนมันลงมาได้– ในที่สุดพวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง
“โรงละคร?”
“ใช่”
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามในยามเย็น ทั้งสองยืนอยู่หน้าโรงละครที่ถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย
ป้ายโฆษณาของการแสดงถูกเย็บติดเอาไว้กับป้ายประกาศที่หน้าทางเข้า ถึงแม้ว่าจะมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าการแสดงจะเริ่ม พวกเขาก็เห็นผู้ชมจำนวนมากที่กำลังทยอยเข้าไปในโรงละคร ที่กำแพงของอาคารมีแผ่นหินสลักคำว่า “โรงละครนานาชาติ” ประดับอยู่
รัมโปมุ่ยหน้าทันที “ดูน่าเบื่อชะมัด”
“เจ้าของที่นี่กำลังบ่นว่าพวกเขากำลังขาดคน หลังจากเสร็จธุระ หล่อนอาจจะตกลงที่จะจ้างนาย”
“ธุระ?”
“มีการขู่ฆาตกรรม” ฟุคุซาว่าเอ่ยและเดินเข้าไปด้านใน ตามด้วยรัมโปที่ก้าวยาวๆตามเขาไป


หลังจากใช้ทางเข้าสำหรับคนส่งของที่อยู่ด้านหลังโรงละคร พวกเขากำลังลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินและพบกับผู้ว่าจ้างของฟุคุซาว่า
“เอาล่ะ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ทำไมถึงสาย?”
หญิงคนนี้มีอายุไล่เลี่ยกับฟุคุซาว่า เธออยู่ในชุดสูทและกำลังกอดอกมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก เจ้าหล่อนใช้ปลายนิ้วดันแว่นทรงสามเหลี่ยมล้อมกรอบสีดำอยู่เป็นนิจ
“ขอโทษด้วย เอกาวะซัง” ฟุคุซาว่าน้อมศีรษะเล็กน้อยให้กับผู้หญิงตรงหน้า ถึงแม้สาเหตุของการมาสายของเขาคือรัมโปที่บ่นกระปอดประแปดไม่ยอมหยุดแต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่สามารถหยิบมาใช้ได้
“ช่างเถอะ” หล่อนหันกลับและเดินไปตามระเบียงทางเดิน เสียงสะท้อนของรองเท้าดังก้องไปทั่ว ฟุคุซาว่าเดินตามไปอย่างเงียบๆ “ยังมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่การแสดงจะเริ่ม คุณช่วยตรวจสอบสถานที่ให้หน่อย”
ในขณะที่กำลังเดินตามหญิงสาว ฟุคุซาว่าเอ่ยขึ้น “พอจะรู้รึเปล่าว่าใครเป็นคนส่งคำขู่มา”
เอกาวะหยุดเดินพร้อมมองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของคุณ พวกเราบอกตำรวจไปแล้ว งานของคุณในฐานะบอดี้การ์ดคือการจับตัวคนร้ายหากมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น สรุปคือคุณเป็นแค่กำลังเสริมเท่านั้น ส่วนพวกตำรวจจะคอยระมัดระวังและรวบรวมข้อมูล ให้ตายเถอะ นี่มันแย่จริงๆ ขนาดมีคำขู่ส่งมา คุณรู้ไหมว่าพวกเขาส่งตำรวจมากี่คน– แค่สี่คน นี่มันบ้าชัดๆ พวกเขาคงไม่คิดว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น– มันจะดูแคลนกันเกิดไปหน่อยแล้ว ถ้าเกิดมีคนตายขึ้นมา พวกตำรวจต้องรับผิดชอบ”
ฟุคุซาว่ารู้สึกสับสนแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด ฟังจากลูกค้าที่แนะนำฟุคุซาว่าให้มาที่โรงละคร ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการทำงานที่เชื่อถือได้แต่นิสัยของเธอนั้นออกจะแตกต่างจากจินตนาการของเขาไปซักหน่อย
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เป็นปัญหาอะไร ฟุคุซาว่าไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของใคร เหมือนอย่างที่ผู้หญิงคนนี้พูด เขามีหน้าที่รับผิดชอบแค่ในส่วนของเขาเท่านั้น
“ขอผมดูคำขู่หน่อย การป้องกันจะถูกเปลี่ยนตามจุดประสงค์ของคนร้าย”
“นี่”
เอกาวะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษมีตัวหนังสือสองสามบรรทัดพิมพ์อยู่
“มันถูกส่งมาที่ออฟฟิศเมื่อไม่กี่วันก่อน ‘เทวทูตจะมอบความตายที่แท้จริงให้กับการแสดง – V’ ที่เหลือก็มี วันที่ เวลาและชื่อของการแสดงระบุเอาไว้ เทวทูตกับ V ฉันละขำจริงๆ นี่มันคำขู่ประเภทไหนกัน มันอาจจะเป็นแค่คำขู่จากผู้ไม่หวังดีกับธุรกิจของเราก็ได้”
“คุณแน่ใจหรอ?”
เอกาวะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้น
“ผมว่ามันค่อนข้างชัดเจนนะ นี่หมายความว่าคนที่จะถูกฆ่าก็คือนักแสดง หืมม ผมจะคอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแล้วกันนะคุณป้า”
“ป้า..” คิ้วของเอกาวะขมวดเป็นผม “คุณฟุคุซาว่า เด็กคนนี้เป็นใคร การพาคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในเวลานี้มีแต่จะทำให้เกิดปัญหา”
“ผมขอโทษด้วย เขา… กำลังหางานอยู่ ผมได้ยินมาจากพนักงานที่นี่ว่าโรงละครนี้กำลังขาดคน ผมสงสัยว่าคุณจะช่วยสัมภาษณ์งานให้เขาได้ไหมหลังจากเรื่องนี้จบ”
“หา ก็จริงอยู่ที่เราขาดคน”  เอกาวะหรี่ตามองรัมโปด้วยความสังสัยที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว “ฉันเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามกระบวนการของออฟฟิศซะ ส่งประวัติของเธอมาแล้วฉันจะตัดสินเธอร่วมกับผู้สมัครคนอื่นๆ”
“อะไรรรรนะ มีผู้สมัครคนอื่นๆอีกหรอ” รัมโปเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ผมไม่ชอบแบบนั้น! ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่มีทางได้งานหรอก ผมต้องการงานเดี๋ยวนี้! ตัดสินใจตอนนี้เลย”
“หา?”
