วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 3 [2/4 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 3
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 3 part 1


กองกำลังทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ที่หน้าศาลเจ้า
คนจากองค์กรมิมิคในชุดสีเทาและคนจากพอร์ทมาเฟียในชุดสูทและแว่นดำ ทั้งสองกลุ่มต่างใช้ปืนพกสาดกระสุนเข้าหากันจากทุกฝั่งของสี่แยก ลูกกระสุนพุ่งไปมาอย่างสะเปะสะปะผ่านถนน เสาสีขาวในศาลเจ้าถูกถากด้วยลูกกระสุนราวกับเสาน้ำแข็งแกะสลัก
ที่ตรงนั้นคือสนามด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ อาคารสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน กำแพงรอบนอกถูกก่อด้วยหินสีขาวเกลี้ยงเกลา เสาสีขาวหลายต้นที่ถูกใช้แทนที่กำบังในการดวลปืนถล่มลงต้นแล้วต้นเล่า
กองกำลังของพอร์ทมาเฟียมีเพียงสี่คนเท่านั้น ส่วนองค์กรมิมิคมีเก้าคน ในเรื่องของฝีมือ ปริมาณและประสบการณ์นั้น มิมิคกำลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ส่วนพอร์ทมาเฟียกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
เพราะผู้นำของกองกำลังมิมิคใช้วิถีการยิงจากหลายฝั่ง พวกเขาจึงต้องแยกออกมาเป็นกลุ่มเล็ก หนึ่งในผู้นำของพอร์ทมาเฟียออกคำสั่งให้ยิงตอบโต้ในขณะที่พวกเขากำลังถอยเข้าไปตั้งหลักในพิพิธภัณฑ์ ส่วนกองกำลังของมิมิคนั้นกลับไม่มีคำสั่งอะไร เพียงแค่เคลื่อนกำลังพลและไล่ตามศัตรูอย่างเงียบสนิท
ทหารจากองค์กรมิมิคกลุ่มแรกเดินเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ก่อนที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้น แต่นั้นก็เป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของเขา
“ไม่ชอบดื่มด่ำกับงานศิลปะงั้นเหรอ ?”
ศีรษะของนายทหารปลิวข้ามห้องไปกระทบกับกำแพงก่อนกลิ้งกลับมาที่แทบเท้าของเจ้าของ ไม่นานหลังจากนั้นเลือดสีสดก็พุ่งพรวดออกมาจากคอที่ไร้ศีรษะของร่างนั้น
เงาสีดำพุ่งผ่านจากด้านบนลงมาที่พื้น เสื้อโค้ทสีดำสนิทสะบัดพลิ้วในอากาศ
ทหารอีกกลุ่มที่กำลังตามเข้ามารู้สึกถึงสิ่งปกติก่อนจะยกปืนขึ้น
“ไร้มารยาท ที่นี่เป็นที่สำหรับจัดแสดงจิตวิญญาณแห่งศิลปะ หัดมีความเคารพซะบ้าง”
โค้ทสีดำค่อยๆบิดเป็นเกลียวพร้อมเงาดำที่หมุนไปรอบๆ ก่อนที่จะฉีกขาดเป็นสามส่วนและกลายสภาพเป็นคมดาบพุ่งลงมายังพื้น
คมดาบตัดผ่านกระบอกปืนไรเฟิลเป็นสองส่วนอย่างเรียบกริบ ปากกระบอกที่ถูกตัดร่วงออกจากตัวปืน ปลายนิ้วที่เคยวางอยู่บนไกปืนถูกฟันผ่านและร่วงลงบนพื้น ก่อนที่ลำตัวของเหล่าทหารจะถูกจับบิดจนผิดรูป ส่วนบนหันมาด้านหน้าและส่วนล่างหันไปด้านหลังก่อนที่พวกเขาจะล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า
เหล่าทหารที่โชคดีพอหนีพ้นระยะการโจมตีของคมดาบแห่งความตายหันปากกระบอกปืนเข้าใส่ชายในโค้ทดำพร้อมเหนี่ยวไกปืน
“ปืนเป็นอาวุธของคนเขลา”
เงาของชายในชุดโค้ทสีดำสนิท— อาคุตากาวะ ก้าวเท้ามาข้างหน้า
ลูกกระสุนทั้งสิบสองนัดถูกยิงออกจากปากกระบอกในเสี้ยววินาที พุ่งเข้าหาคมดาบสีดำที่กำลังก่อตัวเป็นเกราะกำบัง
ลูกกระสุนทั้งหมดถูกสไลด์เป็นสองส่วนก่อนที่จะถึงตัวอาคุตากาวะ บางนัดที่ผ่านไปได้พุ่งเข้าใส่เกราะกำบังโปร่งใสและหยุดลง
อาคุตากาวะหันหลังกลับ คมดาบสีดำแห่งความตายเคลื่อนไหวตามเขาราวกับมีชีวิต
ทั้งใบหน้า ลำตัวและขาทั้งสองข้างของเหล่าทหารผู้เคราะห์ร้ายถูกเฉือนออกเป็นสองท่อน ถึงอย่างนั้นใบมีดแหลมคมก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้นเป็นพายุสีดำและโจมตีทุกสิ่งในรัศมีจนสูญสิ้น มันเป็นพลังพิเศษสำหรับการฆ่าฟันและทำลายล้าง ถูกสร้างมาเพื่อการฆาตกรรมโดยสมบูรณ์
อาคุตากาวะยกยิ้ม
หากจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนจ้าวแห่งปีศาจทมิฬที่กำลังกลืนกินภูตผีสีเทา
“ถอย!”
สีหน้าของเหล่าทหารจากองค์กรมิมิคที่เหลือเปลี่ยนไปพร้อมๆกับสองขาที่ก้าวถอยหลัง
“สู้กับฉัน อย่าหนี!” อาคุตากาวะตวาดใส่พวกเขาพร้อมกับก้าวเข้าไปหา
ลูกกระสุนนัดแล้วนัดเล่าถูกยิงออกจากปืนพกอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่พอ แค่นี้มันไม่ได้เรียกว่าความเจ็บปวดด้วยซ้ำ! โจมตีฉันด้วยความรุนแรงที่มากกว่านี้!!”
