Bungou Stray Dogs Fanfiction
16.10.2016
Oda Sakunosuke Birthday
**Warnings** มีการพูดถึงเนื้อหาในนิยายเล่มสองรวมถึงเนื้อเรื่องหลัก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้สปอยมากค่ะ
- - -
"The Eternal Memory"
เขาลืมตาขึ้นมา สัมผัสได้ถึงแก้วน้ำแข็งเยียบเย็นในมือ
เพราะว่าความเย็นจัดนั้นเขาจึงวางมันลง ในระหว่างนั้นได้ยินเสียงเจ้าแมวสามสีที่นอนหมอบอยู่ด้านหลังส่งเสียงครางปนหาวออกมาเล็กน้อย เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะแสงสว่างที่ไม่มืดและไม่สว่างเกินไปในบาร์ลูแปงแห่งนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเสียงจอแจที่ดังอยู่รอบข้าง จึงทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังตกอยู่ในความฝันที่เลือนรางและขมุกขมัว
ในขณะที่เขาถอนหายใจ ไถลลงไปกับพื้นโต๊ะบาร์ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงฝีเท้าที่ไม่หนักจนเกินไปและเสียงของบาร์เทนเดอร์ที่เตรียมเครื่องดื่มทำให้เขานึกรู้อยู่ในใจว่าใครกำลังมุ่งหน้ามา ...นั่นยังไงล่ะ กลิ่นที่คุ้นเคยของบุหรี่ยี่ห้อนั้น เสียงฝีเท้าที่สงบนิ่งที่ดาไซฟังเสียจนแทบจะจำจังหวะของมันได้ หางตาของเขาเห็นชายเสื้อคลุมสีครีมที่ขยับมาอยู่ข้างๆแล้วนั่งลง อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกมา
ดาไซเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ เพราะว่าเพิ่งจะฟุบลงไปจึงทำให้มึนหัวเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางให้เขาเห็นโอดะซาคุชัดน้อยลงไปแต่อย่างใด เขามองไปยังดวงตาสีฟ้าที่เจือไปด้วยควันขมุกขมัวของบรรยากาศภายในบาร์ ยิ้มและขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเหมือนอย่างทุกที “มาช้ากว่าที่คิดไว้นะ.. โอดะซาคุ”
“พอดีติดงานน่ะ” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมา มันเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกคุ้นเคยและโหยหาจนน่าประหลาด ทิ้งหน่วงอยู่ในใจจนดาไซชะงักไปชั่วครู่ ขณะที่ชายด้านข้างเขาหันกลับไปรับแก้วเครื่องดื่มที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้โดยไม่สังเกตถึงปฏิกิริยาอันผิดแปลกของเขาแม้แต่น้อย “รอมานานแล้วงั้นเหรอ ดาไซ”
มันเป็นคำถามชวนคุย เขารู้ แต่ตัวคำถามกลับทำให้เขาค่อยๆหลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ตามปกติแล้วเขามักจะตอบว่าไม่ นั่นเป็นเพราะตัวเขาเองไม่เคยเบื่อหน่ายที่ต้องรอเพื่อนของตนเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้เขากลับเปลี่ยนคำตอบนั้นที่มักจะเคยตอบอยู่เสมอ “อา... รอมานานมากเลยล่ะ ไม่เคยดีใจที่ได้เจอโอดะซาคุขนาดนี้มาก่อนเลย”
เพราะคำตอบของเขาจึงทำให้ชายผมสีแดงด้านข้างของเขากะพริบตาปริบอย่างงุนงง เพียงชั่วครู่ในนัยน์ตาสีฟ้าขุ่นนั้นก็ฉายแววตา‘เป็นห่วงจริงๆว่านายกำลังคิดอะไรอยู่’ออกมา มันเป็นแววตาที่ฉายออกมาบ่อยเสียจนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือตรงไปตรงมาเกินไปจนเผยความรู้สึกในใจของตัวเองออกมากันหมดกันแน่ แต่นั่นก็ทำให้ดาไซหัวเราะ
“เพราะอย่างนั้นโอดะซาคุก็เลยต้องเลี้ยงเหล้าชดเชยความผิดที่ให้ฉันรอล่ะนะ เอาอย่างนี้เป็นไง คืนนี้เรามาดื่มให้เมากันไปเลย!”