ฟุคุซาว่าถอนหายใจ
เขามีความรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
“เธอคิดว่าฉันจะจ้างเด็กหัวแข็งแบบนี้งั้นหรอ ในโลกของผู้ใหญ่ มารยาทมาเป็นอันดับแรก เข้าใจไว้ซะเจ้าหนู”
“ผมเคยได้ยินเรื่องนั้นจากคนอื่นเหมือนกัน หลายรอบแล้ว” รัมโปมีสีหน้าหมองลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผมไม่เข้าใจโลกของผู้ใหญ่จริงๆ การพูดสิ่งที่เราคิดออกมามันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอ แล้วจะปิดมันเอาไว้ทำไมล่ะ อย่างเช่น คุณป้า คุณน่ะไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าของโรงละครนี่หรอก คุณเสียเงินมากมายไปกับเสื้อผ้าและรองเท้าของคุณเพื่อที่จะข่มพวกลูกน้อง คุณไม่ดูแลเล็บและไม่สวมแหวน แต่ที่โคนนิ้วของคุณมีรอยจางๆอยู่ มือของคุณคงอยากกลับไปทำงานเดิมแล้วล่ะ และ…. คุณไม่เชื่อใจตำรวจ บอดี้การ์ดหรือพวกพนักงานในโรงละคร ไม่อย่างงั้นคุณคงแนะนำตาแก่กับตำรวจไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่คุณไม่ได้แนะนำไปคงเพราะอยากให้ตาแก่จับตาดูพวกตำรวจอย่างใกล้ชิดใช่ไหมล่ะ และคุณก็อยากให้พวกตำรวจจับตามองตาแก่อย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ทำอย่างนี้เพราะอาจมีบางคนตายก็ได้ ทำไมคุณถึงไม่พูดเรื่องนี้ตั้งแต่ทีแรกล่ะ”
“อะไ–…...” เอกาวะรีบหลบมือของตัวเองไปด้านหลังพร้อมเอ่ยขึ้น “ทำไมเธอถึงไร้มารยาทแบบนี้–”
จากท่าทีฟืดฟัดนั่นเอง ฟุคุซาว่าก็เข้าใจ ทุกอย่างที่รัมโปพูดมาถูกต้องทั้งหมด
“อยากให้ผมพูดมากกว่านี้ไหม? สร้อยเส้นใหม่ที่ดูเรียบๆของคุณไม่ใช่ของขวัญแต่เป็นสิ่งที่คุณซื้อให้ตัวเอง และรูที่คุณเจาะหูก็เกือบตัน นั่นหมายความว่า ในสองสามปีมานี้ ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้ชาย–”
“พอแล้ว” ฟุคุซาว่าหยุดรัมโปเอาไว้ “ผมไม่ได้เสียใจเกี่ยวกับสิ่งที่คุณคิด คุณเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนตาย ผมอยากจะคุยกับพนักงานที่เกี่ยวข้องซักหน่อย ได้ไหม?”
“ตามใจคุณเถอะ!” เอกาวะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสร้งว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่รัมโปพูดเลยแม้แต่น้อย “ฉันชอบงานนี้ โอเคไหม ให้ตายเถอะ นี่มันน่ารำคาญจริงๆ พวกคุณทุกคน!”
เอกาวะกระทืบเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“โลกของผู้ใหญ่นี่มันประหลาด ทำไมเขาต้องโมโหด้วยล่ะ” รัมโปพึมพำขณะมองตามหลังเอกาวะออกไป
ฟุคุซาว่าหายใจเข้าลึกๆ
หลังจากปล่อยลมหายใจออกมาเขาดูหมดแรงอย่างบอกไม่ถูก
เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมรัมโปถึงทำงานที่ไหนได้ไม่นาน




วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] The Untold Story of the Founding of the Detective Agency: Chapter 1 Part 2

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 3: The Untold Story of the Founding of the Detective Agency [Chapter 1, Part 2]
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Naitear & Chiyuu_ki
ทรานส์อิ้ง: Here!
← Previous: Chapter 1 Part 1

เรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเล่าขานของการก่อตั้งสำนักงานนักสืบ
สำนักงานนักสืบถูกก่อตั้งอยู่บนชั้นสี่ของตึกอิฐแดง ภายในนั้นมีชั้นโรงยิม แผนกต้อนรับ ห้องสัมนา ออฟฟิศของประธาน ห้องพยาบาล ห้องผ่าตัด และห้องครัว ถึงแม้ว่าด้านหลังจะมีประตูที่เชื่อมไปยังบันไดเวียนลงไปชั้นล่างเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ทุกคนก็มักจะใช้ลิฟท์เก่าๆในการเข้าออกกันทั้งนั้น
และลิฟท์ที่ว่านั่นก็เป็นลิฟท์ที่คุนิคิดะและคนอื่นใช้เพื่อเข้าออกสำนักงานเช่นกัน
มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเสียเกือบหมด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ โดยเฉพาะสองสามคนที่ยังคงประจำอยู่ชั้นล่าง ภายใต้แสงสว่างสีขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์ พวกเขากำลังเขียนจดหมาย อ่านนิยาย และซดมาม่า ที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะว่างานยังไม่เสร็จ แต่มันเป็นเพียงเพราะแค่พวกเขาต้องการจะอยู่เท่านั้นเอง
จากหน้าต่างของออฟฟิศสามารถเห็นชายทะเลได้อย่างชัดเจน เรือบรรทุกสินค้าที่อยู่ห่างออกไปเปล่งเสียงปล่อยไอน้ำของมันออกมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่พวกเขายกมือขึ้นเพื่อทักทายสั้นๆกับพวกพนักงานแล้ว คุนิคิดะและคนอื่นจึงออกจากสำนักงานและเดินเข้าไปในห้องสัมนา
ด้านในนั้นมีคนรออยู่ก่อนแล้ว
“แหม แหม หนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึมอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ถ้าจะมาอาสาเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ฉันลองชำแหละดูก็ได้นะ แต่เสียใจด้วย วันนี้เราปิดทำการแล้ว”
โยซาโนะเหลือบมองขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ นั่งไขว้ขาเรียวทั้งสองไว้ด้วยกัน
ผู้มีพลังพิเศษ: โยซาโนะ อากิโกะ ชื่อพลัง—แก้วตาอย่าอาสัญ
เธอเป็นศัลยแพทย์ของสำนักงานนักสืบ ด้วยพลังพิเศษที่หาได้ยากสำหรับการรักษาทางการแพทย์ เธอจึงเป็นเพียงคนเดียวที่มีหน้าที่ทำการรักษาให้สมาชิกคนอื่นๆ บาดแผลที่รักษาไม่หายที่เหล่าสมาชิกได้รับจากการต่อสู้ พลังของเธอถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เพราะว่าความหลงใหลอย่างสุดโต่งในการผ่าตัดและการชำแหละของเธอ ทำให้เธอพยายามที่จะชำแหละทุกๆคนแม้ว่าบาดแผลจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เธอเป็นที่หวาดกลัวของเพื่อนร่วมงานมากกว่าศัตรูเสียอีก
และเครื่องมือชิ้นหลักที่เธอใข้ในการผ่าตัดคือขวานนั่นเอง
“โยซาโนะเซนเซย์” ทานิซากิเอ่ยพร้อมกระพริบตาด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด “คุณมาทำอะไรที่ห้องสัมนาหรอครับ?”