เด็กหนุ่มในโค้ทสีดำตะโกนขึ้น น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความวิงวอน
ในเวลาเดียวกัน รถขนส่งจากองค์กรมิมิคก็ปรากฎขึ้นที่หน้าพิพิธภัณฑ์ กองกำลังเสริมพุ่งออกมาจากรถและกระจายตัวออกเป็นกลุ่มย่อย อาคุตากาวะแสยะยิ้มคล้ายสุนัขป่า ในเวลาแบบนี้—
เปลวไฟถูกยิงออกมาจากบริเวณใกล้รถคันเมื่อครู่
จรวดลูกไฟถูกยิงออกมาทิ้งซากสีแดงเพลิงไว้เบื้องหลัง ควันไฟสีทึบปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ทหารจากกลุ่มมิมิคหยุดยิง
“อะไร—”
อาคุตสกาวะมองไปรอบๆสนามรบด้วยความไม่แน่ใจ ไม่มีศัตรูคนไหนถืออาวุธอยู่ในมือ ทุกคนต่างวางปืนลงกับพื้น บางคนถึงกับยกสองมือขึ้นเหนือหัว
“ยอมแพ้?” อาคุตะกาวะพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  “เป็นไปได้ยังไง”
ท่ามกลางเหล่าสมาชิกจากองค์กรมิมิค ชายคนหนึ่งเดินออกมาด้านหน้าพร้อมสองแขนที่ยกขึ้นเหนือศีรษะ
เขาคือทหารกล้าที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติครบถ้วน เครื่องแต่งกายและเส้นผมของเขาคล้ายกับโดนดูดจิตวิญญาณออกไปทำให้เหลือเพียงประกายสีเงินหม่นแสง รูปร่างของเขาคล้ายกับทหารคนอื่นๆแต่กลับสูงกว่ามาก แต่กลับเดินอย่างเงียบเชียบราวกับไร้น้ำหนัก ที่อกเสื้อของเขาถูกประดับด้วยเหรียญตราหลากสี แววตาที่ไร้อารมณ์มองตรงมายังอาคุตากาวะ
สมาชิกของพอร์ทมาเฟียหันปากกระบอกปืนเข้าหาชายไร้อาวุธที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“นายใช่ไหม ผู้มีพลังพิเศษที่ปืนไม่สามารถทำอะไรได้”
ชายร่างสูงพูดโดยแทบไม่ขยับปาก เสียงของเขาราวกับสายลมที่พัดผ่านจากทุกทิศทาง
“คุณเป็นใคร”
“ผู้บัญชาการ.. ผู้นำของมิมิค
ทันทีที่เขาพูดจบ หน่วยประจัญบานของพอร์ทมาเฟียก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปากกระบอกปืนถูกเล็งไปยังศัตรูตรงหน้า
แววตาของอีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“ผู้บัญชาการประกาศยอมแพ้? เป็นเรื่องที่กล้าหาญ แต่ผมไม่อยากจะเชื่อ ไม่! มันต้องไม่ใช่แบบนี้!”
เสื้อโค้ทของอาคุตากาวะกลายสภาพและพุ่งเข้าไปหาชายตรงหน้า รัดแขนและขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างแน่นหนาทำให้ชายหนุ่มต้องคุกเข่าลงบนพื้น
“บอกชื่อมา หัวหน้าของมิมิค
“ฉันชื่ออังเดร ไกด์ ฉันมาที่นี่.. เพื่อสู้กับนาย” อังเดร ไกด์พูดออกมาอย่างเยือกเย็นปราศจากอาการสั่นกลัว
“หัวหน้าขององค์กรต้องการจะสู้กับผมโดยตรง ถ้าหากเป็นเรื่องจริงผมก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก แต่ผมไม่เชื่อคุณ ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังเคยได้ยินสิ่งเดียวกันจากคนอื่นมาแล้วนับไม่ถ้วน” อาคุตากาวะเอ่ยขณะมองไปยังชายตรงหน้าอย่างเย็นชา “รู้รึเปล่าว่าทำไมผมยังไม่หั่นคอคุณทิ้ง”
“เพราะ.. นั่นเป็นสิ่งที่นายถูกสอนมา?”
อาคุตากาวะปล่อยหมัดใส่หน้าอังเดรเต็มแรง เขาไม่สามารถหลบได้เนื่องจากแขนและขาที่ถูกพันธนาการ เลือดสีสดไหลออกจากมุมปาก
“ที่ผมยังไม่ทำเพราะผมได้ยินมาว่าคุณเป็นผู้ใช้พลังพิเศษ” อาคุตากาวะหยิบปืนพกเก่าแก่ที่เอวของอังเดรและเล็งไปที่เขา “ไม่ว่าเศษเดนไร้ค่าที่ผมฆ่าไปจะมีมากเท่าไหร่ ‘คนๆนั้น’ ก็จะไม่ยอมรับผม แสดงพลังของคุณออกมา ถ้าคุณมีพลังที่ว่า ผมจะทำให้ความต้องการของคุณสมหวัง”
อังเดรมองอาคุตากาวะและปืนในมือ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นี่คือพลังของนายสินะ.. ควบคุมเสื้อโค้ทงั้นหรอ” อังเดรพูดพลางเหลือบมองแขนและขาของตนที่ถูกพันธนาการด้วยพลังของอาคุตากาวะ “มันเป็นพลังที่โดดเด่นและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่.. มันก็ยังไม่พอ ไม่พอที่จะชำระล้างดวงวิญญาณของพวกเราจากตราบาป ฉันคงคาดหวังในตัวนายสูงเกินไปหน่อย”
อาคุตากาวะหน้าชาหลังจากได้ยินคำพูดของชายตรงหน้า ลมหายใจของเขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างขาดผึงจากซักแห่งในตัวของเขา
คำตอบของอาคุตากาวะคือใบมีดสีดำที่ฟาดผ่านด้วยความรวดเร็ว
เมื่อแขนและขาทั้งสองข้างถูกยึดไว้กับที่จึงไม่สามารถหลบการโจมตีแห่งความตายได้ แต่อังเดรก็ไม่มีความตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขาทิ้งร่างไปด้านหน้าและเอียงศีรษะหลบการโจมตีของอาคุตากาวะ
ใบมีดสีดำเฉือนผ่านศีรษะด้านข้างของอังเดรทำให้เส้นผมบางส่วนถูกตัดออก อังเดรเคลื่อนตัวผ่านอาคุตากาวะ ทำให้ปืนพกรุ่นเก่าใกล้จะเลื่อนหลุดออกจากมือของเด็กหนุ่มในโค้ทดำ จนเขาจำต้องเหนี่ยวไกเพื่อยึดมันไว้ ลูกกระสุนถูกยิงออกไปโดยปริยาย
แถบผ้าสีดำที่พันธนาการอังเดรตอบสนองต่อการยิงเมื่อครู่และบล็อคลูกกระสุนก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่อาคุตากาวะ ด้วยเหตุผลนั้น มือข้างซ้ายของอังเดรจึงเป็นอิสระ
อังเดรใช้ปืนพกอีกกระบอกที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดยิงใส่สมาชิกของพอร์ทมาเฟียที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกกระสุนฝังเข้าไปที่ไหล่อย่างแม่นยำและด้วยอาการช็อค กระสุนอีกหลายนัดจึงถูกกราดยิงออกมาอย่างสะเปะสะปะจากไรเฟิลของพอร์ทมาเฟีย
สมาชิกของพอร์ทมาเฟียยิงปืนสามนัด นัดหนึ่งทะลุแขนของอาคุตากาวะโดยตรง ในขณะที่อีกสองนัดฝังเข้าไปที่อกของฝ่ายเดียวกัน พวกเขาตายในทันที
“อะไร—!?”
