คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 4
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 4 Part 6
ดาไซมองปากกระบอกปืนที่ชี้มาทางตัวเองอย่างสงบนิ่ง
“ชายังไม่พร้อม ดาไซ” โมริเอ่ย “เอาล่ะ นั่งลงซะ”
ดาไซไม่ได้ขยับตัว ชายในชุดดำเดินเข้ามาหาพร้อมกดปากกระบอกไรเฟิลจ่อลงบนหน้าผากของเขา
“โอดะซาคุกำลังรอผมอยู่”
“นั่งซะ”
ดาไซเหลือบมองปากกระบอกปืนที่ยังคงจรดอยู่บนหน้าผากของตัวเอง หลังจากนั้นเขาหันหลังกลับไปยังกลางห้อง เผชิญหน้ากับโมริ โอไกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผมคิดมาโดยตลอดว่าระหว่างพอร์ตมาเฟีย นักลอกเลียบแบบและหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษ ใครเป็นคนคอยควบคุมทั้งสามองค์กรนี้ และเมื่อผมรู้ว่าอันโกะเป็นสมาชิกของกรมผู้ใช้พลังพิเศษ ผมก็ได้ข้อสรุปว่าคือนี่เป็นแผนการของกรมผู้ใช้พลังพิเศษ ความตั้งใจของพวกเขาคือการทำให้พอร์ตมาเฟียและมิมิคที่เป็นต้นเหตุสร้างความวุ่นวายให้แก่รัฐบาลหันมาฆ่ากันเอง และถ้าหากโชคดี ทั้งสององค์กรก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน ผมคิดว่านี่คือบทละครที่เขียนโดยกรมผู้ใช้พลังพิเศษที่เป็นเหตุผลเบื้องหลังเรื่องราวครั้งนี้ แต่ผมคิดผิด”
ดาไซหยุดชั่วครู่หลังจากเอ่ยเสร็จและมองไปที่โมริ
โมริยกยิ้มพลางยกไหล่ขึ้น “ฉันฟังอยู่”
“คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือคุณ บอส ใช้มิมิคที่ผิดกฎหมายเป็นเครื่องมือแล้วดึงกรมผู้ใช้พลังพิเศษมาร่วมบนโต๊ะเจรจา และตัวหมากที่อยู่กลางแผนการนี้คืออันโกะ”
ดาไซหรี่ตาลง
“บอส ที่คุณส่งอันโกะให้เข้าไปแทรกซึมในมิมิคไม่ใช่เพื่อการล้วงข้อมูล แต่เป็นเพราะคุณรู้ว่าเขาเป็นสายลับจากกรมผู้ใช้พลังพิเศษมาตั้งแต่ต้น ผมพูดถูกรึเปล่า”
โมริไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดเมื่อครู่ เขาเพียงส่งเสียง “หือ...”
“ถ้าลองคิดแบบนี้ ความหมายที่อยู่เบื้องหลังความจริงหลายอย่างก็จะเปลี่ยนไป ในเวลาที่อันโกะส่งข้อมูลของพวกมิมิคมาให้เรา เขาก็ส่งข้อมูลเดียวกันนี้ให้กรมผู้ใช้พลังพิเศษด้วย พวกเขาเป็นผีที่ไม่รับฟังและไม่ต้องการการเจรจาต่อรอง สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการต่อสู้เท่านั้น ความอันตรายขนาดนั้นไม่มีทางเทียบได้กับพอร์ตมาเฟีย ถ้าเรื่องราวเลยเถิดไปมากกว่านี้ ความขัดแย้งจะต้องเกิดขึ้นระหว่างมิมิคและรัฐบาลแน่ นี่เป็นสิ่งที่กรมผู้ใช้พลังพิเศษคิดไว้ อีกอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้คือการจุดไฟสงครามขึ้นระหว่างพวกเรากับมิมิค พวกเขากวนน้ำให้ขุ่นโดยใช้ข้อมูลจากอันโกะ ตราบเท่าที่มิมิคกินเหยื่อที่วางเอาไว้ก็ไม่มีเหตุผลที่พอร์ตมาเฟียจะไม่โต้กลับ พวกเขาใช้อันโกะเป็นคนจุดชนวนการต่อสู้ครั้งนี้และทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนของคุณ”