“อย่างที่นายเห็น ฉันกำลังอ่านหนังสือพิมพ์” โยซาโนะเอ่ยตอบพร้อมโบกหนังสือพิมพ์ในมือ “วันนี้ฉันยุ่งมาก ยุ่งซะจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์เลยล่ะ”
            ระหว่างที่เธอไล่สายตาไปยังหัวข่าว เธอกล่าวต่อ “วันนี้มีข่าวดีๆหลายเรื่องเลยนะ”
“ผมไม่ค่อยเห็นคุณมีท่าทางประทับใจกับหนังสือพิมพ์ขนาดนั้นเลยนะครับ” ทานิซากิเอ่ยขณะที่เหลือบมองไปยังหนังสือพิมพ์ “มีข่าวไหนน่าสนใจหรอครับ?”
“ก็นะ.. ที่น่าสนใจที่สุดคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับความตายล่ะมั้ง” โยซาโนะเอ่ยและยกยิ้ม “มันเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกใบนี้ที่ตัดสินผู้คนอย่างยุติธรรมที่สุด”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขายืนอยู่ข้างหน้าทางออก
หลังจากพูดคุยกัน พวกเขาทุกคนเดินเข้ามาภายในห้องสัมนาและนั่งลงตามลำดับ ทานิซากิ คุนิคิดะและดาไซ
เสียงเข็มนาฬิกาดังกังวาลขึ้นภายในห้อง
“แล้วนี่พวกนายเข้ามาในห้องนี้ทำไมกันน่ะ?” โยซาโนะถามพร้อมเลื่อนสายตาออกจากหนังสือพิมพ์
“ฮุฮุ พวกเรามาประชุมกันเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการสอบเข้าน่ะ” ดาไซตอบด้วยรอยยิ้ม “โยซาโนะเซนเซย์รู้เรื่องมนุษย์เสือคนเมื่อวานแล้วสินะ คุณอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม? ในเมื่อพวกเรากำลังจะตัดสินใจเรื่องบททดสอบ ผมเลยชวนทุกๆคนมา พวกเราจะตัดสินกันโดยใช้เสียงข้างมากล่ะ”
“เสียงข้างมาก.. เห?” โยซาโนะเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเราไม่ทำเหมือนตอนทานิซากิล่ะ? มีปัญหาอะไรงั้นหรอ?” โยซาโนะหันไปมองทานิซากิ ใบหน้าของเขาเริ่มซีดขาวพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“ให้—ให้ผมลืมๆมันไปเถอะครับ”
ทานิซากิเองก็เป็นเด็กใหม่ สิ่งที่เขากำลังกล่าวถึงคือบททดสอบเข้าของเขาที่โหดมหาโหด และเพราะความสาหัสนี้เองทำให้ทานิซากิปิดผนึกความทรงจำของเขาลงไปยังจิตใต้สำนึก เพราะว่าการนึกถึงมันทำให้เขาเกิดอาการทางจิตขึ้นมา  
    “ผมไม่เป็นไรครับ..” ทานิซากิพูดและเอนกายมาข้างหน้า “แต่เราจะกำหนดบททดสอบครั้งต่อไปที่สมเหตุสมผลขึ้นมายังไงล่ะครับ?”
“ว้าว ดูข่าวนี่สิ” โยซาโนะเอ่ยขึ้น สายตาของเธอยังจับจ้องไปอยู่ที่หนังสือพิมพ์ “พาดหัวข่าวเขียนว่า ’ไฟไหม้ที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปูเซียงไฮ้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน’ ฉันมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรน่าสนใจแถวที่เกิดเหตุแน่ๆ บางทีฉันอาจจะหยุดแวะซักหน่อยระหว่างทางกลับบ้าน”
โยซาโนะเลียริมฝีปาก
“นะ—นั่นไม่ฉุกละหุกไปหน่อยหรอครับ?” ทานิซากิเอ่ย เขามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “อีกอย่างนะครับโยซาโนะซัง หนังสือพิมพ์นั่นน่ะมันเป็นของเมื่อสองเดือนที่แล้ว ถึงคุณจะไปที่นั่นตอนนี้ก็คงไม่เหลือแม้แต่กลิ่นปูไหม้แล้วล่ะครับ”
      “นายพูดถูก” โยซาโนะมุ่ยหน้าเมื่อเห็นวันที่บนหนังสือพิมพ์ “ใครกันนะที่วางหนังสือพิมพ์เก่าๆแบบนี้เอาไว้ ชิ— ฉันอุส่าห์รอเวลาที่มีคนบาดเจ็บเยอะขนาดนี้มาตั้งนาน ฉันตั้งใจว่าจะไปช่วยพิสูจน์ศพซักหน่อย แม่จะชำแหละทั้งคนเป็นคนตายนี่แหละ”
     โยซาโนะปาหนังสือพิมพ์ทิ้งอย่างเศร้าๆ
“เอ่อ.. ชำแหละคนตายน่ะมันอีกเรื่องนะครับ แต่ว่าจะไปชำแหละคนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่มัน..” ทานิซากิเอ่ยด้วยท่าทีหวาดผวา ในฐานะที่เขาเป็นคนที่มักจะโดนโยซาโนะหั่นแล้วนั้น เขารู้สึกเห็นใจผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นเป็นอย่างมาก
“ปูเผาเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของโลกใบนี้” ดาไซเอ่ยและเปลี่ยนหัวเรื่อง
“โฮ่ย ดาไซ” คุนิคิดะที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “เลิกพูดเรื่องปูได้แล้ว นี่มันการประชุมอะไรกัน นายเพิ่งพูดไม่ใช่หรอว่านายเรียกทุกๆคนมาที่นี่ นอกจากโยซาโนะเซ็นเซย์แล้ว ฉันไม่เห็นคนอื่นจะมากันเลย”
      “หืม..” ดาไซหันไปมองนาฬืกา “ฉันโทรเรียกทุกคนแล้วล่ะ แต่ฉันว่านักสืบของเราคงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย พวกเราน่าจะต้องรออีกซักพัก”
คุนิคิดะกอดอกและมองดาไซ
“ฉันไม่อยากเห็นเจ้าชายแห่งความเห็นแก่ตัวว่าคนอื่นว่าเห็นแก่ตัว” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ถึงนายจะโทรตามทุกคนมาที่นี่ นายตัดสินใจรึยังว่าจะดำเนินการกันยังไง”
“โอ้ แน่นอน ฉันวางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้วล่ะ เจ้าชายแห่งการวางแผนอย่างคุนิคิดะคุงจะได้ไม่บ่นยังไงล่ะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นว่าดาไซกำลังเริ่มต้นเขียนอะไรบ้างอย่างลงบนกระดานสีขาวที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง
“อย่างแรก ทุกคนต้องช่วยกันคิดเรื่องบททดสอบ อย่างที่สองเลือกเอาแผนการที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมาหนึ่งอย่างและสุดท้ายก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องอะไรโดยใช้เนื้อหาของการสอบเป็นตัวตัดสิน!— ไง ฉันวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ฉันยอมรับว่านายวางแผนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีลางสังหรณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับสิ่งที่จะตามมา” คุนิคิดะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ลำดับที่สาม— ‘แบ่งหน้าที่ว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ’— ยิ่งฟังยิ่งน่าสงสัย นายคงวางแผนไว้แล้วสินะเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่สำคัญๆ ฉันพูดถูกรึเปล่า”
“ไม่มีทางน่า~ คนที่จริงใจอย่างฉันไม่มีทางทำเรื่องสกปรกๆแบบนั้นหรอก หรือว่าคุนิคิดะคุง เพื่อนร่วมงานที่แสนดีของฉันกำลังบอกว่าไม่เชื่อใจฉันงั้นหรอ?”