อาคุตากาวะเปลี่ยนพลังของตนมาตั้งรับอย่างเต็มรูปแบบเพราะกระสุนที่ถูกยิงทะลุผ่านแขน ในจังหวะเดียวกันอังเดรก็เปิดฉากยิงตอบโต้ อาคุตากาวะใช้พลังสร้างเกราะป้องกันขึ้นกลางอากาศแต่เพราะอย่างนั้นแถบผ้าสีดำที่พันธนาการอังเดรอยู่จึงสลายไปทำให้เขาเป็นอิสระ
อังเดรหยิบปืนพกที่ร่วงอยู่บนพื้นและนั่นทำให้เกมพลิกทันที
พลังที่ไม่สามารถจินตนาการได้ถูกใช้งานโดยมีผู้ร่วมเหตุการณ์เป็นประจักษ์พยานจำนวนมาก ลูกกระสุนไม่ได้เปลี่ยนทิศทาง ไม่มีแม้แต่ประกายไฟหรือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากระยะห่างที่ใกล้มากก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการเปิดศึกยิงกันต่อจากเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้กลับต่างออกไป
อังเดรเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและหมุนตัวไปรอบๆโดยใช้ปืนในมือทั้งสองข้างยิงไปยังจุดตายของเหล่าสมาชิกพอร์ทมาเฟียอย่างแม่นยำ มีเพียงอาคุตากาวะที่หลบพ้นการโจมตีนี้ได้สำเร็จ การหลบเมื่อครู่แทบจะเรียกไม่ได้เลยว่าเป็นการป้องกัน เหมือนกับว่า เขาโดนบังคับให้ป้องกัน
“เกิดอะไรขึ้น? นี่คือ— พลังพิเศษ?”
ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบขึ้นโดยรอบ อังเดรหลบเลี่ยงการโจมตีกลับของไรเฟิลและคมดาบของอาคุตากาวะด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังหลบแมลง
กระสุนนัดหนึ่งพุ่งฝ่าเกราะป้องกันของอาคุตากาวะและฝังเข้าที่ท้อง ทำให้เขาถูกแรงปะทะไปด้านหลังเพราะการโจมตีเมื่อครู่
อาคุตากาวะไอออกมาเป็นเลือดขณะที่กำลังถอนกำลัง โค้ทสีดำพันรอบแผลที่แขนและท้องของเขาแทนผ้าพันแผลเพื่อหยุดการไหลของเลือด ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาไม่มีผ้ามากพอที่จะทำการโจมตีกลับและป้องกันตัวเอง สถานการณ์ทั้งหมดสำหรับเขาเริ่มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นไปได้ยังไง— มีพลังที่อันตรายกว่าผมอยู่จริงๆสินะ”
“ไม่ต้องอิจฉาหรอก ผู้ใช้พลังพิเศษแห่งพอร์ทมาเฟีย ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนพูดแบบนั้น” อังเดรยกปืนคู่ทั้งสองขึ้น  “ถ้านายมีพลัง มีประสบการณ์มากกว่านี้มันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้นายก็เป็นได้แค่ลูกเป็ดอ่อนแอ”
“คุณกำลังดูถูกผมหรอ—” อาคุตากาวะขนลุกไปทั้งร่าง โค้ทสีดำเปลี่ยนเป็นใบมีดและโจมตีอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว
แต่การโจมตีเมื่อครู่กลับไม่ได้ถูกปล่อยออกไป โค้ทของเขาถูกยิงทิ้งก่อนที่จะได้ขยับ อังเดรยิงสวนกลับทันทีที่เขาอ่านการเคลื่อนไหวของอาคุตากาวะได้
“คุณ… อ่านการเคลื่อนไหวของผมได้”
“พวกเราคือมิมิค พวกเราคือภูตผี กองทัพเดนตายที่ถูกสวรรค์หมางเมิน ก่อนที่จะถูกศัตรูที่แท้จริงชำระล้างวิญญาณ พวกเราจะย่ำอยู่ในวงเวียนของเลือดอันสกปรกนี้ต่อไป”
ในพริบตานั้น อาคุตากาวะถูกพลังอันยิ่งใหญ่ของอังเดรครอบงำจนหมดสิ้น เขาตระหนักได้ว่าคำพูดของอังเดรไม่ใช่เพียงคำล้อเล่นแต่หากเป็นความจริงทั้งหมด
“ตอบผม ผู้นำแห่งมิมิค” แม้จะมีแรงกดดันจากปากกระบอกปืนตรงหน้า อาคุตากาวะยังคงสงบนิ่ง “จุดประสงค์ในการโจมตีพอร์ทมาเฟียคืออะไร”
“ก็ไม่ค่อยมีหรอก” อังเดรตอบ “ภูติผีไม่มีความคาดหวัง พวกเราเพียงแค่ปรารถนาที่จะทำลายภูติผีที่อยู่ในตัวของเราออกไปเท่านั้น ก่อนหน้านี้พวกเราไปค้นหาสิ่งเดียวกันนี้จากองค์กร’คำบัญชาการของหอนาฬิกา’ และตอนนี้พวกเรามาที่นาย… มีอะไรจะพูดอีกรึเปล่า ผู้ใช้พลังพิเศษในโค้ทสีดำ”
“ฆ่าผม” อาคุตากาวะหลับตาลงพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย “ความรู้สึกของคุณ.. ผมเข้าใจเป็นอย่างดี ขอโทษด้วยที่ผมไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่คุณตามหาได้”
“ลาก่อน”
อังเดรขยับนิ้วเพื่อเหนี่ยวไก


[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 3 [1/4 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 3
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 part 6
ผมกำลังนั่งอยู่ในขณะที่ฝนตก
เวลาหมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับไม่มีที่สิ้นสุด สรรพเสียงรอบตัวถูกกลบด้วยเสียงของสายฝนทำให้โลกทั้งใบราวกับกลายเป็นเมืองร้าง
หยาดน้ำฝนเทกระหน่ำบดบังทิวทัศน์ภายนอก ละอองน้ำจากสายฝนและไอทะเลลอยคล้อยอยู่ในอากาศ ทุกอย่างดูเศร้าสร้อยไปหมด  มีเพียงกระจกใสบางๆเท่านั้นที่กั้นระหว่างผมและความเปียกแฉะนั่น
ที่นี่คือโรงน้ำชา ตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบสี่
ผมกำลังอ่านหนังสือ
มันเป็นหนังสือเก่า หน้าปกและสันของมันเปื่อยและขาดวิ่น ยิ่งไปกว่านั้นบางส่วนของมันก็ถูกทำลายไป หนังสือเล่มนี้เก่ามาก แทบทุกหน้าเต็มไปด้วยตัวอักษรที่เลือนราง
ผมเจอหนังสือเล่มนี้ตอนที่ผมยังทำงานเป็นนักฆ่ารับจ้าง ผมนำมันกลับมาด้วยเพราะเจ้าของเดิมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านมันอีกต่อไป
ผมพลิกหน้าหนังสือผ่านไป
ความอ่อนต่อโลกของตัวผมในตอนนั้นและตอนนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ผมเป็นนักฆ่าที่ไม่เคยปฏิบัติงานพลาด เศรษฐีที่เดิมทีเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้และครอบครัวของเขากลายเป็นเพียงซากสกปรกที่ประดับอยู่บนฝาผนังในที่เกิดเหตุฆาตกรรม
ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำไมผมถึงนำหนังสือเล่มนี้กลับมาด้วย จำได้เพียงอะไรบางอย่างที่ดลใจผม ในตอนนั้นผมไม่ได้ชอบอ่านหนังสือด้วยซ้ำ แต่หนังสือเล่มนี้กลับต่างออกไป
มันเป็นนิยายเก่าๆ ฉากในเรื่องคือเมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยตัวละครมากมาย ตัวละครเหล่านั้นเล็กจ้อยอ่อนแอและมักจะวิ่งเข้าใส่ปัญหาไร้สาระ แต่มันกลับน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ทำงานเสร็จผมมักจะมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมในโรงน้ำชาและอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน
และวันนี้ผมก็อ่านหนังสือเล่มเดิมเช่นทุกครั้ง
“เจ้าหนู แกเอาแต่อ่านหนังสือนั่น ถามจริงเถอะ มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไง”
ทันใดนั้นเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกให้ผมเงยหน้ามอง
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าผมเป็นชายที่มีรอยยิ้มกวนประสาท เขาถือไม้เท้าอยู่ในมือ ที่มุมปากของเขามีหนวดอยู่นิดหน่อย ผมเคยเจอเขาก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ครั้ง
“มันน่าสนใจ” ผมตอบ
ชายคนนั้นมองผมราวกับกำลังมองของแปลก
“แกมันเด็กประหลาด มีหนังสืออีกหลายเรื่องในโลกนี้ที่น่าสนใจกว่านิยายเล่มนั้น”
ผมมองเขาแต่ไม่ได้ตอบอะไร ให้ว่าตามตรง ผมเองก็ไม่สามารถจะอธิบายให้เขาฟังได้ว่าทำไมผมถึงอ่านหนังสือเล่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แล้วเล่มสุดท้ายของมันอยู่ที่ไหนล่ะเจ้าหนู”
ผมมองหนังสือบนโต๊ะ มีเพียงแค่เล่มแรกและเล่มสองวางอยู่
มันเป็นความผิดพลาดเพราะผมหาเจอเพียงแค่สองเล่มแรกเท่านั้น ผมพยายามตามหาที่ร้านขายหนังสือเก่าแทบทุกที่แต่ผมก็ไม่สามารถหาเล่มสุดท้ายได้เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่รู้ตอนจบของมัน
“ผมไม่มีเล่มสุดท้าย” ผมตอบเขา
“เข้าใจแล้ว แกโชคดีแล้วล่ะ เล่มจบของมันน่ะห่วยมาก พออ่านจบแกจะรู้สึกเหมือนสมองโดนควักออกมาล้างน้ำเลยล่ะ อ่านแค่สองเล่มแรกเถอะ มันจะดีสำหรับตัวแกเอง”
“แค่นั้นมันไม่พอหรอก”
“งั้นแกก็เขียนขึ้นมาเองสิ” ชายหน้าหนวดคนนั้นพูดขึ้น “มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นิยายเรื่องนี้จบบริบูรณ์”
ผมนิ่งไป ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดถึงการเขียนตอนจบของมันขึ้นมาใหม่
“การเขียนนิยายก็เหมือนการเขียนชีวิตผู้คน กำหนดวิถีชีวิตและความตาย จากที่ฉันมองแล้ว แกน่าจะมีคุณสมบัตินั้น”
ผมไม่ได้ตอบอะไร และผมก็ไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเช่นนั้นด้วย วันนั้นเป็นเพียงแค่เวลาว่างหลังจากการฆ่าคนเท่านั้น แต่คำพูดของชายคนนั้นกลับมีแรงโน้มน้าวอย่างน่าประหลาด ทั้งประกายแสงในแววตาและน้ำเสียงที่มั่นคงของเขา ผมไม่เคยพบคนประเภทนั้นมาก่อน
ผมถามชื่อเขาและเขาก็บอกผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ลืมมันไปนานแล้ว
ไม่กี่วันต่อมาผมกลับไปที่โรงน้ำชาและผมพบหนังสือเล่มนึงวางอยู่บนเก้าอี้ประจำ บนหน้าปกของมันมีแผ่นกระดาษเขียนคำว่า ‘อย่าเสียใจทีหลัง’ ติดอยู่
มันคือตอนจบของหนังสือ
ในวันนั้นผมใช้เวลาทั้งวันในการอ่านมันจนจบ
แล้วความคิดของผมก็—






ผมได้สติขึ้นมาอีกทีบนเตียง
แขนทั้งสองข้างถูกพันด้วยผ้าพันแผล ขณะที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดที่ได้รับจากระเบิดก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทำให้ผมต้องส่งเสียงร้องออกไป
ที่นี่คือห้องเดี่ยวในโรงพยาบาล มันสะอาด ว่างเปล่าและเงียบสนิทราวกับห้องดับจิต ชายในชุดสูทและแว่นกันแดดยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่หน้าประตู ทันทีที่เขาเห็นผมรู้สึกตัวเขาก็เดินจากไปเพื่อตามใครบางคน
“อา— รู้สึกตัวแล้วสินะโอดะซาคุ เป็นยังไงบ้าง” ไม่นานนักดาไซก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
“เหมือนฉันเพิ่งซ้อมเมาค้างล่วงหน้าซักห้าสิบปีในรวดเดียว..” ผมตอบพร้อมมองสำรวจไปรอบห้อง “นายเจออันโกะรึเปล่า”
“ไม่ ลูกน้องของฉันเจอโอดะซาคุสลบอยู่ตอนที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พวกศัตรูก็หายไปแบบไร้ร่องรอย อาคุตะกาวะกำลังสติแตกเพราะพลาดโอกาสที่จะได้ฆ่าพวกทรยศ ... สรุปแล้วอันโกะอยู่ที่นั่นมาตลอดเลยหรอ”
หลังจากที่ฟังจบผมก็นั่งไล่ความพินาศทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
“อันโกะถูกจับ ระเบิด หัวหน้ากลุ่มมิมิคแล้วก็หน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดดำ เห——” ดาไซกดนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากอย่างที่เขาชอบทำเวลาครุ่นคิด เขานิ่งเงียบแบบนั้นอยู่เป็นนาทีก่อนที่แววตาของเขาจะวาววับราวกับนึกอะไรบางอย่างออก ผมรออย่างเงียบเชียบ
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มีอยู่สองอย่าง” ดาไซเอ่ยขึ้น “อย่างแรกคือการโจมตีของพวกนักลอกเลียนแบบ อีกอย่างคือการเคลื่อนไหวอย่างลับๆของอันโกะกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษนั่น”
“นักลอกเลียนแบบกับพวกชุดดำนั่นมาจากคนละองค์กรสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าจะให้สันนิษฐานไปอีกขั้นก็คือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากความเกี่ยวข้องของสามองค์กร พวกเรา นักลอกเลียนแบบแล้วก็พวกชุดดำนั่น แต่ตอนนี้เราไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นหรอก ที่อันตรายจริงๆน่ะมาจากพวกนักลอกเลียนแบบ ระหว่างที่โอดะซาคุนอนเป็นผักอยู่เนี่ย ร้านค้าในเขตการปกครองของเราโดนระเบิดไปหกที่แล้ว ความอันตรายยิ่งเพิ่มขึ้นทุกนาที”
นอกจากการลักลอบนำเข้าและซื้อขายของโจร พอร์ทมาเฟียยังสนับสนุนการคุ้มครองให้กิจการร้านค้าและเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครอง ถ้าหากพวกเขาโดนโจมตีขึ้นมา พอร์ทมาเฟียจะสูญเสียรากฐานทางการเงินและความไว้วางใจจากพวกเขาไป
ใบหน้าของลุงเจ้าของร้านอาหารตะวันตกแว้บขึ้นมาในความคิด ร้านนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในความรับผิดชอบของผม
“แต่พวกร้านเล็กๆน่ะไม่ตกเป็นเป้าหรอก” ดาไซเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความคิดผมออก “องค์กรนักลอกเลียนแบบน่ะต่างจากองค์กรอื่นที่พวกเราเคยเจอมา มันว่องไวแล้วก็โจมตีรุนแรงมาก แถมยังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ถึงเราอยากจะโจมตีฐานมันแต่มันก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย ทำให้ยากที่พวกเราจะบุกไปโจมตีมันถึงที่ เหมือนกับพวกเรากำลังต่อกรกับผีอยู่อย่างนั้น สมกับฉายาผีสีเทาของพวกมันนั่นล่ะนะ”
ผมนึกถึงสไนเปอร์ของพวกมันและสถานที่ปรักหักพังที่อันโกะถูกขัง บรรยากาศของมันมีกลิ่นอายความน่ากลัวอยู่จริงอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้บัญชาการแห่งภูตผี
เจ้าแห่งความตายที่ต้องการกลืนกินแม้แต่วิญญาณอันชั่วร้ายของพอร์ทมาเฟีย
“ฉันยังจับวิธีการโจมตีของพวกมันไม่ได้เท่าไหร่ แต่เรื่องที่มั่นใจคือพวกมันวางแผนที่จะทำลายอาณาเขตของพวกเราจนราบเป็นหน้ากลอง ถึงจะเป็นจ้าวนรกก็ยังไม่ทำอะไรที่บ้าคลั่งขนาดนั้นเลย อีกอย่าง อาคุตากาวะก็เรียกรวมหน่วยประจัญบานเพื่อเอาคืนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรายังไม่รู้พลังพิเศษของหัวหน้าของพวกมันอยู่ดี นั่นทำให้พวกเราเสียเปรียบมาก”
“ผู้ใช้พลังคนนั้น.. ที่ชื่ออาคุตากาวะ เขาเป็นลูกน้องของนายสินะ” ผมนึกและเอ่ยออกมา “ฉันจำได้ว่าเขามีพลังที่เก่งกาจมากในการต่อสู้ แค่คนเดียวยังไม่พออีกเหรอ”
“อ่า— อาคุตากาวะน่ะเป็นดาบที่ไม่มีฝัก” ดาไซยิ้มเล็กน้อย “อีกไม่นานเขาจะขึ้นมาเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในพอร์ทมาเฟีย แต่ถึงอย่างนั้น หมอนั่นก็ต้องเรียนรู้ที่จะเก็บคมดาบของตัวเองซะบ้าง”
ผมตกใจนิดหน่อย ผมไม่เคยได้ยินดาไซชื่นชมลูกน้องของตนอย่างไม่ปิดบังแบบนี้มาก่อน
“ครั้งแรกที่ฉันเจอเขาที่สลัม ฉันสั่นไปหมดเลยล่ะ ความสามารถของเขาเหนือกว่าคนอื่นมากและอันตรายอย่างที่สุด ตัวของหมอนั่นเองก็หัวดื้อใช่เล่น ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้อีกไม่นานความสามารถแบบนั้นคงย้อนกลับมาทำลายตัวเองแน่”
ดาไซไม่เคยคิดที่จะรับใครเข้ามาเป็นคนในสังกัด ยิ่งเป็นเด็กอดอยากจากสลัมยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีแผนการบางอย่างสำหรับเด็กคนนี้
“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ ภัยคุกคามของพวกเราตอนนี้ก็ยังเป็นพวกนักลอกเลียนแบบ ผู้บริหารทั้งห้าได้ประชุมกันแล้วและเราก็ตัดสินใจที่จะใช้กำลังทั้งหมดของเราต่อกรกับพวกมัน เราจะประกาศกฎอัยการศึก”
การประชุมของผู้บริหารทั้งห้าคือสิ่งที่กำหนดทิศทางของพอร์ทมาเฟีย นี่ถือเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์การจู่โจมของหัวมังกร และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมตระหนักได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ตึงเครียดขนาดไหน
“แรงจูงใจของพวกหน่วยปฏิบัติการพิเศษก็ยังไม่แน่ชัด” ดาไซเอ่ย “แต่ดูจากที่พวกมันทำกับโอดะซาคุ ฉันว่าพวกมันคงไม่เผยไต๋ออกมาตอนนี้แน่ ภัยคุกคามตอนนี้คือนักลอกเลียนแบบ ตอนนี้ลูกน้องของฉันรวมถึงอาคุตากาวะเพิ่งจะโดนจู่โจม พวกมันเหมือนสัตว์ร้ายที่กินงูพิษเป็นอาหาร การต่อสู้เกิดขึ้นที่ถนนสายหลักหน้าพิพิธภัณฑ์—”
ผมลุกออกจากเตียงในขณะที่ดาไซกำลังพูด ถึงปลายนิ้วผมจะยังชาอยู่แต่มันก็ไม่มีผลในตอนต่อสู้
“โอดะซาคุ นายไม่ได้คิดจะไปร่วมสู้ด้วยใช่รึเปล่า” ดาไซกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พวกเราต้องต่อสู้ด้วยกองกำลังทั้งหมดของพอร์ทมาเฟียใช่รึเปล่า” ผมตอบขณะที่สวมเสื้อคลุมที่ถูกแขวนไว้ข้างผนัง
“ฉันคิดว่าโอดะซาคุจะไม่สนใจเรื่องต่อสู้ซะอีก” ดาไซเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันไม่สนใจ” ผมเหน็บซองปืนไว้ข้างเอว “แต่ฉันรู้สึกเจ็บในอกเพราะเหตุผลบางอย่าง คงเพราะฉันติดค้างคนสองคนเอาไว้”
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ผมเดินข้ามห้องไป ดาไซมองผมอย่างเงียบเชียบ
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปยังประตู ดาไซโยนบางอย่างมาให้ผม ผมรับมันไว้ เสียงของโลหะดังขึ้น
ผมแบมือออก มันคือกุญแจรถของผม
“เรื่องติดค้างน่ะลืมมันไปซะเถอะ คนอื่นเขาไม่สนใจหรอกว่าให้นายยืมอะไรมา”
“ฉันไม่เก่งเรื่องการลืม” ผมพูด “ดาไซ นายช่วยฉันมาหลายครั้งแล้ว ลูกน้องของนายกำลังโดนโจมตีใช่ไหม พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นเรียกว่าติดหนี้บุญคุณล่ะก็ มันทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บนะ” ดาไซยิ้มอย่างอ่อนแรง “แล้วใครอีกล่ะที่นายติดหนี้เขาอยู่น่ะ”
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ก่อนจะเปิดประตูและออกจากห้องไป
ดาไซไม่ได้ถามอะไรต่อ ทำเพียงมองส่งผมด้วยสายตา
แม้จะไม่พูดอะไรออกมา พวกเราก็มีความคิดอย่างเดียวกัน

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 2 [6/6 แปลไทย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 2
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 2 Part 5


ผมออกมาจากสำนักงานบัญชีแห่งนั้น
ผมนึกถึงอันโกะ เขาอยู่ภายในมุมซักมุมของเมืองแห่งนี้ ซึ่งกำลังถูกย้อมไปด้วยตราบาปอย่างช้าๆ
บางทีคนบาปอาจจะเป็นพวกเรา— พอร์ทมาเฟีย ในขณะที่อันโกะและองค์กรมิมิคเป็นคู่หูแห่งความยุติธรรมที่กำลังเรียกร้องบทลงโทษ ผมสามารถพูดได้ว่า การคาดเดาเช่นนี้มีเหตุผลรองรับอยู่ ผม ดาไซ บอสและคนอื่นๆอาจจะต้องรับผิดชอบต่อบาปของพวกเราด้วยการตายอย่างโดดเดี่ยวและโศกเศร้า นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์ความยุติธรรมของโลกใบนี้ก็เป็นได้
ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ขณะที่ผมกำลังออกจากสำนักงานบัญชี ผมได้รับโทรศัพท์จากดาไซ
“อาา โอดะซาคุ โทษทีนะ ฉันจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันได้เบาะแสบางอย่าง นายมาหาฉันตอนนี้เลยได้ไหม?”