“นายประเมินฉันสูงไปหน่อย แต่นั่นก็เป็นปัญหาของฉันอยู่ดี” โมริยิ้ม “สำหรับพวกเราแล้ว องค์กรของรัฐบาลก็เปรียบเสมือนปีศาจ เป็นศัตรูที่ไม่สามารถปั่นหัวได้โดยง่าย”
“และนั่นก็ทำให้คุณคิดแผนการใหญ่นี้ขึ้นมา มูลค่าของสิ่งที่อยู่ในจดหมายนั่นคงมีค่าพอสำหรับความพยายามที่เสียไป”
ดาไซชี้ซองจดหมายสีดำในมือของโมริ
“คุณพูดถูก พวกรัฐบาลก็เหมือนปีศาจ ไม่ว่าพวกเราจะแข็งแกร่งขนาดไหน เราก็ต้องอยู่ด้วยความกลัวที่จะถูกถอนรากถอนโคนโดยรัฐบาลถ้าหากเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้า และนั่นก็เป็นค่าตอบแทนของการทำลายล้างพวกมิมิค คุณทำข้อตกลงเพื่อหนังสือรับรองนั่น”
รอยยิ้มของโมริฉีกกว้าง
ดาไซเดินเข้าไปหาเขา หยิบสิ่งที่อยู่ในซองจดหมายออกมา
บนหนังสือรับรอง ตัวอักษรถูกเขียนลงไปอย่างบรรจงและสแตมป์ทับด้วยตราของรัฐบาล
“หนังสือรับรองเล่มนี้เป็นข้อตกลงในการร่วมมือทำธุรกิจระหว่างผู้ใช้พลังพิเศษ— ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโดยผู้ใช้พลังพิเศษ”
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงปลอกกระสุนร่วงลงบนพื้น เติมเต็มห้องโถงกว้างด้วยเสียงดังกังวาล
อังเดรเล็งมาที่ผมแต่ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งปืนของเชาออกไป ลูกกระสุนถากใบหน้าด้านของของผมและปลิวไปด้านหลัง
ผมยกปืนขึ้น ทิ้งตัวลงบนพื้นและเล็งไปยังระหว่างคิ้วของเขา เขาเอื้อมมืออกมาและคว้าที่ข้อศอกของผม วิถีกระสุนเปลี่ยนไปทำให้ลูกกระสุนพุ่งไปยังโคมระย้าด้านบน
ข้อศอกปะทะกับข้อมือ ข้อมือปะทะกับปากกระบอกปืน ผมขยับกายออกจากวิถีกระสุนของศัตรูอย่างเฉียดฉิว ลูกกระสุนพุ่งผ่านเหนือใบหูและใต้กรามของผม ด้วยระยะห่างที่สามารถทำการต่อสู้ระยะประชิดได้ ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบออกมาจากกระบอกปืนของเราทั้งคู่จนกลายเป็นกำแพงแสงระยิบระยับ
กระสุนของผมและเขาหมดลง
ระหว่างที่แขนของผมกับเขากำลังไขว้กันอยู่ เราทั้งคู่ก็เปลี่ยนแม็กกาซีน อังเดรคว้าแม็กกาซีนใหม่ที่อยู่ที่ข้างเอวออกมาในจังหวะที่ปล่อยให้แม็กกาซีนอันว่างเปล่าร่วงลงบนพื้น ผมเองก็หยิบแม็กกาซีนออกมาจากสายรัดข้อมือ
อังเดรพยายามบรรจุแม็กกาซีนลงไปในปืน ผมขยับแขนขวาเพื่อหยุดเขา ผมใช้มือซ้ายที่ยังถือแม็กกาซีนอยู่ต่อยเขาเต็มแรง แท่งเหล็กบาดลงบนผิวก่อนรอยแดงจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ถึงผมจะขัดจังหวะเขาได้แต่อังเดรก็ยังคงบรรจุแม็กกาซีนใหม่เสร็จอยู่ดี ผมขยับตัวไปด้านหลังอังเดรในขณะที่เขาหมุนตัวเพื่อจะขัดขวางการยิงของเขา ผมพยายามแทงศอกเข้าใส่เขาในการหมุนตัวครึ่งแรก อังเดรก้มตัวหลบ หลังจากผมหมุนตัวครบรอบ ผมก็บรรจุกระสุนเสร็จพอดี
พวกเราหันปากกระบอกปืนเข้าหากันแทบจะทันทีและใข้มือซ้ายกำข้อมือข้างขวาของอีกคน