ดาไซเอ่ยขึ้นพร้อมยกแขนขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
“ฉันไม่เชื่อใจนาย..”
“ผมเองก็ไม่ค่อยเหมือนกันครับ..”
“ฉันมีความเชื่อมั่นอันน้อยนิดว่าทุกอย่างจะออกมาดี”
ดาไซกระโดดดึ๋งทันที
“ทุกคนแย่ที่สุดเลย!”      
“เอาล่ะ เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยตัดสินใจกันอีกที ตอนนี้ขั้นตอนที่สามที่ว่าจะให้ใครเป็นคนจัดการอะไรก็ปล่อยเอาไว้ก่อน เรามาเริ่มออกความคิดกันก่อนเป็นไง?”
คุนิคิดะมองที่นาฬิกาอีกครั้ง
หากจะกล่าวถึงเหล่านักสืบที่ดาไซเรียกมา รันโปและเคนจิยังคงไม่ปรากฏตัว พวกเขาทั้งสองคนจำเป็นต่อการตัดสินครั้งสุดท้ายซึ่งต้องการการลงคะแนนจากเสียงข้างมาก แต่ขั้นตอนก่อนหน้านั้นสามารถใช้เพียงสมาชิกที่เหลืออยู่ในการหารือกันได้ เหมือนที่คุนิคิดะพูด
“ว้าว ในที่สุดก็มีแรงกระตุ้นแล้วสินะ” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุนิคิดะคุงมีความกระตือรือร้นขนาดนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนเราทำงานกันเสร็จแล้วล่ะ เอาล่ะๆ เรามาเริ่มการประชุมกันเถอะ ใครมีความคิดอะไรบ้างไหม?”
ดาไซมองทุกคนขณะที่เขากลับมานั่งประจำที่ ทุกคนในห้องประชุมต่างมองมาที่เขา เพราะว่าการประชุมนั้นเริ่มต้นอย่างกระทันหันเกินไปทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหน ถึงแม้ว่าจะเป็นสมาชิกผู้มีประสบการณ์โชกโชนแห่งสำนักงานนักสืบที่สามารถฆ่าศัตรูได้ในขณะที่ฮัมเพลงไปด้วยก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเช่นเดียวกัน
นั่นคือ ‘การประเมินสถานการณ์’
เหล่านักสืบที่มาชุมนุมกันต่างมีพลังพิเศษและลักษณะนิสัยอันหลากหลาย การที่จะสามารถเข้าใจความคิดของทุกคนได้ก็เป็นเรื่องที่ใหญ่พอๆกับการล่าสมบัติแถวป่าดิบชื้นในเขตแอฟริกาใต้
ถึงอย่างนั้น ความเงียบก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ทานิซากิคุง หน้านายบอกชัดๆเลยนะว่าให้ ‘เลือกฉัน!’” ดาไซที่เริ่มหมดความอดทนชี้ไปที่ทานิซากิ
“เอ๋? ผ—ผม?” ทานิซากิเอ่ยขึ้นและชี้ตัวเองด้วยความงุนงง
“จากที่ฉันเห็นน่ะ นายมีประกายความคิดเจ๋งๆพุ่งออกมาจากหน้าของนายเลยล่ะนะ~ เร็วเข้าๆ บอกไพ่ตายของนายมาสิ— ข้อเสนอที่จะทำให้ทุกคนยืนขึ้นปรบมือให้นายน่ะ พวกเราเตรียมตัวประทับใจกันอยู่นะ!”
“อย่าตั้งความหวังสูงขนาดนั้นสิครับ!” ทานิซากิร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ยังไงก็เถอะ ผมคิดว่ามันไม่เห็นจำเป็นต้องหาวิธีสอบแบบพิสดารเลยนี่นา ทำไมเราไม่เลือกคดีที่มีความยากระดับปานกลางที่พวกเราได้รับล่ะครับ ผมได้ยินมาว่านั่นเป็นแบบทดสอบที่คุณได้รับใช่ไหมครับดาไซซัง”
“โอ้ เป็นความคิดที่ดีนะ ขอบใจทานิซากิคุง” ดาไซเอ่ยและเขียนคำว่า ‘การอนุมัติเข้าร่วมสำนักงานนักสืบโดยการไขคดี’ ลงบนกระดาน “มีใครคัดค้านไหม?”