สิ้นเสียงกล่าวเขาก็ได้ยินเสียงคนด้านข้างถอนหายใจหน่ายปนจนใจออกมา หากแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร บาร์เทนเดอร์มองมาทางพวกเขาอย่างยิ้มๆพลางยื่นสาเกของโปรดให้อีกขวด ทว่าก่อนที่เขาจะรับมัน มือเรียวที่เพิ่งจะโผล่มาจากทางด้านหลังก็แย่งมันไป
“โอดะซาคุซัง จะปล่อยให้เขาเมาไม่ได้นะครับ พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่ ถ้าเมาหนักคืนนี้รับรองว่าดูไม่จืดแน่ๆ” อันโกะกล่าว ยึดขวดเหล้าไว้ข้างๆตนเองไม่ให้เขาเอื้อมถึงก่อนจะหันไปพูดกับบาร์เทนเดอร์ “บอส คืนนี้ผมกับดาไซคุงไม่ดื่ม ขอน้ำผลไม้แทนก็แล้วนะครับ”
“เอ๋...” เขากล่าวลากเสียง ไถลไปกับพื้นโต๊ะบาร์ด้วยท่าทีเสียดาย น่าแปลกที่ปกติแล้วควรจะต่อบทสนทนาได้มากกว่านี้ แต่วันนี้เขากลับรู้สึกไม่อยากทักทายคนที่เพิ่งมาถึงเอาเสียเลย ในวินาทีที่กำลังงุนงงกับความรู้สึกเช่นนั้น เสียงทุ้มต่ำที่เงียบไปตั้งแต่เมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศสบายๆของคนทั้งสามคน
“จะว่าไป... ดาไซ นายยังไม่ได้เอาเต้าหู้ที่ว่านั่นมาให้ฉันชิมเลยนะ”
รู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างสนใจจากทั้งสอง ทว่าเขากลับไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งตอบอย่างที่ควรจะเป็น ดาไซเอียงคอนอนไปกับพื้นโต๊ะ เส้นผมสลวยคลอเคลียไปกับบาร์หินอ่อนเงาวับพลางตอบลากเสียงอย่างเอื่อยเฉื่อย “ก็เพราะโอดะซาคุไม่ว่างซักทีนี่นา ฉันทำเตรียมไว้ทั้งหมดแล้วนะ ยังทำเผื่อไว้สำหรับหม้อไฟที่พวกเราสามคนจะไปกินกันคราวหน้าด้วย!”
สีหน้าของอันโกะซีดลงทันทีราวกับป่วยไข้เมื่อได้ยินคำที่เขาเพิ่งจะกล่าวจบ รีบยกมือขึ้นมาทำท่าหยุดทั้งสองข้างด้วยท่าทีลำบากใจ "สำหรับงานนั้นผมขอผ่านก็แล้วกันครับ โอดะซาคุซัง คุณก็ควรจะระวังหม้อไฟของดาไซคุงเอาไว้ให้ดีๆ..."
ดาไซยักไหล่ มองเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของพอร์ทมาเฟียที่กำลังคุยอยู่กับชายที่อยู่อีกฝั่งด้านข้างเขาด้วยสีหน้าเหงื่อตกแต่ก็แฝงความสนุกสนานไว้ในที ทั้งที่บรรยากาศในบาร์คืนนี้ค่อนข้างจะหนาวเย็น แต่กลับน่าแปลกที่เขารู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
นี่มันก็คือสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่รึไงกันนะ ?
มิตรภาพของพวกเขาสามคนที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เป็นสิ่งที่เขาต้องการแต่ก็ไม่ได้หายวับไปกับตาเมื่อเขายื่นมือออกไปคว้ามัน เมื่อขยับตัวในตอนนี้ ก็จะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากคนข้างๆทั้งสองที่กำลังหัวเราะอยู่ มันช่างเป็นสิ่งที่เขาโหยหา... น่าคิดถึงเหลือเกิน
‘ฉัน...’
ในขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นไปพูดคุยโต้ตอบกับบทสนทนาที่ค้างไว้ เสียงของคำพูดหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาในหัว ดาไซชะงักไปอีกครั้ง มองไปยังโอดะซาคุที่จ้องมาทางเขาอย่างงุนงง และรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่บ่าอย่างเป็นห่วงของอันโกะจากด้านหลัง เขาพยายามจะตอบรับทั้งคู่ แต่ทว่าภายในชั่วพริบตา มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เลือนรางและห่างไกลเหลือเกิน
เขาได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัวของตนเอง ทั้งที่เป็นอย่างนั้นกลับได้ยินไม่ชัดนัก เห็นภาพตัวเองใส่ชุดสีดำทั้งชุด ในมือถือดอกไม้สีขาวสะอาด กำลังพูดอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหน้ารูปถ่ายสีดำ
อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย
ช่วยพูดใหม่อีกครั้งได้ไหม
‘ฉัน... อยากให้นายได้ลองชิมเต้าหู้นั่นจริงๆนะ’
ดาไซก้มหน้าลง ในวินาทีที่ได้ยินประโยคนั้นครั้งแรกเขารู้สึกว่าเสียงของคนที่พูดคำนั้นช่างคุ้นเคย แต่ในวินาทีถัดมาที่นึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นเสียงของใคร ความรู้สึกหนาวเหน็บสายหนึ่งก็พุ่งแทรกเข้ามา
เขายื่นมือไปจับแก้วของเหลวเบื้องหน้า มันช่างเยียบเย็นเหลือเกิน
“ดาไซซังครับ! เป็นอะไรรึเปล่าครับ ดาไซซัง!!”
อัตสึชิพุ่งจากโต๊ะของสำนักงานไปยังร่างของคนคนหนึ่งที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นมา ขยุ้มเสื้อโค้ทสีน้ำตาลบนตัวเจ้าของมันจนยับย่นก่อนจะตะโกนถามอย่างเป็นห่วง คนที่ดูราวกับเพิ่งจะได้สติกะพริบตาเล็กน้อย กวาดสายตามองไปรอบๆตัว ที่สำนักงานนักสืบต่างจากบาร์ลูแปงเป็นอย่างมาก แสงสว่างที่สลัวและพอดีกับสายตาในก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้กลับเป็นแสงเจิดจ้าเสียจนดาไซคิดอยากจะเบือนหน้าหนี หากยังมีความแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือคนสองคนข้างตัวของเขาหายไป กลายเป็นคนหลายคน... ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาแทน
ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คืออัตสึชิคุง ภายในดวงตาสีม่วงเหลือบเหลืองสดใสนั้นฉายแววเป็นห่วงปนกรุ่นโกรธเอาไว้อยู่ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามถึงสาเหตุของความรู้สึกอย่างหลังนั้น เขาก็เหลือบเห็นชายหนุ่มที่ผมพะรุงพะรังจนปิดหน้าตาคนหนึ่งเกาะหลังชายอีกคนผู้ที่กำลังทานขนมหวานอยู่อย่างไม่เดือดร้อนเอาไว้ด้วยท่าทีหวาดหวั่นปนเปไปกับตกใจ ด้านข้างได้ยินเสียงเด็กหนุ่มผมขาวที่อยู่ใกล้เขาที่สุดค่อยๆอธิบายออกมา “ตอนที่กำลังทำความสะอาดสำนักงาน รัมโปซังท้าให้โพซังลองใช้พลังพาคุณเข้าไปในหนังสือน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมกับดาไซซังที่มีพลังลบล้างความสามารถของคนอื่น ถึงได้เข้าไปอยู่ในหนังสือจริงๆได้...”