จากสิ่งที่ดาไซบอก เขาพบใบไม้เหี่ยวๆขนาดใหญ่ใต้รองเท้าของทหารจากองค์กรมิมิค
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ระยะเวลาที่ต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่จะเหี่ยวเฉา ช่วงเวลาเดียวที่ต้นไม้ชนิดนี้เหี่ยวเฉาลงมีเพียงช่วงใบไม้ร่วงเท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนั้นต้นไม้ชนิดนี้ก็ไม่ได้เหี่ยวลงได้ง่ายนัก
ความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวคือการใช้ยากำจัดวัชพืชที่จะสามารถทำให้ต้นไม้เหี่ยวลงได้โดยฝีมือของมนุษย์ ดังนั้นลูกน้องของดาไซจึงกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ที่ยากำจัดวัชพืชถูกใช้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่มีการใช้ยากำจัดวัชพืชกำจัดต้นไม้ในเขตชานเมืองของโยโกฮาม่า
เพราะว่าการวางแผนต่อขยายถนน ผู้เชี่ยวชาญจึงอนุญาตให้ใช้ยากำจัดวัชพืชจัดการกับต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณทั้งสองข้างทาง สถานที่นี้อยู่ในบริเวณหุบเขาที่ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตา
ในบริเวณนี้มีเพียงสถานีตรวจสอบและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเท่านั้น และมันถูกทิ้งร้างเอาไว้มากกว่าสิบปี และตอนนี้ก็เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
มันเป็นพื้นที่กว้างขวางและไม่สะดุดตาซึ่งเป็นผลดีต่อการนำเข้าสินค้า ถ้าหากองค์กรมิมิคไม่มีฐานที่ตั้งในประเทศแห่งนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น ผมขับรถไปตามทางด่วน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ผมลงจากรถเมื่อถึงกลางทางและเริ่มออกเดิน เมื่อเดินตัดผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยหญ้ารก ผมก็มองเห็นอาคารที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ซึ่งกำลังถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง
มันคือซากของอาคารสามชั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เลื้อยที่กำแพงด้านนอก สีของอาคารหลุดลอกออกจนแทบหมดด้วยกาลเวลาและลมฝน ที่ใจกลางของอาคารมีหอสังเกตการณ์ที่คอยสอดส่องความเป็นไปบนฟากฟ้า ยอดบนสุดของมันมีบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายลูกบอลเชื่อมต่อกันอยู่
ดินและต้นไม้ดูดซับเสียงทำให้บริเวณรอบๆเงียบสงัดราวกับอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันแสนสงบ ไม่มีแม้แต่สัญญาณของมีสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนอยู่
หลังจากครุ่นคิดซักพัก ผมตัดสินใจที่จะเดินสำรวจภายในอาคารก่อนที่ลูกน้องของดาไซจะมาถึง เพราะสังหรณ์ใจบางอย่าง
ถ้าลางสังหรณ์ของผมถูกต้อง มันน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับอันโกะหลงเหลืออยู่ที่นี่
เป็นข้อมูลที่สมาชิกมาเฟียคนอื่นๆจะไม่มีทางมองเห็นอย่างแน่นอน
ผมเดินผ่านพงหญ้าและเข้าไปภายในอาคาร ชั้นล่างมีเพียงความว่างเปล่า นอกเหนือจากกระเบื้องที่แตกหัก เก้าอี้สนิมเขรอะที่ถูกวางทิ้งไว้และซากของเต่าทอง มันไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น กระดานไม้ถูกตอกตะปูติดไว้กับบานหน้าต่างทำให้แสงอาทิตย์สาดเข้ามาเป็นเส้นตรง ทำให้ผมเห็นเศษฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ
มีรอยเท้าอยู่บนพื้น มันเป็นรอยเท้าของทหาร ดูเหมือนว่ามีคนเข้าออกที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
บันไดที่ทอดไปยังชั้นสองเก่าจนราวกับว่ามันจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ระหว่างที่ผมกำลังมุ่งหน้าขึ้นไป เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นมาภายในอาคาร ถึงแม้จะไม่ต่างอะไรกับเสียงของแมวแต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ผมก้าวขึ้นบันได ที่ชั้นสองและสามไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ตามลางสังหรณ์ของผม
ผมยังคงเดินขึ้นบันไดไปที่หอสังเกตการณ์
เมื่อขึ้นไปด้านบน ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง มีใครบางคนอยู่ด้านใน
เมื่อเขาเห็นผม ชายคนนั้นตะโกนออกมา
“โอดะซาคุซัง คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
ผมไม่สนใจคำพูดของเขาและวิ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที
ชายคนนั้น— ซาคากุจิ อันโกะกำลังพยายามทำให้มือทั้งสองข้างที่ถูกมัดไพล่หลังเป็นอิสระ แต่เชือกถูกมัดอย่างแน่นหนาจนเกินไปทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ ผมเดินอ้อมไปด้านหลังอันโกะและเตรียมที่จะแกะเชือก
“ทำไมคุณมาที่นี่! ที่นี่มันฐานทัพของศัตรู!”
“ฉันรู้สึกได้ว่านายกำลังร้องไห้ขอความช่วยเหลืออยู่น่ะ” ผมพยายามคลายเชือกนั่นแต่มันแน่นจนเกินไป
“ผมไม่ได้ร้องไห้ขอความช่วยเหลือ!”