 “นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอดาไซ” คุนิคิดะพูด “ถ้าเจ้าเด็กเหลือขอนี่เป็นแค่พวกมือใหม่ธรรมดาก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาถูกหมายหัวจากสารวัตรทหารว่าเป็นสัตว์อันตรายที่ต้องถูกจับกุมทันที ถึงสำนักงานนักสืบจะช่วยปกปิดตัวตนของเขาเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่ควรที่จะให้เขาลงไปทำงานภาคสนามก่อนที่เขาจะผ่านบททดสอบ ประธานก็บอกนายแล้วเหมือนกันใช่ไหม”
“สมกับเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของประธานเลยนะ~” ดาไซแนบสองมือลงบนแก้มของตัวเอง “ประธานบอกฉันอย่างนี้เป๊ะเลยล่ะ อืม.. มันเป็นข้อเสนอที่มีเหตุผลนะ งั้นเราก็ต้องคิดบททดสอบที่จะไม่ทำให้เป็นที่สนใจจากผู้คนข้างนอกงั้นสิ โทษทีนะ ทานิซากิคุง”
“ผมเข้าใจครับ” ทานิซากิตอบ “ถ้าอย่างงั้น— ให้เขาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานดีไหมครับ? แบบนั้นเขาก็ไม่ต้องออกไปข้างนอก”
“ปัญหาที่ว่าคืออะไรล่ะ?”
“อืม.. ซ่อมเครื่องพิมพ์หรือล้างท่อ หรือว่า..”
“นี่ไม่ใช่การหาสามีมาทำงานบ้าน” คุนิคิดะเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน “ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่มีทางที่จะมีเหตุการณ์ที่ใหญ่พอที่จะทดสอบความแน่วแน่ของเขาภายในสำนักงานนี้”
“งั้นเราพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” ดาไซพูดพร้อมเขียน ‘การแก้ปัญหาภายในสำนักงาน’ และเครื่องหมาย ‘?’ ไว้ด้านหลัง
“การบ่นของพวกนายไม่ช่วยให้อะไรคืบหน้าขึ้นเลย” โยซาโนะเอ่ยพร้อมชี้ไปที่ดาไซ “ดาไซ ในฐานะที่นายเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด นายเสนอความคิดมาซะ ได้คิดอะไรเอาไว้รึยัง”
ดาไซเงียบไปซักครู่
“ฮุฮุฮุ”
ฉันกำลังรอให้ใครซักคนพูดแบบนี้อยู่พอดี— นั่นเป็นความหมายของรอยยิ้มของเขา
ดาไซหยิบตั้งกระดาษออกมาจากกระเป๋าและวางลงในที่ที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ บนกระดาษนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่แน่นขนัดและยากที่จะบอกได้ว่าคนเขียนมันมีมีฝีมือหรือไม่
“แน่นอน ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ! เข้ามาดูแผนการอันสมบูรณ์แบบที่ฉันคิดเอาไว้ใกล้ๆสิ!”
“หือ” ทุกคนมองดาไซด้วยความประทับใจ มีเพียงคุนิคิดะที่ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
“อย่างแรกเป็นการทดสอบสมรรถภาพ! เราจะทดสอบความอดทนของร่างกายเขาโดยการไปที่สวนสัตว์โยโกฮาม่า— เดินทางโดยรถไฟประมานสามสิบนาที—แล้วก็แอบย่องเข้าไปข้างใน จากนั้นเราก็จะโยนเจ้าหนูนั้นเข้าไปในกรงหมีดำหิมาลายัน และเราก็จะกลับมารับเขาในเช้าของวันรุ่งขึ้น ถ้าเขาเอาชนะหมีและหนีออกมาได้ เราจะรับเขาเข้าทำงาน!”
“โฮ่ย..” คุนิคิดะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขณะมองจ้องไปยังดาไซ
“แต่ถ้าเขาเกิดอ่อนข้อให้หมีนั่นขึ้นมา เราค่อยเก็บเขาเอาไว้เป็นตัวสำรองก็ได้”
“โฮ่ย”
“แต่ถ้าเกิดเกิดอะไรขึ้นกับหมี แผนสำรองของฉันก็คือ— การทดสอบการคิดแก้ไขปัญหา ฉันรู้จักชายแก่ขี้งกอยู่คนนึง งกมากจนถึงขั้นยอมตายเพื่อเงินเลยล่ะ เขาเคยใช้เวลาสองชั่วโมงบ่นคนที่มาขอยืมเงินห้าเยน ดังนั้นเจ้าหนูมนุษย์เสือจะต้องหาเหตุผลไปขอยืมเงินพันเยนจากเขาให้ได้!”
โฮ่ย
“แล้วถ้าเจ้าหนูหลอกเขาได้ทั้งเดือนจะถือว่าสอบผ่าน!”
“นั่นมันเกินไปแล้วครับ!”
“แล้วก็.. อย่างถัดไปคือ—”
คุนิคิดะหยุดดาไซทันทีระหว่างที่เขากำลังคุ้ยกองกระดาษ
“เดี๋ยวๆ ทุกอย่างที่นายคิดมาเป็นแบบนั้นหมดเลยเรอะ? นายคิดว่าการทดสอบมันเป็นอะไรกัน? ยิ่งกว่านั้น ไม่มีทางที่เจ้าหนูจะทนตาแก่คนนั้นได้เกินเดือนหรอก เดี๋ยวเขาก็เครียดจนผมร่วงหมดหัวพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะขอยืมเงินเขาด้วยชื่อของคุนิคิดะคุงเป็นไง?” ดาไซเอ่ยและมองไปที่ศรีษะของคุนิคิดะ
“ไม่มีทาง!” คุนิคิดะตะโกนและจับศรีษะของตัวเองไว้ “นอกจากนั้น นายก็รู้ว่าทุกคนที่สำนักงานเป็นนักสืบ ช่วยคิดอะไรที่มันเหมาะสมสำหรับการเป็นบททดสอบหน่อยจะได้ไหม เช่นบททดสอบคุณธรรม จริยธรรม ความฉลาด ความกล้าหาญอะไรเทือกนั้น ”
“เอ๋? งั้นแบบนี้ดีไหม ถ้าเขาสามารถกินน้ำตาลสองกิโลกรัมหมดได้ในเวลาห้านาที—”
“เพราะมันไร้สาระแบบนั้นไง ความคิดของนายถึงใช้การไม่ได้ซักอย่าง! อีกอย่าง นายกำลังพาออกนอกเรื่องเข้าไปทุกที ชิ มีใครอีกไหมที่สามารถเสนอความคิดที่มันน่าเชื่อถือได้น่ะ”
ขณะที่คุนิคิดะกำลังทึ้งศรีษะตัวเองและคร่ำครวญออกมา ในเวลานั้น—
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ!”