พวกเราหยุดนิ่งในท่าที่ดูแปลกประหลาด
เบื้องหน้าผมและเขาคือปากกระบอกปืน มือซ้ายของผมกำกระบอกปืนของเขาและมือซ้ายของเขาก็กำกระบอกปืนของผมเช่นกัน
“ซาคุโนะสึเกะ น่าทึ่งมาก! ทำไมนายไม่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้นะ”
“ขอโทษที แต่วันนี้ฉันจะสู้กับนายจนถึงที่สุด”
ถ้าหากผมพยายามดึงข้อมือตัวเองให้เป็นอิสระ เขาจะใช้โอกาสนี้ในการยิงแต่ถ้าหากเขาทำ ผมเองก็จะตอบโต้ในแบบเดียวกัน ความสมดุลของพลังระหว่างเราทั้งสองคนทำให้พวกเรายืนนิ่งและต่อบทสนทนาต่อ
“ทำไมนายถึงหยุดฆ่าคน ซาคุโนะสึเกะ”
“ทำไมนายถึงต้องการการต่อสู้ อังเดร”
ในเวลานั้นเอง ผมได้ยินเสียงฝีเท้า เป็นเสียงของกลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้ามายังห้องโถงนี้
“นั่นลูกน้องของนายรึเปล่า”
“นั่นเพื่อนของนายรึเปล่า”
เสียงผีเท้าดังขึ้นจากทั้งก้านหน้าและหลังของห้องโถง ฟังจากเสียงแล้วพวกมีกันประมาณสิบคน ถ้าหากนั่นเป็นเสียงฝีเท้าของทหารมิมิค ผมจะไม่สามารถรับมือกับพวกเขาและอังเดรได้ในเวลาเดียวกัน ผมทำได้เพียงจัดการไกด์ให้ล้มลงก่อนจะจัดการทหารที่เข้ามาสมทบ
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกขณะ
ประตูไม้โอ๊คถูกถีบให้เปิดออก
ผมใช้จังหวะนั้นดึงข้อมือของอังเดร เสียงปืนดังขึ้นข้างหูของผม ผมด้านข้างของผมถูกสะเก็ดไฟจากการยิงเมื่อครู่แต่ผมไม่ถูกยิง
กระสุนของผมก็ถูกหลบในแบบเดียวกับ
ศอกของผมและเขาไขว้กัน
เพราะพลังของพวกเราทำให้เรารู้ว่าใครกำลังบุกเข้ามา กลุ่มคนที่เข้ามาจากประตูหน้าคือสมาชิกพอร์ตมาเฟีย ส่วนด้านหลังคือทหารของมิมิค
พวกเขาเข้ามาพร้อมกัน อังเดรและผมงอข้อศอก แขนของเราทั้งสองคนเกี่ยวกันและใช้ตำแหน่งนี้ยิงศัตรูที่อยู่ด้านหลัง
ทหารของมิมิคถูกกระสุนและเซล้มไปด้านหลัง สมาชิกจากพอร์ตมาเฟียเองก็ไม่ต่างกัน ผมอ่านความคิดของอังเดรออก จัดการกลุ่มคนที่เข้ามาขัดขวางให้หมดและผมเองก็มีความคิดอย่างเดียวกัน
อังเดรกระชากคอเสื้อของผม ผมกระชากคอเสื้อของเขา
ต่างฝ่ายต่างใช้อีกคนเป็นแกนหมุนและยิงไปยังศัตรูที่อยู่ด้านหลัง เหล่าทหารของมิมิคหงายหลังล้มลง
ที่ตรงนี้เคยเป็นห้องโถงสำหรับจัดงานเลี้ยง
พวกเรายืนอยู่ตรงกลางห้อง ปลอกกระสุนร่วงกราวลงบนพื้นราวกับเสียงปรบมือ พวกเราทั้งคู่ยังคงใช้ร่างของอีกคนเป็นแกนหมุนและยิงไปยังศัตรู
เสื้อผ้าของเราสะบัดปลิวขณะที่ขยับตัว พวกเราสลับตำแหน่งกันและใช้ไหล่ของอีกฝ่ายเป็นที่รองแขน ก่อนจะยิงไปยังศัตรูที่อยู่เบื้องหลัง
เลือดและเศษชิ้นเนื้อของเหล่าทหารกระจายไปบนกำแพง
มีเพียงแสงไฟวูบวาบและปลอกกระสุนอยู่รอบตัวเรา
ทั้งผมและอังเดรต่างเสียเลือดจากบาดแผลไปเป็นจำนวนมากจนถึงขีดจำกัด ใบหน้าของพวกเราซีดขาว ทัศนียภาพรอบตัวเบลอหม่น มีเพียงสมาธิของพวกเราเท่านั้นที่ยังคงเฉียบคม
ผมและเขาเต้นรำกันในสถานที่ที่เปรียบราวกับหุบเหวแห่งความตาย