เขาก้มลงมองหนังสือเล่มหนึ่งในมือตัวเอง มันคงจะเป็นหนังสือเล่มที่เขา‘หลุดเข้าไป’อย่างที่อัตสึชิว่า เมื่อพิจารณาดูดีๆ มันเป็นเพียงแค่สมุด สมุดที่เขาเอามันมาจากชั้นสองของร้านอาหารตะวันตกแห่งนั้นเมื่อนานมาแล้ว
ไดอารี่ของโอดะซาคุ
เขาไม่คิดจะอ่านมัน ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นวางของ ฝังเอาไว้เป็นความทรงจำที่ไม่คิดจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก จนกระทั่งในวันนี้ เขาได้รับรู้ถึงเนื้อหาของมันโดยที่ยังไม่ต้องอ่านด้วยซ้ำ
เสียงหัวเราะแผ่วๆหลุดออกมาจากลำคอ ก่อนจะกลายเป็นเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางความงุนงงของคนในสำนักงานนักสืบ ถึงแม้ผมสีดำที่แนบไปกับใบหน้าจะปกปิดสีหน้าของดาไซไปจนเกือบทั้งหมด แต่อัตสึชิกลับเห็นรอยยิ้มที่ราวกับจะเย้ยหยันตัวเองของคนตรงหน้าผุดขึ้นมา ครู่หนึ่ง เขาเห็นริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงกระซิบจนแทบไม่ได้ยิน
“อัตสึชิคุง.. ที่ฉันสามารถหลุดเข้าไปในหนังสือเล่มนี้ อาจจะเป็นเพราะมันเป็น‘วันนี้’ก็ได้”
วันที่ 26 ตุลาคม
ผู้ฟังนิ่งงันไปอย่างไม่เข้าใจความหมาย แต่ถึงจะไม่เข้าใจคำพูดนั้น ในตอนที่คนที่อยู่ตรงหน้าผุดลุกขึ้นและกำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน อัตสึชิก็ลุกขึ้นตาม จับแขนดึงรั้งอีกฝ่ายไว้ให้หันกลับมาเผชิญหน้า นั่นทำให้เขาเห็นเสี้ยวหนึ่งของแววตานั้น แววตาที่อัตสึชิจำได้ว่าเขาเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
เพราะว่ามือที่จับไว้ไม่ได้เพิ่มแรงบีบให้แน่น ชายตรงหน้าจึงดึงมันออกได้โดยง่ายและเดินหายไปจากหลังบานประตูโดยไม่ฟังเสียงตะโกนไล่หลังจากคุนิคิดะเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศของสำนักงานกลับมาเป็นปกติ รัมโปยื่นมือไปลูบหัวโพราวกับจะปลอบขวัญจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เคนจิหันกลับไปจิ้มมือถืออย่างใคร่รู้ ทานิซากิผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะถูกโดดกอดโดยน้องสาวของตน และโยซาโนะที่นั่งลงกับเก้าอี้พลางบ่นกับตัวเอง
“เป็นอะไรของเขา ไม่เข้าใจเอาซะเลยน้า...”
หากอัตสึชิยังคงมองไปที่บานประตูนั้น ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา เขานึกออกแล้ว สายตานั้นเป็นสายตาของดาไซซังที่มองมาทางเขาครั้งแรกที่ริมฝั่งแม่น้ำ มองมายังเขาที่ตอนนั้นเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง สกปรกไปหมดทั้งตัว และยังไม่เข้าใจถึงความหมายในการดำรงชีวิตอยู่ของตัวเอง
มันคือสายตาของคนที่โหยหาใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปเสียจนไม่สามารถเอื้อมถึง
เพราะว่าเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำมือของตัวเองเอาไว้แน่น จึงค่อยๆคลายมันออก ผ่อนลมหายใจ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตน
อัตสึชิหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดพาดอกไม้สีขาวที่ถูกวางไว้ข้างหน้าต่างร่วงลงไปยังสวนเขียวขจีเบื้องล่าง
---
Note : ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคของเรานะคะ หลังจากตรงนี้เรามีประเด็นที่อยากชี้แจงเพิ่มประมาณสามประเด็น ถ้าหากใครไม่อยากอ่านก็สามารถข้ามไปได้ แต่ถ้าหากอ่านแล้ว คงจะเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อในฟิคนี้ไม่มากก็น้อยเลยล่ะค่ะ ' v ')
ประเด็นแรก การ'หลุดเข้าไปในหนังสือ'ของดาไซ
ฟิคนี้ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าที่ดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือเป็นเพราะ'พลังของโพคุง' ที่อัตสึชิบอกนั่นก็เป็นเพราะทุกคนในสำนักงานเห็นเป็นแบบนั้น ดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือ และที่ตรงนั้นก็มีเพียงแค่คนคนเดียวที่มีพลังในการทำแบบนั้นได้ ทุกคนเห็นรัมโปแกล้งโพคุงให้ใช้พลังในตอนนั้น เลยส่งให้ดาไซเข้าไปอยู่ในหนังสือเล่มนั้นจริงๆ
แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้วางให้เป็นแบบนั้น ในที่ตอน 32 จะเห็นว่าโพคุงสามารถควบคุมพลังตัวเอง คุยกับคนที่อยู่ในหนังสือและสามารถพาออกมาได้หากบรรลุเงื่อนไข แต่ในฟิคนี้ตอนที่ดาไซอยู่ท่ามกลางแสงขมุกขมัวของบาร์ลูแปง ไม่มีการติดต่อจากคนในสำนักงานนักสืบเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่การบอก'เงื่อนไข'ในการจะหลุดออกจากโลกที่เป็นเหมือนความฝันแห่งนี้
สิ่งที่ทำให้ดาไซออกมาได้ คือเสียงของตัวเองที่ดังก้องมาจากในความทรงจำ ย้ำเตือนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ดังนั้น ในส่วนที่ว่าดาไซหลุดเข้าไปในหนังสือนั้นได้ยังไง อยากให้ลองคิดกันเองดูค่ะ (เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นไปได้มากๆ) แต่สำหรับเรา ทุกอย่างอยู่ในคำตอบที่ดาไซพูดกับอัตสึชิทั้งหมดแล้วค่ะ :)
ประเด็นที่สอง ไดอารี่ของโอดะซาคุ
เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมานานแล้วค่ะ โอดะซังอยากเป็นนักเขียนที่เขียนถึงชีวิตคนมาตลอด ดังนั้นเขาจะไม่ลองเขียนบันทึกของชีวิตตัวเองบ้างเลยรึยังไงกันนะ ซึ่งในชีวิตเขา สิ่งที่มีความสุขที่สุดนอกจากพวกเด็กๆและแกงกะหรี่ที่เป็นรักแท้ของเขาแล้ว ก็มีแต่มิตรภาพในยามค่ำคืนกับเพื่อนของเขาทั้งสองคนในบาร์ลูแปงนั่นแหละเนอะ
ในส่วนของชื่อเรื่อง เพราะว่าดาไซหลุดเข้าไปในไดอารี่ของโอดะซัง ดังนั้นมันจึงเป็น'ช่วงเวลาในหนังสือที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป' เป็นความทรงจำในช่วงแห่งความสุขชั่วนิรันดร์ และจะคงอยู่ในหนังสือนั้นไปตลอด คือ 'Eternal Memory' ค่ะ
ในส่วนของชื่อเรื่อง เพราะว่าดาไซหลุดเข้าไปในไดอารี่ของโอดะซัง ดังนั้นมันจึงเป็น'ช่วงเวลาในหนังสือที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป' เป็นความทรงจำในช่วงแห่งความสุขชั่วนิรันดร์ และจะคงอยู่ในหนังสือนั้นไปตลอด คือ 'Eternal Memory' ค่ะ
ประเด็นที่สาม อัตสึชิคุง
เราเคยเปรยๆในทวิตไว้ว่าโอดะซังกับอัตสึชิเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตดาไซ คนหนึ่งชี้หนทางที่สว่างไสวให้ ส่วนอีกคนเหมือนเป็น'หลักฐาน'ที่แสดงให้เห็นถึงผลของการเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองของดาไซในวันนั้น สำหรับเรา อัตสึชิเป็นคนที่'มอง'ดาไซมากที่สุด ถ้าหากถามว่าใครจะเป็นคนต่อไปที่สามารถเข้าใจโลกของดาไซได้ เราคงตอบว่าอัตสึชิ
ความสัมพันธ์ของคู่นี้เราไม่คิดว่าเป็นเหมือนกับศิษย์กับอาจารย์ แต่เป็นความสัมพันธ์ของคนที่ช่วยและคนที่ถูกช่วย อัตสึชิมองดาไซด้วยความเคารพและคิดว่าเป็นคนที่มอบความหมายในการดำรงชีวิตให้ จากที่เห็นในมังงะภาคกิลด์และนิยายเล่มสี่ เราว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเกินความเชื่อใจไปแล้ว และเราก็กำลังรอดูไปต่ออยู่ค่ะว่าทางเนื้อเรื่องจะปูให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ต่อไปในทิศทางไหน
จริงๆแล้วในฟิคนี้เราแฝงความคิดส่วนตัวไว้เยอะมากจนมีประเด็นให้พูดถึงเยอะไปหมด สำหรับคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเราจะไม่แปลกใจเลย T v T #รู้สึกผิดมาก ยังไงก็ตามสามารถทักมาคุยเรื่องฟิคของเราได้เสมอนะคะ ได้ทั้งติชมหรือแย้งถ้าหากมีข้อมูลไหนไม่ถูกต้อง เราพร้อมแก้ไขเสมอค่ะ
จะว่าไปนี่เป็นฟิคสำหรับวันเกิดโอดะซังนี่นา ทำไมถึงกลายเป็นดาไซเต็มไปหมดกันล่ะเนี่ย...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