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจนบานพับส่งเสียงแปลกๆออกมา
ทุกๆคนหันไปมอง
“ผมทำสวนที่หน้าบ้านจนสายไปหน่อย วันนี้ผมปลูกหัวไชเท้าชั้นดีที่ดูเหมือนจะเอามาใช้ฆ่าคนได้ด้วยล่ะครับ! เอาไว้ผมจะเอามาแบ่งให้ทุกคนนะ”
เด็กหนุ่มสวมหมวกฟางพูดกับทุกคนอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าฝ้าย ถุงมือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาเปรอะไปด้วยดินและนอกเหนือจากนั้น เขายังเดินเท้าเปล่า
เขาคือพนักงานที่อายุน้อยที่สุดในสำนักงานนักสืบ มิยาซาว่า เคนจิ
“โอ้ เคนจิคุง พวกเรากำลังรออยู่เลย” ดาไซเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเพิ่งเริ่มกันเองเพราะงั้นนายน่าจะตามการประชุมได้ทัน ตอนนี้พวกเราหารือกันไปได้เยอะแล้วล่ะ เพราะงั้นเคนจิคุง ลองออกความคิดเจ๋งๆของนายมาหน่อยสิ!”
เคนจิเอ่ยตอบอย่างร่าเริงและเดินเข้ามาภายในห้องประชุม “ครับ! ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
เขาเดินเข้ามาภายในและอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาน ก่อนที่จะหันกลับมามองทุกๆคนที่นั่งอยู่และพูดว่า “เรากำลังตรวจสอบว่าเขามีความสามารถที่จะเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบหรือไม่สินะครับ”
หลังจากที่ครุ่นคิดเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ยกมือขึ้นและหันไปหาดาไซ “โอเคครับ!”
“ว่ามาเลยเคนจิคุง” ดาไซเอ่ยและชี้ไปที่เด็กหนุ่ม
“ถ้าเขาเอาชนะการแข่งขันงัดข้อกับผมได้น่าจะดีไปเลยนะครับ!”
ทุกๆคนเงียบไปทันทีและมีท่าทีเคร่งขรึม ขนาดดาไซยังไม่เว้น
นั่นมันเป็นไปไม่ได้
ความสามารถของเคนจิคือ—”ไม่ปราชัยด้วยสายฝน”— มันคือความสามารถที่จะทำให้ร่างกายของเขามีสมรรถภาพเทียบเท่ายอดมนุษย์ หรือก็คือเขามีพลังกายที่แข็งแกร่งมาก เขาสามารถโยนรถทั้งคันอย่างง่ายดาย มีครั้งหนึ่งที่เขาแข่งงัดข้อกับนักซูโม่สามคน และเขาสามารถโยนทั้งสามคนนั้นให้ลอยหายไป
แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่านักซูโม่ทั้งสามลอยไปตกที่ไหน
นั่นคือการแข่งงัดข้อกับเคนจิ
ในหัวของทุกคนที่นั่งอยู่ เพียงสิ่งเดียวที่พวกเขานึกออกคือแขนของเจ้าเด็กใหม่ที่ถูกฉีกออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน
“อืม.. นั่นมันค่อนข้าง..” ทานิซากิที่นั่งเงียบเอ่ยออกมาอย่างหวาดกลัว เขามองไปรอบๆด้วยสายตาเหมือนปลาตาย
ถัดไปจากเขา โยซาโนะแสยะยิ้มกับตัวเองและพึมพัมเบาๆ “..อาจจะใช้ได้ก็ได้” ทานิซากิตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“ม-มีความคิดอื่นอีกไหมครับ?”
“ความคิดอื่นหรอ” เคนจิเอ่ยพร้อมเดินไปรอบๆห้องพร้อมกับใช้ความคิด
“แน่นอนว่าสำนักงานนักสืบต่างให้ความสนใจกับเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวัน” เคนจิพูดพร้อมประกบมือเข้าหากัน “พวกเราไม่สามารถที่จะพยายามปิดคดีและไขข้อสรุปด้วยอารมณ์ชั่ววูบได้—อย่างน้อยประธานก็น่าจะพูดแบบนั้น ตอนนี้ที่บ้านของผมมีไร่เปล่าที่อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการเพาะปลูก ผมคิดว่าถ้าให้เขาไปไถดินทุกวันและตัดสินเขาโดยใช้ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนตุลาคมน่าจะดีไม่น้อยนะครับ!”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
พวกเราชักจะถลำลึกเกินไปแล้ว นั่นคือสีหน้าของพวกเขา
“อะ เอ่อ.. นั่นสินะ” ทานิซากิเอ่ยออกมาอย่างกล้ำกลืน
“ฉันคิดว่าทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดครึ่งแรกนั่น แต่.. มันคงอีกซักพักกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงนะ.. ใช่ไหมครับคุนิคิดะซัง?”
“ช-ใช่แล้วล่ะ” คุนิคิดะเอ่ยด้วยความแปลกใจ เขาไม่นึกว่าจะโดนเรียกอย่างกระทันหันแบบนี้
“งั้นหรอครับ” เคนจิเอ่ยด้วยความผิดหวังแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจ “งั้นแบบนี้ไหมครับ ที่หมู่บ้านของผมมีพืธีกรรมที่ใช้สำหรับการคัดเลือกอยู่อย่างหนึ่ง”
“โอ้ อะไรหรอ?” ทานิซากิถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
เคนจิเป็นคนพื้นเมืองที่มาจากชนบทอันแสนไกล ลึกเข้าไปในหุบเขาในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางป่าไม้และหนองน้ำ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ประธานพาเขามาเข้าร่วมกับสำนักงานนักสืบ เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ท่ามกลางไร่นาและฟาร์มสัตว์ และนี่เป็นเหตุผลที่เขามีกลิ่นอายของธรรมชาติอยู่รอบตัวราวกับเขาเกิดมาจากดิน
“การได้สิทธิเข้ารับเลือกให้ร่วมกลุ่มยุวชนต้องมีสิ่งจำเป็นบางอย่าง โดยส่วนมากจะเกี่ยวกับเกษตรกรรม แต่ว่าลองอันนี้ดูไหมครับ?” เคนจิเอ่ยและชี้นิ้วขึ้น “การพยากรณ์อากาศ”
“หืม..น่าสนใจดีนะ ว่ากันว่าอากาศเป็นสิ่งที่สำคัญต่อเกษตรกร ถ้าเขาสามารถพยากรณ์อากาศของวันพรุ่งนี้ได้โดยที่ไม่ใช้ตัวช่วยถือว่าเขาผ่านงั้นหรอ?”
“ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้หรอกครับ ทั้งเดือนเลยต่างหาก เราสามารถพยากรณ์อากาศได้จากสภาพของดินและสัตว์ ผมก็ทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน แดดออก มีเมฆมาก แดดออก แดดออก แดดออกในตอนเช้าแต่มีฝนในตอนเย็น...”
