คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: Chapter 3
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Chapter 3 part 2
อังเดรไม่ได้ยิง
ก่อนที่เขาจะยิง อังเดรเคลื่อนตัวหลบอย่างรวดเร็วราวกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกมา ปากกระบอกปืนชี้ขึ้นด้านบนราวกับกำลังหลบหลีกบางสิ่ง ร่างของเขาเอนไปด้านหลัง
แต่ถึงอย่างนั้น กระสุนของโอดะซาคุก็ยิงถูกปืนของอังเดรอย่างจัง
ลูกกระสุนของผมยิงถูกปืนของเป้าหมาย ทำให้ปืนของเขาร่วงลงบนพื้น
ชายที่อ้างตนว่าเป็นผู้นำของมิมิคมีท่าทีตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด บางทีเขาอาจตกใจเพราะอาวุธของเขาถูกยิงอย่างแม่นยำในระยะทางที่ห่างออกไปไกลถึงขนาดนั้น แต่มันก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจเช่นกัน นั่นคือการที่เขาเคลื่อนตัวหลบก่อนที่ผมจะเหนี่ยวไก
แต่ผมก็ไม่อาจกังวลเรื่องนั้นได้นานนัก ผมยิงกระสุนออกไปเพื่อควบคุมสถานการณ์พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาศัตรู ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยิงตอบโต้มา ผมก็เห็นนิมิตทั้งหมดล่วงหน้าแล้ว
ผมเอียงศีรษะหลบหลีกลูกกระสุนที่เล็งยิงมา ส่วนลูกกระสุนที่ผมยิงออกไปก็ถูกหลบด้วยการเคลื่อนที่แบบเดียวกัน
เขาหลบได้ ?
“กำลังเสริมของพอร์ทมาเฟีย!”
ผมเข้าไปใกล้ศัตรูที่ยิงไม่โดนเลยซักนัดจนกระทั่งใกล้มากพอที่จะคว้าปืนของเขา ในความเป็นจริงผมตั้งใจที่จะแย่งมันมา แต่เขากลับบิดข้อมือเพื่อหลบมือของผม มันเป็นปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้ เขาอ่านการเคลื่อนไหวของผมได้
ผมเลิกล้มความตั้งใจที่จะปลดอาวุธของเขาและมุ่งไปหาสมาชิกมาเฟียคนอื่นๆที่ยังมีชีวิต สมาชิกส่วนมากหยุดหายใจไปแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มในโค้ทสีดำที่ยังคงมีสติ ผมจำได้ว่าเขาคืออาคุตากาวะ
“พวกเราจะหนี”
“ทำอะไรของคุณ!”
ผมช้อนตัวอาคุตากาวะที่กำลังดิ้นขัดขืนและวิ่งกลับไปยังถนนด้านหลัง เขาตัวเบาราวกับกิ่งไม้แห้ง ถ้าเลือดของเขายังไม่หยุดไหลคงมีเวลาเหลือไม่มากนักก่อนที่เขาจะกลายเป็นมัมมี่
ในเวลานั้นพวกเราก็ถูกต้อนรับด้วยลูกกระสุนที่ถูกยิงจากไรเฟิล พวกเขาคือทหารของศัตรู
เพราะผมได้คาดเดาการโจมตีไว้แล้ว ผมอุ้มอาคุตากาวะและหลบวิถีกระสุน ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้อาคุตากาวะร้องออกมาแต่ผมก็ไม่มีเวลาที่จะปลอบเขา ผมยิงปืนขู่ศัตรูในขณะที่วิ่งหนี และในระหว่างที่พวกเขากำลังจะโจมตีระลอกต่อไป ผมก็วิ่งเข้าไปในสวนด้านข้าง
ผมวิ่งตัดผ่านสวนในขณะที่เสียงคำสั่งให้ตามล่าดังตามมาจากด้านหลัง ในสวนมีต้นสนต้นใหญ่ขึ้นอยู่ไม่น้อยทำให้ศัตรูไม่สามารถตามเข้ามาได้ง่ายนัก แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าเส้นทางข้างหน้าจะไม่เป็นทางตัน