“จริงเหรอ?” ผมสอดนิ้วเข้าไปในเงื่อนและใช้ความพยายามนิดหน่อย เงื่อนนั่นดูจะเริ่มหลวมขึ้น
“ให้ฉันลองเดาดูหน่อยว่าทำไมนายถึงรู้สึกอายขนาดนี้ พวกมิมิครู้ว่านายเป็นสายลับแล้วใช่ไหม”
“..! นั่นน่ะ..” อันโกะนิ่งเงียบไป
“ทุกคนในมาเฟียเชื่อว่านายเป็นสายลับของมิมิคที่แทรกซึมเข้ามา แต่จริงๆแล้วมันตรงกันข้าม”
อันโกะเบิกตามองผม
มิมิคให้สไนเปอร์ไปประจำอยู่ที่ห้องของนายเพื่อป้องกันไม่ให้ปืนกระบอกนั้นถูกขโมยไป แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ให้สไนเปอร์มุ่งเป้าไปที่บอสของมาเฟียล่ะ? เหตุผลนั้นง่ายมาก— เพราะนายโกหกและบอกพวกเขาว่านายไม่รู้ว่าบอสอยู่ที่ไหน ทำไมนายถึงทำอย่างนั้น? เพราะว่าสิ่งที่นายสามารถและไม่สามารถพูดเกี่ยวกับมาเฟียได้ถูกตัดสินโดยบอสยังไงล่ะ”
อันโกะหลับตาแน่นและขบฟันราวกับความรู้สึกที่ถูกกดทับอยู่ภายในใจของเขาเอ่อล้นออกมา ในที่สุดเขาก็ลืมตาและเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“โอดะซาคุซัง ได้โปรดหนีไปตอนนี้เลย ผมทำภารกิจพลาดไปแล้ว” อันโกะพยักเพยิดขึ้นไปยังชั้นบน “ระเบิดเวลาถูกติดตั้งไว้ที่ชั้นบน พวกเขาวางแผนที่จะเผาคนทรยศอย่างผมให้กลายเป็นขี้เถ้า”
“เห็นไหม นายกำลังร้องไห้ขอความช่วยเหลือ” ผมเลิกสนใจเชือกเงื่อนที่ยังแก้ไม่ออกและชักปืนออกมา “อยู่ให้ห่างๆเก้าอี้นั่นไว้ล่ะ”
ผมเล็งไปยังเป้าหมาย ยิงปืนสองนัดไปที่เงื่อนนั่นก่อนที่เก้าอี้ทั้งตัวจะสั่นสะเทือน เชือกหลุดออกไปอย่างง่ายดาย
“ไปกันเถอะ เมื่อไหร่ระเบิดนั่นจะทำงาน”
“ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าตึกมันจะถล่มลงมาตอนนี้!”
ผมช่วยอันโกะและวิ่งลงไปตามบันได ดูเหมือนอันโกะจะผ่านสิ่งเลวร้ายมาก่อนที่เขาจะถูกมัดเข้ากับเก้าอี้ เขาเดินอย่างซวนเซและใข้ฝ่ามือกดลงบนสีข้าง ถึงอย่างนั้นพวกเราก็วิ่งลงบันไดด้วยความเร็วสูงสุดจนเกือบจะกลิ้งลงมาแทน
ตอนที่ระเบิดทำงาน พวกเราออกจากอาคารได้สำเร็จ
สิ่งแรกที่ไล่ตามพวกเรามาคือแรงระเบิด




หลังจากนั้น ไอความร้อนพัดผ่านมา
พวกเรากระโจนไปด้านหน้า เหมือนจะเป็นการปลิวไปด้านหน้าซะมากกว่าและล้มลงบนพงหญ้า อากาศทั้งหมดเหมือนถูกสูบออกจากปอดของเรา
เศษซากจำนวนมากของอาคารร่วงลงมาราวกับสายฝน ถึงแม้ว่าผมอยากจะขยับหนี ตอนนี้ผมก็กลายเป็นอัมพาตไปแล้วจากแรงระเบิดเมื่อครู่ โชคดีที่เศษเหล็กชิ้นใหญ่ไม่ได้ปลิวมาทางนี้ มีเพียงเศษไม้เท่านั้นที่ถูกพัดมา แต่อย่างไรก็ตามทั้งเศษชิ้นส่วนทั้งเล็กและใหญ่ตกลงมาบนร่างของเรา กระแทกเข้ากับแผ่นหลังจนทำให้เกิดความเจ็บปวดที่แทบทนไม่ไหว
ผมใช้เวลาเกือบนาทีกว่าลมหายใจจะกลับเข้าที่ ผมไอและปัดเศษฝุ่นออกจากศรีษะ วิสัยทัศน์ของผมกลายเป็นสีแดงไปชั่วครู่ก่อนจะสลับเป็นสีขาว
“อันโกะ.. นายเป็นอะไรรึเปล่า”
“อ่า.. ผมไม่เป็นไร”
อันโกะคลานออกมาจากกองหินและหันกลับไปมองอาคารด้านหลัง ผมทำตามเขาและหันกลับไปมองเช่นกัน อาคารชั้นสองเป็นต้นไปถูกทำลายจนไม่เหลือซาก เหลือเพียงกลิ่นไหม้ของโครงตึก แม้แต่พื้นในห้องที่อันโกะโดนขังก็ถูกเป่าจนไม่เหลือซาก นั่นหมายความว่าศัตรูใช้ระเบิดปริมาณมากและมันทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะตามหาเบาะแสของพวกเขาต่อ
“บอสรู้มากแค่ไหน?” ผมถามและพยายามสูดอากาศหายใจ
“เกือบทุกอย่าง” อันโกะตอบ “เขาเป็นเพียงคนเดียวในมาเฟียที่รู้เรื่องที่ผมแทรกซึมเข้าไปในมิมิค นั่นหมายความว่าภารกิจนี้ค่อนข้างเปราะบาง ยิ่งมีคนมาเกี่ยวข้องมาเท่าไหร่ ความลับก็จะรั่วไหลออกไปได้มากเท่านั้น นี่เป็นกฎพื้นฐานของหน่วยข่าวกรองลับสุดยอด”
“ยุ่งยากซะจริง” ผมยืดตัวขึ้นและลุกขึ้นนั่งบนกองปูน “นั่นเป็นเหตุผลที่บอสสั่งให้ฉันตามหานายสินะ เพื่อปิดเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป”
ผมเป็นผู้คำ้ประกันของอันโกะถ้าหากเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอันตรายขณะที่กำลังแทรกซึมอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้อะไรเลย ไม่ต้องโกหกคนอื่นๆ ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนหรือสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ผมเป็นตัวหมากที่มีไว้ช่วยชีวิตอันโกะอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมไม่ใช่พวกที่ถูกมัดเอาไว้แล้วจะหนีจากระเบิดได้” อันโกะเอ่ยอย่างขมขื่น ส่ายหน้าไปมาเพื่อทำใจให้ปลอดโปร่ง “การตอบสนองของพวกมิมิครวดเร็วเหมือนลูกธนู และเพราะแบบนั้นผมเลยไม่สามารถทำอะไรที่จะพอช่วยชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้เลย อา.. ผมมองเห็นดาวในตาตัวเองด้วย มันคืออะไรน่ะ”
“ฉันชินกับมันแล้วล่ะ”
“ผมต้องรายงานเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด” อันโกะลุกขึ้น “หัวหน้าของมิมิคเป็นชายที่อันตรายและอำมหิตมาก เขามีความสามารถในการบัญชาการและมีความกระหายในการต่อสู้ เขาต้องการที่จะทำลายพอร์ทมาเฟียทิ้งให้สิ้นซาก พวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสามารถปาดคอตัวเองเพื่อเขาได้ ผมเคยเห็นคนทำแบบนั้นมาแล้ว”
“หัวหน้าของพวกเขาชื่ออะไรน่ะ” ผมถาม
“อังเดร ไกด์ เขาเป็นผู้ใช้พลังที่เก่งกาจเลยทีเดียว คุณไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ โดยเฉพาะคุณ โอดะซาคุซัง คนที่พบปืนในเซฟคือคุณใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ”
“ปืนนั่นเป็นสัญลักษณ์ มันมีตราประทับที่ด้ามปืนว่าผู้ครอบครองเป็นสมาชิกขององค์กรมิมิค ผมใช้เวลาตั้งหนึ่งปีถึงจะได้มันมา”
อันโกะลุกขึ้นจากกองปูนอย่างซวนเซ เขามองไปยังป่ารกราวกับว่าพยายามที่จะระบุตำแหน่งของบางสิ่ง
“ในตอนนี้ความขัดแย้งขององค์กรมิมิคและพอร์ทมาเฟียเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในหัวของคนพวกนั้นมีเพียงการต่อสู้ ถ้าจะให้พูดตรงๆคือ ศัตรูจะเป็นใครก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถลากอีกฝ่ายออกไปยังสนามรบได้ ถึงขนาดที่ว่าพวกเขายินดีที่จะเต้นรำอย่างสนุกสนานกับสุนัขเฝ้าประตูนรกเลยล่ะ ถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่าง เมืองทั้งเมืองก็คง— โอ๊ย!”
ผิวใกล้ขมับของอันโกะเป็นแผลถลอกและมีเลือดไหลลงมาเป็นทาง ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้เขา อันโกะเอ่ยขอบคุณและรับไว้ก่อนที่จะกดมันลงไปบนแผล
“พวกเขาเป็นคนประเภทไหนกันน่ะ”
“พวกเขาเป็นทหาร คุณคงจะเดาออกแล้วล่ะ พวกเขาเป็นทหารที่เหลือจากสงครามก่อนหน้านี้ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นอกสนามรบ พวกเขาเป็นภูติผีสีเทาที่ไม่มีเจ้านาย จนถึงตอนนี้พวกเขาถูกครอบงำด้วยสงคราม—”
อันโกะมองไปยังเส้นทางรกครึ้มและเอ่ยขึ้น
“นั่นอะไรน่ะ”
ผมมองตามอันโกะ เทมาริสีน้ำเงินกลิ้งลงมาตามทางเดินหิน มันคือเทมาริที่เด็กๆเอาไว้ใช้โยนเล่น ปลิวมาจากที่ไหนซักแห่งเพราะแรงระเบิดรึเปล่านะ?
ผมหยิบมันขึ้นมาในขณะที่มันกลิ้งมาที่เท้าของผม มันเป็นเทมาริสีน้ำเงินเข้ม ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและมีขอบผ้าที่หลุดลุ่ย มันมีลวดลายที่สวยงามและน่าหลงใหลอย่างประหลาด
ผมหมุนเทมาริในมือ มันใหญ่พอที่จะถือด้วยสองมือ ผมมองด้านล่างของมัน ไม่มีอะไรพิเศษ—
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นพื้นดินก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวผมกำลังล้มลง ถึงผมจะใช้สองแขนเพื่อทรงตัวผมก็ยังล้มลงไปด้านหน้า วิสัยทัศน์ของผมเริ่มพร่ามัว ความรู้สึกน่าขยะแขยงบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นมา


image




ผมมองไปที่มือทั้งสองข้างที่เปรอะไปด้วยของเหลวสีน้ำเงินเข้ม นี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่อยู่บนเทมาริ มือของผมที่ถูกสัมผัสด้วยของเหลวสีน้ำเงินนั่นเริ่มชา เสียงเตือนในสมองของผมดังขึ้นจนถึงขีดสุด
นิมิตรจบลง
ผมยืนอยู่ท่ามกลางกองปูน
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ถึงผมจะเห็นนิมิตเมื่อครู่ ผมก็ถือเทมาริไว้ในมือแล้ว
ผมรีบขว้างเทมาริทิ้งไปอย่างรวดเร็วแต่มันก็สายเกินไป ความง่วงงุนที่ผมรู้สึกก่อนหน้าเริ่มปรากฎขึ้น ผมถูของเหลวสีน้ำเงินในมือลงบนเสื้อแจ็คเก็ต แต่ของเหลวนั้นได้ซึมลงบนผิวของผมและผ่านเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว
พลังพิเศษของผม— “ไร้ที่ติ” (Flawless) ทำให้เกิดภาพในอนาคตขึ้นในหัว ความยาวของนิมิตจำกัดอยู่ที่ห้าถึงหกวินาที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สามารถคาดเดาการโจมตีของสไนเปอร์ ระเบิด และการเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบและหลบเลี่ยงมันได้
ถึงอย่างนั้น แม้ผมจะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ ผมก็ตกลงสู่กับดักอยู่ดี— เหมือนอย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้— ถึงผมจะสามารถคาดเดาได้แต่ผมก็ไม่สามารถหลบมันได้ ระยะเวลาที่ผมใช้ในการหยิบลูกเทมาริขึ้นมานั้นเกินหกวินาที มันสายเกินไปแล้ว
ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร เขาต้องรู้เกี่ยวกับพลังของผม และจำนวนคนพวกนั้นก็มีไม่มาก
เหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมา ผมต้องการที่จะเตือนอันโกะแต่ผมไม่สามารถส่งเสียงได้
เงาดำปรากฏขึ้นเบื้องหลังอันโกะ
สี่คน.. ไม่สิ ห้าคน ทุกคนแต่งกายในเครื่องแบบปฎิบัติการสีดำสนิทราวกับสีของท้องฟ้าในยามราตรี พวกเขาสวมหน้ากากป้องกันควันพิษเอาไว้
พวกเขาไม่ใช่มิมิค ปืนในมือของพวกเขาไม่ใช่ปืนพกรุ่นเก่าสีเทาแต่เป็นปืนไรเฟิลรุ่นล่าสุด พวกเขาคือหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้น ชายคนนั้นวางมือลงบนบ่าอันโกะ อันโกะหันหลังกับไปและพยักหน้าให้เขาราวกับจะพูดว่า “ฉันรู้”
“โอดะซาคุซัง ขอโทษที่สร้างปัญหาให้กับคุณ”
อันโกะเดินเข้ามาและวางเช็ดหน้าคืนลงบนมือผม ผมไม่สามารถกำผ้าเช็ดหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่มีความพร้อมในการต่อสู้
อันโกะดึงถุงมือผ้าไหมสีขาวออกมาจากกระเป๋าและสวมลงบนมือขวา ก่อนจะใช้มือข้างนั้นหยิบลูกเทมาริขึ้นมา
“คุณสามารถรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ได้— ข้อมูลภายในของมิมิคล้วนเป็นเรื่องจริง ถ้า.. ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณ ดาไซและผมไปดื่มด้วยกันอีก.. ที่เดิมเวลาเดิม”
หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทุ้งศอกใส่อันโกะ ส่งสัญญาณให้เขา อันโกะทำเพียงแค่มองตอบก่อนจะหันมามองผมและส่งรอยยิ้มที่แสนสิ้นหวังให้
“ดูแลตัวเองด้วย”
จากหางตาของผม ผมเห็นอันโกะหมุนตัวกลับและเดินจากไปพร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ผมไม่สามารถขยับคอได้ ไม่สามารถเหลือบมองได้ ความมืดคืบคลานเข้ามาครอบงำจากทั้งสองด้าน
ลิ้นของผมชาสนิท ผมพูดอะไรบางอย่างกับอันโกะที่กำลังเดินจากไป แต่กลับไม่สามารถจำสิ่งที่ตัวเองพูดได้ ความเหงาที่ไม่สามารถอธิบายได้เข้ามากัดกินหัวใจของผม ทำให้รู้สึกราวกับตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของอวกาศ
พวกเขาเองก็ถูกกลืนกินด้วยความมืดมิด
และในตอนนั้น สติของผมก็ดับวูบลง