หลังจากนั้นเคนจิก็พยากรณ์อากาศของทั้งเดือน แต่น่าเสียดายที่ทุกคนกำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขาพูดออกมา
“นั่นมัน.. มหัศจรรย์” ทานิซากิเอ่ยออกมา “แต่.. นายมีความคิดอื่นอีกรึเปล่า”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถสื่อสารกับวัวได้ เขาจะผ่านการคัดเลือกและถ้าเขาสื่อสารกับสุนัขรู้เรื่องก็ผ่านเช่นกัน”
“หมู่บ้านของเคนจิคุงนี่สุดยอดไปเลย..” ทานิซากิพึมพัม
“ใครก็ตามที่มีความสามารถในการเรียกฝนก็ผ่าน และคนที่สามารถปลูกต้นไม้ให้โตภายในหนึ่งวันก็ผ่านเช่นกัน!”
“คนในหมู่บ้านนายนี่สุดยอดไปเลย!”
“ถ้าใครสามารถสร้างศูนย์ชุมชนภายในหนึ่งคืนได้ก็ถือว่าผ่าน”
“โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ?!” (โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิคือขุนนางคนสำคัญในอดีตของญี่ปุ่น เป็นทั้งนักรบ ซามูไรและและนักการเมืองในช่วงสมัยเซ็นโกกุ ถือเป็นผู้ที่รวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น)
“ถ้าใครสามารถชนะจ้าวแห่งปีศาจได้ก็ถือว่าผ่าน”
“ของแบบนั้นมันมีด้วยเรอะ!”
“และหลังจากนั้น”   
“ด-เดี๋ยวก่อนสิ” ทานิซากิเอ่ยเพื่อขัดจังหวะเขา “ตอนนี้พวกเรากำลังนอกเรื่องออกไปกันใหญ่แล้วล่ะ ผมว่าถ้าเรายังคุยกันแบบนี้ต่อเราคงกลับเข้าเรื่องไม่ได้ ขอโทษนะครับ.. แต่ว่าหยุดก่อนดีกว่า”
“อย่างนั้นหรอครับ?” เคนจิเอ่ยอย่างเศร้าๆพร้อมเอียงคอเล็กน้อย
และเมื่อทานิซากิหันกลับไป เขาเห็นดาไซเขียนคำว่า ‘โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ’ ลงบนกระดาน
การประชุมกันว่าด้วยหัวข้อของบททดสอบได้ดำเนินมาถึงจุดที่กู่ไม่กลับแล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาไซเสนอความคิดเห็น คุนิคิดะก็ปัดมันทิ้งทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เสนออะไรออกมา โยซาโนะก็มีเหตุผลมาคัดค้านและเมื่อไหร่ที่โยซาโนะมีความคิด ทานิซากิก็จะพูดว่า “เอ่อ.. ผมว่ามันค่อนข้าง..”
ทุกๆคนมีความพยายามที่จะเลือกหาสมาชิกที่ดีที่สุดสำหรับสำนักงาน พวกเขารวมตัวกันและใช้พลังทั้งหมดไปกับการปรึกษาหารือ— หรือบางที มันอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพียงเพราะทุกๆคนต่างมีเอกลักษณ์สุดโต่งเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีใครสามารถที่จะเสนอความคิดที่เป็นกลางออกมาได้เลย
“เด็กใหม่ต้องมีความกล้าใช่ไหม?” โยซาโนะเอ่ยและแสยะยิ้ม “งั้นลองแบบนี้ไหม เอ้า ทุกคนมองไปที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของตัวเองซะ”  
ทุกๆคนมองที่นิ้วก้อยของตัวเอง
“เริ่มต้นที่นิ้วก้อยข้างซ้ายแล้วก็หั่นมันออกมาทีละนิ้ว ถ้าเขาทนได้จนครบสิบนิ้ว เขาผ่าน”
“โหดร้ายเกินไปแล้วครับ!” ทานิซากิโวยออกมา
“ก็ได้.. งั้นแปดนิ้ว”
“นั่นเป็นการประนีประนอมที่ไร้ความหมายสุดๆ!”   
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงซะฉันก็รักษาเขาได้อยู่แล้ว” โยซาโนะเอ่ยพร้อมมุ่ยหน้า “ถ้านายไม่ให้ฉันเฉือนนิ้ว งั้นให้ฉันชำแหละของสำคัญที่ท่อนล่างของเขาออกจนกว่าเขาจะร้องขอชีวิตดีไหม?”
ชายหนุ่มในห้องถึงกับสะดุ้งโหยงและกุมหัวตัวเองราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดนั้น
“ได้โปรดหยุดความคิดแบบนั้นเถอะครับ!”
“งั้นแข่งดื่มกันไหม ถ้าเขาชนะก็ถือว่าผ่าน”
“ดื่มแอลกอฮอล์ขนาดนั้นนั้นก็เรียกว่าความรุนแรงเหมือนกันครับ!”
“เฮ่ คุนิคิดะคุง เงียบไปเลยนะ” ดาไซเอ่ย “เอาล่ะๆ ถึงเวลาของคนสำคัญแล้ว ในฐานะที่นายเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากนายจะเสนอความคิดเห็นอันแสนเปล่งประกาย มันก็ต้องเป็นตอนนี้แล้วล่ะ!”
  “ถ้านายพยายามจะยอฉันเพื่อให้ฉันเสนออะไรซักอย่าง ฉันไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่” คุนิคิดะพูดพร้อมจ้องไปที่ดาไซ “แต่ก็เอาเถอะ แบบนี้ดีไหม? ถ้าเขาฆ่าดาไซได้ถือว่าเขาผ่านการทดสอบ”
“แบบนั้นเองสินะครับ” ทานิซากิปรบมือด้วยความประทับใจ
“..นอกเหนือจากนั้นล่ะ” ดาไซเอ่ยและหรี่ตามองไปยังคุนิคิดะ
“ถ้าเกิดเจ้าหนูทำให้ดาไซหุบปากและทำให้สำนึกถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ทำลงไปจนถึงตอนนี้ได้ ถือว่าผ่าน”
“ผมเห็นด้วยครับ” ทานิซากิพยักหน้า
“อย่างอื่นล่ะ”
“หลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถขึงดาไซไว้กับไม้กระดานและใช้ไอน้ำร้อนเป่าใส่พร้อมกับใช้เข็มแทงแล้วก็ส่งกระแสจิตว่า ‘นี่เป็นความผิดของนาย ทุกอย่างเป็นความผิดของนาย’ แล้วก็ แล้วก็!”