“ขอโทษนะ ฉันจะวางนายลง นายวิ่งไหวรึเปล่า”
ผมวางอาคุตากาวะลงบนพื้น เลือดไหลออกมาจากแผลที่ท้องของเขาอีกครั้ง อาคุตากาวะคุกเข่าลงใต้ต้นไม้
“ฉันคือซาคุโนะสึเกะ โอดะ เพื่อนของดาไซ ฉันมาเพื่อจะช่วยนายออกจากที่นี่”
ผมยื่นมือไปหาอาคุตากาวะ เขากดแผลที่ท้องเอาไว้โดยที่ไม่ขยับเขยื้อน พลังพิเศษของเขาแข็งแกร่งทั้งการโจมตีและตั้งรับ แต่ร่างกายของเขากลับอ่อนแอมาก
ผมเห็นภาพนิมิตขึ้นอย่างกะทันหัน
ผมตอบโต้สิ่งที่ผมเห็นโดยการย่อตัวไปด้านหลัง คมดาบสีดำตัดผ่านที่ๆเคยเป็นศีรษะของผมเมื่อครู่ไปราวกับสายฟ้าฟาด
“ผมเคยได้ยินชื่อของคุณ คุณเป็นแค่สมาชิกระดับล่าง”
อาคุตากาวะพูดออกมาอย่างยากลำบาก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้จัดการกับผมทั้งเป็น
“ใช่แล้วล่ะ”
“คุณบอกว่าคุณ.. เป็นเพื่อนของคนๆนั้น ดาไซซัง?” นัยน์ตาอันร้อนระอุของอาคุตากาวะจ้องมาทางผม บางอย่างกำลังเผาไหม้จิตใจของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
“ใช่แล้ว” ผมเอ่ยตอบ
“ดาไซซังเคยบอกว่าผมไม่มีทางชนะคุณได้ไม่ว่าจะซักกี่ร้อยปี” จิตสังหารแผ่ออกมาจากอาคุตากาวะ “คนๆนั้นคงไม่ได้โกหก เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยกโทษให้คุณเป็นอันขาด ทำไมเขาถึงพูดว่าผมไม่สามารถเทียบชั้นกับสมาชิกระดับล่างได้ ทำไม ทำไม ทำไม!!!”
ผ้าสีดำพุ่งเข้ามาหาผม เพราะผมเห็นการโจมตีในก่อนหน้านั้น ผมจึงกลิ้งหลบไปด้านข้าง เสียงต้นไม้ถูกกระเทาะดังขึ้นด้านหลังพร้อมๆกับต้นไม้สามต้นที่ถูกโค่นลง
“ถ้าพวกเราขัดแย้งกันเองพวกนั้นจะตามมาทันนะ”
“ทำไม! ทำไมดาไซซังถึงไม่มองมาที่ผม!”
ผมก้มตัวต่ำลงจนหน้าเกือบจะแตะพื้น หลังจากที่ต้นไม้สามต้นถูกโค่นลง คมมีดสีดำสนิทก็วกกลับมาพุ่งเข้าใส่ที่ๆเคยเป็นศีรษะของผมจากทางด้านหลัง ต้นไม้ถูกโค่นลงอีกครั้ง
ผมก้มตัวต่ำลงจนหน้าเกือบจะแตะพื้น หลังจากที่ต้นไม้สามต้นถูกโค่นลง คมมีดสีดำสนิทก็วกกลับมาพุ่งเข้าใส่ที่ๆเคยเป็นศีรษะของผมจากทางด้านหลัง ต้นไม้ถูกโค่นลงอีกครั้ง
ช่างเป็นความสามารถที่น่ากลัว ทั้งระยะในการใช้งานและความเร็วต่างก็สมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น คมมีดที่สามารถตัดอะไรก็ตามที่มันสัมผัสมีพลังทำลายล้างมากเป็นอันดับต้นๆของพอร์ทมาเฟีย เขามีความสามารถที่ทำให้คนๆหนึ่งต้องกลัวจนหัวหดตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่แปลกใจที่ดาไซตั้งใจจะเลี้ยงดูและฟูมฟักเขา
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลาที่จะมาประหลาดใจแล้ว
ผมยิงปืนใส่อาคุตากาวะ เขาใช้พลังสร้างบาเรียขึ้นกลางอากาศทำให้กระสุนของผมแตกเป็นสองซีกและร่วงลงบนพื้น
ด้วยความที่ผมรู้จักการป้องกันของเขาอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใส่เขาในระยะประชิดและเตะเข้าใส่แผลที่แขนของเขาอย่างไร้ความปราณี
“!!”
อาคุตากาวะบิดกายด้วยความเจ็บปวด พลังกายของเขาจวนเจียนจะหมดเต็มทีเพราะการใช้พลังเกินขีดจำกัดติดต่อกันและการใช้บาเรียที่เขายังไม่คุ้นชินดี อาคุตากาวะหมดสติลงทันทีจากความเจ็บปวดจากการถูกเตะที่แผลจากกระสุนปืน
เขาถึงขีดจำกัดแล้ว
ผมเคยได้ยินว่าวิธีการสอนของดาไซค่อนข้างจะโหดร้าย ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นการทำให้ได้พลังเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็ตาม อาคุตากาวะก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม พลังของเขาถูกใช้อย่างต่อเนื่องโดยการต่อสู้กับทหารของศัตรู หัวหน้าของศัตรูและผม มันไม่น่าแปลกใจถ้าเขาจะเป็นลมไปเมื่อไหร่ก็ได้ ความดื้อด้านของเขามาจากที่ไหนกัน
“ทำไมดาไซซังถึงไม่มองมาที่ผม!!”
อาคุตากาวะตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง จากท่าทีของเขานั้นแทบไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากความโกรธเกรี้ยว
“ฉันมีความรู้สึก.. ว่าจะได้เจอผู้ใช้ความสามารถที่ฉันค้นหาอยู่ในประเทศนี้”
“นายกำลังพูดถึงใคร” ผมหันกลับไป
ใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าสวน นั่นคือหัวหน้าของมิมิคและทหารอีกสามคน ไม่มีเสียงปืนให้ได้ยินทำให้บรรยากาศรอบๆสวนแห่งนี้เงียบลงยิ่งกว่าเดิม
“ฉันคืออังเดร อังเดร ฉันกำลังตามหาคนที่จะสามารถปลดปล่อยภูตผีอย่างพวกเราให้เป็นอิสระ” เขาพูด เขาเป็นคนที่มีภูมิฐาน ถ้าหากใส่สูทแพงๆและถือแก้วไวน์ซักแก้ว เขาจะสามารถไปเป็นดาราหนังได้อย่างสบายๆ
“จริงเหรอ ฉันแนะนำสัปเหร่อให้ได้นะ นายจะได้ส่วนลดด้วย”
“นั่นมันไม่จำเป็น เพราะฉันเจอแล้วล่ะ”
อังเดรเหนี่ยวไกทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ มันเป็นกระสุนที่เล็งระหว่างคิ้วของผมอย่างแม่นยำ แต่ไม่ว่ามันจะมาจากทางไหน ด้วยการที่ผมสามารถเห็นนิมิตในห้าวินาทีถัดไป ผมก็สามารถหลบมันได้อย่างไม่เปลืองแรง
ผมก้าวไปทางขวาครึ่งก้าว
ลูกกระสุนยิงถูกผมอย่างแม่นยำที่หว่างคิ้วและหัวใจ มันเจาะเข้ากะโหลกและทะลุผ่านสมอง การโจมตีเมื่อครู่ทำให้ศีรษะของผมหงายไปด้านหลัง
นิมิตสิ้นสุดลง
มันคือการคาดเดาจากพลังของผม ผมหยุดความคิดที่ตีกันอยู่ภายในหัวและหลบไปทางซ้ายที่เป็นทิศทางตรงกันข้ามกับนิมิตที่ผมเห็นก่อนหน้า แต่ในเวลาเดียวกันนั้นกระสุนก็ยังพุ่งเข้าเจาะกะโหลกผม ส่วนลึกในสมองสั่นสะเทือนเพราะแรงกระแทก เสียงเฉอะแฉะดังก้องขึ้นภายในหู
ผมยืนนิ่งด้วยความงุนงง
ปืนของอังเดรยังคงเล็งมาในตำแหน่งเดิมตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้ยิงออกมาแม้แต่น้อย
ผมรู้สึกงุนงงราวกับถูกลากลงไปในห้วงน้ำลึก
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?
“ความสับสนของนายก็คือความสับสนของฉัน” อังเดรเอ่ยและลดปืนลง “เพราะนายมีความสามารถอย่างเดียวกับฉัน นายสามารถเห็นนิมิตที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วินาทีถัดไปได้ ตอนนี้ฉันเห็นว่านายเคลื่อนหลบไปทางขวาดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนตำแหน่งการเล็ง แต่นายเห็นนิมิตอีกครั้งนายเลยหลบไปอีกทางและฉันก็เห็นนิมิตที่นายเห็นเช่นกัน เข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า?”
ความสามารถอย่างเดียวกัน?
“ความสามารถในการเห็นอนาคตมันทรงพลังมาก ทำให้ไม่มีใครได้เห็นความตายของนาย นอกจากฉัน” อังเดรขยับริมฝีปากเล็กน้อยราวกับกำลังยกยิ้ม “และคนที่สามารถมองเห็นอนาคตของฉันนอกเหนือจากนายแล้วก็ไม่มีอีก นายคือคนๆเดียวที่จะสามารถหยุดสงครามนี้ได้”
รอยยิ้มของอังเดรจริงใจและให้ความรู้สึกราวกับสติสัมปชัญญะกำลังถูกมอมเมาด้วยยาพิษทีละน้อย
ผมยกปืนเล็งไปที่เขา
“ดีมาก อย่างนั้นแหละ” อังเดรเอ่ยอย่างร้องขอ “มีเพียงกระสุนนั้นที่จะหยุดสงครามนี้ นายเป็นสมาชิกของมาเฟีย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว การฆ่าสมาชิกระดับสูงของศัตรูก็เป็นสิ่งเดียวที่นายต้องการ”
ปากกระบอกปืนของผมเล็งไปที่เขา คำพูดของอังเดรถูกต้อง การที่ผู้มีความสามารถในการมองเห็นอนาคตของคนเข้าร่วมในศึกเดียวกัน มันยากที่จะบอกว่าฝ่ายใดจะชนะ แต่นอกเหนือจากผมก็ไม่มีใครในมาเฟียสามารถต่อกรกับเขาได้
ผมหายใจเข้าและออก ปากกระบอกปืนยังคงชี้ไปที่เขา
จากนั้นผมก็ลดปืนลง
“ฉันขอปฏิเสธ” ผมพูด “ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเพื่อน ถ้าจะให้พูดตรงๆ จนถึงตอนนี้ฉันไม่ได้ฆ่าใครเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
“........... อะไรนะ?” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเขาสั่น “นายเป็นสมาชิกของมาเฟียรึเปล่า”
“พอร์ทมาเฟียมีสมาชิกหลายประเภท”
“ปืนเป็นเครื่องมือที่ใช้ฆ่าและนี่คือสนามรบ” เสียงของเขาเริ่มหยาบโลนมากขึ้น “พวกเราต้องสู้! สู้จนวิญญาณของเราแตกหักและอ่อนแอ สู้ด้วยกำลังทั้งหมด! ในการต่อสู้ แค่กระสุนนัดเดียวก็มากเกินพอ ถึงแม้นายจะไม่ยิง ถ้าฉันยิง นายก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้เท่านั้น!”
อังเดรยกปืนขึ้นและเล็งมาที่ผม ผมได้เห็นแล้วว่าการเล็งของเขามันแม่นยำขนาดไหน
“ทุกๆคนต่างก็สนใจในการต่อสู้ สนใจเอามากๆ” ผมพูด “แต่ฉันไม่มีความสนใจอย่างนั้น ในทางกลับกันกลับสนใจในการมีชีวิตอยู่มากกว่า สำหรับฉัน สิ่งที่สำคัญคือความต้องการที่จะใช้ชีวิต กับสิ่งที่ผลักดันให้เราต้องสู้ ถ้าหากไม่มีเหตุผลนั้น มันจะหายไปตลอดกาล”
“ในโลกนี้ไม่มีชีวิตไหนที่สำคัญไปกว่าความตาย!”
อังเดรเหนื่ยวไก
ผมมองเห็นนิมิต
ไม่ว่าผมจะเอนไปด้านหลัง ก้มลง หรือขยับไปด้านข้างเพื่อหลบ ผมก็จะถูกยิงด้วยลูกกระสุน เหตุการณ์ทั้งสามฉายซ้ำๆอยู่ในหัว
ในเวลานี้ ความสามารถในการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าของผมไม่สามารถนำมาใช้ได้
ผมกระโจนไปด้านหน้าเพื่อลดโอกาสในการถูกยิง ลูกกระสุนของศัตรูถากข้างขมับของผมและพุ่งไปด้านหลัง
ทหารของมิมิคเปิดฉากยิงต่อจากผู้นำของพวกเขา
ผมสามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้โดยง่าย ผมกลิ้งหลบห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามา ในเวลาเดียวกันผมยกปืนทั้งสองในมือขึ้นและยิงโต้กลับ มันเป็นเพียงการยิงข่มขู่เท่านั้น
ผมกลิ้งหลบไปข้างๆอาคุตากาวะ ผมงอเข่าและยกปืนขึ้น
“พลาด.. ตั้งใจงั้นหรอ?” อังเดรเอ่ยด้วยสีหน้าทะมึน “เรื่องแบบนี้ นายคิดว่านี่เป็นการต่อสู้ที่พวกเรารอคอยงั้นเหรอ นี่มันเพื่ออะไรกัน! ฉันกับลูกน้องเดินทางมาจนถึงตอนนี้เพื่ออะไรกัน”
“ขอโทษที่ทำให้พวกนายต้องเดินทางมาจนถึงญี่ปุ่น แต่ฉันมีเหตุผลที่จะไม่ฆ่าคน พวกนายควรจะไปหาคนอื่น”
“ทำไม!!” อังเดรตวาด “หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ฉันกับลูกน้องต้องร่อนเร่บนโลกนี้เหมือนภูตผี หาสถานที่ที่คู่ควรกับการตาย! นายเป็นความหวังเดียวของเรา ยิง! ยิงฉัน! ไม่อย่างนั้น..”
อังเดรปล่อยให้น้ำตาไหล เงยหน้ามองฟ้าอย่างว่างเปล่า เสียงของเขาเหมือนคนที่ตายไปแล้วแต่ก็ยังเหมือน.. คนที่พยายามจะมีชีวิตต่อไป
ผมทำได้เพียงตอบคำถามของเขา
และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ฉันไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของนายได้เพราะฉันมีความฝัน วันนึงที่ฉันสามารถออกจากพอร์ทมาเฟีย ทำในสิ่งที่ฉันต้องการได้ ฉันต้องการหาห้องๆหนึ่งที่มีวิวทะเล..”
—’งั้นแกก็เขียนขึ้นมาเองสิ’
—’มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นิยายเรื่องนี้จบบริบูรณ์’
“ฉันอยากเป็นนักเขียนนิยาย” ผมพูด “วางอาวุธลงแล้วจับปากกา มีคนๆหนึ่งเคยบอกฉันว่า การแต่งนิยายคือการเขียนเกี่ยวกับชีวิตผู้คน.. การพรากชีวิตคนอื่นจะทำให้ไม่สามารถเขียนสิ่งๆนั้นได้ ดังนั้นฉันจะไม่ฆ่าคนอีกต่อไป”
ในเวลานั้น เสียงทั้งหมดราวกับถูกดูดออกไป
แม้แต่เสียงของลมและใบไม้ก็ไม่อาจได้ยิน โลกทั้งใบถูกเติมเต็มด้วยความเงียบที่แสนเหงาหงอย
ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร— ไม่แม้แต่กับดาไซหรืออันโกะ
“นั่นเป็นคำตอบของนาย?” อังเดรพูดอย่างแผ่วเบา “เหตุผลที่ปฏิเสธการเข้าร่วมสนามรบของพวกเรา?”
“ใช่แล้วล่ะ” ผมตอบ
ผมมองเขาและเขาก็มองมาที่ผม
เราต่างมองกันด้วยความเงียบและพยายามเข้าใจในสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังแววตาของอีกฝ่าย
ผมรู้สึกได้ว่าการเจรจาล้มเหลว
อังเดรยกปืนขึ้นและยิงไปที่อาคุตากาวะที่หมดสติอยู่ ผมไม่สามารถที่จะดึงอาคุตากาวะหลบได้ จึงกระโดดไปบังเขาไว้ กระสุนยิงเข้าใส่จุดตายบนอก ผมหมุนคว้างตามแรงกระสุนและร่วงลงบนพื้น กลิ้งไปด้านหลัง
“มีชีวิต? พวกเราตายไปแล้ว พวกเราเป็นแค่หุ่นเชิดไร้วิญญาณที่ถูกชักใยด้วยภูติผี ผู้ใช้พลังพิเศษอย่างนายก็เป็นแค่เปลือกว่างเปล่าที่รอให้ร่างกายถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งสงคราม”
ผมไอไม่หยุด ทุกครั้งที่ผมไอ ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นมาบริเวณอก
ผมฉีกเสื้อออกและตรวจบาดแผลบนอก ลูกกระสุดถูกหยุดด้วยเสื้อกันกระสุน แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับโดนทุบด้วยค้อนเหล็กขนาดใหญ่ ทำให้ซี่โครงของผมแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“นายยังไม่ตาย” ผมเอ่ยอย่างยากลำบาก “ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาย แต่นายไม่ต้องรีบคิดหรอกว่าอยากตายยังไง”
“ทำไมนายถึงไม่เข้าใจ.. นายเป็นเพียงคนเดียวแท้ๆ!”
ในขณะที่เขาพูด อารมณ์ในแววตาของอังเดรก็หายไปราวกับเปลวไฟที่ถูกทำให้มอด นัยน์ตาสีเทาของเขาช่างว่างเปล่า
“ในเมื่อนายไม่มีความตั้งใจ มันก็ไม่มีประโยชน์ นายไม่ฆ่าฉันเพราะไม่เข้าใจความต้องการของฉัน ฉันจะไม่ฆ่านายเพราะมีเพียงนายเท่านั้นที่จะนำพาพวกเราไปสู้ไฟแห่งการชำระล้าง”
รถบรรทุกที่พาเหล่าทหารมาจอดลงหน้าทางเข้าสวนอย่างเงียบๆ
อังเดรและลูกน้องของเขาเดินกลับขึ้นรถไปทีละคนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและเจ็บปวดราวกับอยู่ในงานศพ
ระหว่างที่พวกเขากำลังจากไป อังเดรหันมามองผม
“ฉันจะทำให้นายเข้าใจ”
ใบหน้าของเขาซีดขาว เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ฉันจะทำให้นายเข้าใจ ที่นี่—” อังเดรชี้ขมับของตัวเอง “ฉันจะทำให้นายได้เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อไหร่ก็ตามที่นายเห็น นายจะเข้าใจ ระหว่างฉันกับนาย พวกเราคนใดคนหนึ่งต้องตาย”
อังเดรเดินขึ้นรถไปอย่างเงียบเชียบ แววตาสุดท้ายที่เขามองมาที่ผมทำให้เลือดในกายเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง เขาเอ่ยคำพูดสุดท้าย
“ตั้งตารอได้เลย”
Next → Chapter 3 part 4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น