ราวกับเป็นสถานที่ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
พลังของผมทำให้ผมได้ยินสิ่งที่อังเดรกำลังจะพูดออกมาโดยอัตโนมัติ
“รู้สึกยังไงบ้าง ซาคุโนะสึเกะ”
ผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะพูดอะไร ผมเอ่ยตอบก่อนที่เขาจะอ้าปากถาม
“นายจะพูดถึงอะไรล่ะ”
ในความเป็นจริงผมไม่ได้พูดอะไรออกมา อังเดรหยั่งรู้ในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดด้วยพลังของเขาก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบผม
“นี่คือโลกที่ฉันตามหา ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อโลกใบนี้”
พวกเราทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมาซักคำ ใช้เพียงพลังพิเศษของเราเท่านั้นในการหยั่งรู้สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามคิด และเลือกที่จะตอบมันก่อนที่เขาจะพูดออกมา ในระหว่างที่กำลังคิด คำพูดของเราถูกส่งไปให้อีกฝ่ายในระหว่างที่เขากำลังคิดคำตอบของคำถามนั้น
“ทำไมนายถึงตามหามัน”
“ทำไมนายถึงหยุดฆ่าคน”
มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีในชั่วกัปชั่วกัลป์ที่พวกเราอยู่เหนือกาลเวลา
เพราะพลังพิเศษของพวกเราผสานเข้ากับโลกแห่งความจริง ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นและอะไรคือนิมิตรที่เราเห็น เหมือนเป็นโลกอีกใบที่ซ้อนทับเข้ามา
มันเป็นโลกที่มีเพียงพวกเราสองคนที่ได้สัมผัส มันเป็นโลกที่เราจะไม่มีวันเอื้อมไปถึงถ้าเราคนใดคนหนึ่งไม่ถูกฆ่าไป
“ในตอนแรกฉันอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย มีใครบางคนบอกฉันให้ทำอย่างนั้น”
“นักเขียน?” อังเดรยิ้ม “ถ้าเป็นนายก็คงเป็นไปได้”
“ใช่”
ในโลกที่ยังมีความเป็นไปได้นั้นอยู่
“ฉันคุยกับคนๆนึง เขาให้หนังสือฉันมา เล่มสุดท้ายของนิยายที่ฉันตามหา ก่อนที่ฉันจะอ่านมัน เขาเตือนว่ามันเป็นหนังสือที่แย่มาก”
“ตอนจบมันเป็นยังไงล่ะ”
“หนังสือนั่น—”
“เพื่อที่จะได้ใบยินยอมนั่นมา คุณเริ่มวางแผนเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้” ดาไซยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานและเอ่ยปากพูดต่อ “น่าจะเป็นประมาณสองปีที่แล้วที่อันโกะเดินทางไปที่ยุโรป คุณรวบรวมข้อมูลและสั่งให้อันโกะติดต่อกับองค์กรมิมิค พวกเขาออกจากยุโรปและเข้ามาในญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมายโดยมีพอร์ตมาเฟียให้การช่วยเหลือ คุณเองเป็นคนที่นำองค์กรของศัตรูเข้ามาในโยโกฮาม่าเพื่อให้กรมผู้ใช้พลังพิเศษวิตกกังวลและบังคับให้พวกเขาทำอะไรซักอย่าง”
“ดาไซ” โมริที่นั่งฟังดาไซพูดมาโดยตลอดเอ่ยปากขัดจังหวะเขา “นี่เป็นการอนุมานที่ยอดเยี่ยม ฉันไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น ฉันอยากจะถามอะไรบางอย่าง— สิ่งที่ฉันทำมันผิดตรงไหนหรอ?”
“..............”
“ฉันบอกไปแล้ว ฉันมักจะคิดถึงภาพรวมขององค์กร อย่างที่นายเห็น ตอนนี้พวกเราได้รับใบยินยอมประกอบธุรกิจโดยผู้ใช้พลังพิเศษ ในความเป็นจริงพวกรัฐบาลก็รับรู้สิ่งผิดกฎหมายที่พวกเราทำแล้ว และตอนนี้ซาคุโนะสึเกะก็กำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อทำลายล้างพวกอันธพาลเจ้าปัญหา โชคตกลงมาใส่เราแท้ๆ ทำไมนายถึงโกรธขนาดนี้กัน?”
ดาไซเงียบสนิท เป็นครั้งแรกที่ดาไซไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้
“ผม...”
—ไม่มีอะไรมีค่าพอเพื่อที่จะยืดช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนี้ออกไป
—ช่วยปลุกฉันจากโลกแห่งความฝันอันเน่าเฟะนี้ที
“ผม… แค่...” ดาไซพยายามเค้นคำพูดออกมา “ผมยอมรับไม่ได้ คนๆเดียวที่บอกที่อยู่ของเด็กกำพร้าที่โอดะซาคุเลี้ยงไว้ให้กับพวกนักลอกเลียนคือคุณ นอกเหนือจากคุณไม่มีใครสามารถเข้าถึงข้อมูลของสถานที่ที่ผมเลือก คุณฆ่าเด็กพวกนั้น— เพื่อที่จะให้โอดะซาคุ ผู้ใช้พลังพิเศษเพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ไปสู้กับพวกเขา”
“คำตอบของฉันยังคงเหมือนเดิม ดาไซ ถ้ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ขององค์กร ฉันจะทำทุกอย่างยิ่งไปกว่านั้น พอร์ตมาเฟียเป็นที่ที่รวมความดำมืดทุกอย่างของเมืองนี้ ยังมีอะไรนอกเหนือจากนี้ให้พูดถึงอีกรึเปล่าล่ะ”
ดาไซเข้าใจ การคำนวนของโมริ ความคิดและแผนการ ทุกอย่างก็เพื่อองค์กร เพื่อความอยู่รอดของพอร์ตมาเฟีย ถ้าจะให้พูดกันด้วยเหตุผล โมริเป็นฝ่ายถูก ส่วนเขาเป็นฝ่ายที่ผิด
“แต่...” ดาไซหันหลังกลับและเดินไปยังทางออก
ลูกน้องของโมริหันปืนเข้าหาดาไซทันที
“นายไปไม่ได้ดาไซ” โมริเอ่ยด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อ “อยู่ที่นี่ หรือนายมีเหตุผลที่จะไปอยู่สู้เคียงข้างเขา”
“ผมมีสองเรื่องอยากบอกคุณ” ดาไซหันกลับมา หรี่ตาลงและมองไปยังโมริ “เรื่องแรกคือคุณจะไม่ยิงผมและจะไม่สั่งให้ลูกน้องของคุณยิง”
“ทำไม? หรือว่านายหวังว่าจะมีใครซักคนยิงนาย”
“เปล่า แต่เพราะมันเปล่าประโยชน์”
โมริยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว แต่ฉันจะพูดในสิ่งเดียวกัน มันไม่มีประโยชน์ที่จะท้าทายฉันและไปหาเขาเช่นกัน ใช่รึเปล่า?”
“นั่นคือเรื่องที่สอง บอส มันไม่มีประโยชน์หรอก ผมมีเพียงเหตุผลเดียว เขาเป็นเพื่อนของผม ผมขอตัว”
ลูกน้องของโมริยกปืนขึ้นและวางนิ้วลงบนไกปืน
ดาไซเดินทอดน่องไปที่ประตูอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกน้องคนนั้นมองไปที่โมริเพื่อรอคำสั่ง โมริยกแขนกอดอก ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยขณะมองตามเด็กหนุ่มที่กำลังเดินออกไป
ดาไซเดินผ่านประตูออกไปยังระเบียงทางเดินและหายตัวไป
Next → Chapter 4 Part 8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น