เมื่อความคิดของคุนิคิดะเริ่มดุเดือดขึ้น เขาเริ่มแสดงมันออกมาเป็นท่าทาง ทั้งเตะ ต่อย จับทุ่ม ตาของเขาเริ่มแดงก่ำเพราะอารมณ์ร่วมอันสูงลิ่ว
ทานิซากิและคนอื่นๆในห้องประชุมถอยออกมาจากเชานิดหน่อย
“อื้ม.. โทษทีนะ” ดาไซเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กๆ แต่คุนิคิดะก็ไม่ได้ยินเขา
“แต่คุณก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจใช่ไหมครับดาไซซัง” ทานิซากิถาม
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
ตอนนั้นเอง เสียงเคาะดังขึ้นจากหน้าประตู
“ขอโทษนะคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น “ทุกๆคนคงจะเหนื่อยกับการประชุม นาโอมิเอาเครื่องดื่มมาให้ ทำไมไม่พักกันซักหน่อยล่ะคะ?”
เด็กสาวในชุดนักเรียนเปิดประตูเข้ามา
เธอมีผมสีดำสลวยยาวไปถึงหลัง ในมือของเธอมีถาดใส่ของว่าง
“นาโอมิ” ทานิซากิเอ่ยขึ้นพร้อมมองเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ “พี่นึกว่าเธอกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
“นาโอมิรออยู่น่ะ นาโอมิอยากกลับบ้านกับท่านพี่น่ะสิ~” เด็กสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไฝใต้ตาของเธอทำให้เธอดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ทานิซากิ นาโอมิ นอกจากกำลังเรียนหนังสือแล้ว เธอยังทำงานอยู่ในออฟฟิศของสำนักงานนักสืบ เธอเป็นน้องสาวของทานิซากิ
เด็กสาววางแก้วชาเขียวและซาลาเปาลงบนโต๊ะในห้องประชุมอย่างคล่องแคล่ว ควันฉุยจากซาลาเปาส่งกลิ่นหอมราวกับว่ามันเพิ่งทำเสร็จมาไม่นาน
นาโอมิขยับเข้าไปหาทานิซากิ ใกล้จนผู้เป็นพี่รู้สึกถึงลมหายใจของเธอก่อนจะพูดออกมา
“ท่านพี่คะ” นาโอมิกระซิบ “วันนี้ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ”
ในขณะที่พูด ปลายนิ้วเรียวก็ไต่ไปตามลำคอของผู้เป็นพี่ชาย
ทุกๆคนในห้องประชุมทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด—นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาบอก ทานิซาบอกว่านาโอมิคือน้องสาวแท้ๆและนาโอมิก็บอกว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งสองก็ไม่เหมือนกันเลยซักนิด
หากเปรียบเทียบกับทานิซากิ เขาเป็นคนที่มีดวงตาซื่อๆและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนนาโอมินั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่สมกับอายุของเจ้าตัว
นาโอมิมีริมฝีปากที่อวบอิ่ม ขนตาที่ยาวราวกับมีเสียงทุกครั้งเวลาที่เธอกระพริบตา ดวงตาของเธอกลมโตและลึกล้ำราวกับหุบเหวที่ไร้ก้น ถ้าหากมีหนุ่มไร้เดียงสาได้สบตากับเธอ เขาจะตกหลุมรักและหลงอยู่ในห้วงแห่งความฝันและเลือดทั้งหมดในร่างคงจะถูกสูบฉีดไปรวมอยู่ในที่เดียวกันอย่างเสียไม่ได้
และยิ่งแย่กว่านั้นคือนาโอมิมักจะพยายามสัมผัสร่างกายของพี่ชายโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง  เธอจะจับใบหูของเขาในขณะที่กำลังพูดคุย ลูบคลำต้นขาของเขาในขณะที่กำลังทำงานและหายใจรดใบหูของเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกๆครั้งทานิซากิมักจะรับรู้สึกผู้คนที่อยู่รอบตัวและแสดงท่าทางเขินอายออกมา แต่นาโอมิกลับเพลิดเพลินที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นจากพี่ชาย
“โอ้ ท่านพี่มีผ้าพันแผลติดอยู่ด้วย นาโอมิจะเอาออกให้นะคะ”
นาโอมิลากนิ้วไปตามไหปลาร้าของอีกฝ่าย และแน่นอนว่าตรงนั้นไม่มีผ้าพันแผลที่ว่าแปะอยู่
ทานิซากิหน้าแดงและกระพริบตาปริบ เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก
ทุกๆคนต่างปวดหัวกับสิ่งที่เห็น
“พวกนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรอ? พี่น้องกันทำแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ?”— นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครซักคนในสำนักงานกล้าพอที่จะถาม
ทุกคนในสำนักงานมั่นใจว่าพวกเขาแค่แกล้งกัน แต่ถ้ามีใครซักคนถามและทั้งสองตอบว่า “ได้สิ” สมาชิกที่เหลือก็ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกริยาอย่างไร
“ท่านพี่คะ นาโอมิเอาของที่สัญญาไว้มาแล้วนะ มันอยู่ในกระเป๋า คืนนี้เราจะได้—”
“เอ๋? อ-อ่า โอเค ขอบใจนะ”
นาโอมิกระซิบคำพูดถัดและก่อนที่ทานิซากิจะเอ่ยตอบอย่างกำกวม ไม่มีซักคนที่มีความกล้าพอที่จะถามว่า “พวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกัน”
“ซาลาเปาอร่อยมากเลยครับ!” เคนจิเอ่ยออกมาพร้อมกับกินซาลาเปาที่ตนได้รับ ความเป็นอยู่ที่ดีของกระเพราะอาหารของเขาสำคัญกว่าแรงดึงดูดทางเพศมากมายนัก
“นี่ นาโอมิจัง ไหนๆเธอก็อยู่ที่นี่ ลองเสนอความคิดให้พวกเราซักอย่างสองอย่างทีสิ” ดาไซเอ่ยพร้อมยกยิ้ม “ตอนนี้เราพยายามให้ทุกคนออกความเห็นว่าบททดสอบของเจ้าหนูหน้าใหม่ควรจะเป็นอะไรดี”
“โอ้ ยอดเยี่ยมไปเลย!” นาโอมิยิ้มกว้างพร้อมกอดถาดอาหารเอาไว้ “แต่อยากจะให้นาโอมิเสนอความคิดเห็นจริงๆหรอคะ?—”
“ตอนนี้เราพยายามรวบรวมหลายๆความคิดอยู่ อะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ” ดาไซตอบ “แค่บอกสิ่งที่ชอบของเธอมาก้ได้นะ”
“น—” คุนินิคิดะใช้สายตาหยุดดาไซเอาไว้
“อย่างงั้นหรอ—” นาโอมิเอียงคอพร้อมนิ่งคิดไปซักครู่ก่อนจะหน้าแดงออกมาอย่างเขินอาย เธอเสนอความคิดทั้งหมดสามอย่าง

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรสามารถเขียนลงมาในนี้ได้