คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 1: การทดสอบของดาไซ โอซามุ
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะปรารถนาซักขนาดไหน ชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู้ได้หากปราศจากอุดมการณ์”
– คุนิคิดะ ดอปโป, เนื้อและมันฝรั่ง 1901.
----
บทนำ
“อุดมการณ์” มันคืออะไร?
มีคำตอบมากมายสำหรับคำถามนั้น ว่ากันตามเหตุผลและแนวคิด มีคำศัพท์เป็นร้อยเป็นพันที่สามารถจำกัดความคำๆนั้นได้
แต่สำหรับผม คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว มันคือคำที่ถูกเขียนลงบนหน้าปกสมุดบันทึก
สมุดบันทึกของผมมีพลังอำนาจมหาศาล
มันคอยชี้แนะแนวทาง เป็นอาจารย์ เป็นผู้พยากรณ์เหตุการณ์และบางครั้งมันยังเป็นอาวุธและกุญแจสำคัญ
‘อุดมการณ์’
ทุกสิ่งทุกอย่างของผมถูกเขียนลงบนสมุดบันทึก สมุดบันทึกที่ผมพกติดตัวไปทุกที่ควบคุมอนาคตทั้งหมด ทั้งมื้ออาหารเย็นของวันนี้จนถึงแผนการซื้อบ้านในอีกห้าปีต่อจากนี้ ธุรกิจของวันพรุ่งนี้หรือราคาหัวไชเท้าที่ถูกที่สุดของย่าน
ตารางเวลา แผนการ วัตถุประสงค์และคำชี้แนะ ผมพกมันติดตัวและใช้ประโยชน์จากมัน
อาจจะดูเกินจริงไปซักหน่อย แต่อุดมการณ์เหล่านั้นคือการทำนายอนาคตของผม อุดมการณ์ของผมอยู่ภายใต้การพยากรณ์นั้น
ทุกอย่างจะราบรื่นหากผมทำตามมัน
ตราบเท่าที่ผมไม่ออกนอกกรอบ ผมสามารถควบคุมอนาคตได้
ควบคุมอนาคต
ช่างเป็นวลีที่วิเศษจริงๆ
แต่..
ไม่ว่ามันจะวิเศษซักแต่ไหน ถ้าหากว่าไม่สามารถมองเห็นภาพทั้งหมดได้ ความวิเศษนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับของลอกเลียนแบบ ความเชื่อในอุดมการณ์ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งไร้สาระ ดังนั้นหากคุณเปิดสมุดเล่มนี้ ทางลัดสู่อุดมการณ์อันสมบูรณ์แบบถูกเขียนเอาไว้ที่หน้าแรก
‘ทำสิ่งที่ควรทำ’
ผมคือคุนิคิดะ ดอปโป
ในฐานะนักอุดมการณ์แห่งความสัตย์ ผมสนับสนุนการไขว่คว้าอุดมการณ์
ตัวผมที่ปรารถนาในการใช้อุดมการณ์ทำสิ่งต่างๆให้ประสบความสำเร็จและลูกจ้างคนใหม่ซึ่งทำให้อุดมการณ์ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า แน่นอนว่ามันต้องมีหายนะบางอย่างเกิดขึ้น
7th
ผมเปิดสมุดบันทึกและดูรายละเอียดของช่วงสองสามวันต่อจากนี้ ในช่วงเวลานั้นสิ่งต่างๆถูกเขียนกำกับเอาไว้
- ทาเคโอชิคุงจะมาเยี่ยม เราเดินเล่นกันใต้แสงจันทร์
- ได้รับโทรศัพท์จากแฮคเกอร์ ทะกุจิ เกี่ยวกับเรือรบของต่างชาติ
- ผมได้ทานลูกแพร์ มันออกจะหวานไปซักหน่อย
ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งเล็กน้อยจะเป็นปัญหาและมันช่วยให้ผมไม่หลงวอกแวกไปกับเหตุการณ์บ้าบออื่นๆ
โธ่เว้ย! แล้วนี่ฉันกำลังหวังอะไรมากกว่านี้อยู่อีก!
.
.
.
“เดี๋ยวก่อน!!!”
ผมไล่ตามคนร้านที่กำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วบนถนนในโยโกฮาม่า
กลุ่มคนที่ย่านการค้าคึกครั้งเหมือนทุกครั้ง เสียงร้านแผงลอยที่กำลังเรียกลูกค้าให้มาจับจ่าย เสียงของผู้คนที่กำลังเดินเล่นไปตามถนน เสียงของลูกค้าที่กำลังต่อราคาของและเสียงของรถยนต์ที่ไม่สามารถขับฝ่าการจราจรอันแออัดของมนุษย์ดังมาจากทั้งสองฝั่งของถนน ถึงแม้ว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่ฝั่งขวา มันก็ไม่แปลกอะไรที่ผู้คนจากอีกฟากของถนนจะไม่ทันสังเกต
ผมทั้งผลักและดันตัวเองฝ่าการจราจรที่เบียดเสียดของผู้คนและไล่ตามอาชญากรนั่น
ชายคนนั้นเป็นโจรกระจอกที่สร้างความวุ่นวายให้กับร้านขายอัญมณี ปล้นชิงทรัพย์และเผ่นหนี อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนอกซะจากว่านี่เป็นหนที่สามที่เกิดเหตุขึ้นและเจ้าของร้านก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และแน่นอน คำขอร้องก็ถูกส่งมาทันที
พวกเราวิ่งไล่เจ้าโจรกระจอกที่กำลังหลบหนี อีกฝ่ายนั้นมีฝีเท้าที่ว่องไวและมีความเร็วที่ไม่ตกเลยซักนิด เขาวิ่งหายเข้าไปในตรอกมืดที่สุดถนนและคลาดสายตาไป ผมหยุดวิ่งไล่ ทั้งงุนงงและหงุดหงิดเป็นที่สุด
“เร็วเข้าเจ้าหน้าใหม่!” ผมตะโกนใส่เพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่วิ่งเหยาะอยู่ด้านหลัง
“ช้าลงหน่อยน่าคุนิคิดะคุง เชือกรองเท้าฉันหลุดแล้วล่ะ”
“ฉันไม่สน! ตามมาได้แล้ว เร็วเข้า!”
ชายหนุ่มงุ่มง่ามที่กำลังวิ่งตามมาคือเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของผม ลูกจ้างคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามมาทำงานไม่กี่วันก่อนหน้านี้
หมอนั่นคือ ดาไซ โอซามุ
หน้าอย่างนั้นจะจัดการอะไรได้
“ฉันเหนื่อยแล้วล่ะคุนิคิดะคุง นายวิ่งเร็วไปแล้ว ช้าลงหน่อยน่า มันไม่ดีกับสุขภาพนะนายก็รู้”
“สุขภาพฉันแย่ก็เพราะแก! มันเป็นความผิดของแกที่ทำให้ท้องไส้ฉันย่ำแย่ไปหมด ไอ้ตัวขี้เกียจ!”
“อ่ะ งั้นหรอ! ยินดีด้วยนะ!”
“หุบปาก!!”
ความสามารถของหมอนี่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด รวมถึงเรื่องในอดีต ยิ่งไปกว่านั้นหมอนี่ยังไม่มีแรงกระตุ้นแม้แต่นิดเดียว เขามักจะทำสิ่งต่างๆในแบบนั้นของตัวเองและความเร็วของฝีเท้าหมอนั่นก็พังตารางเวลาของผมจนเละไม่เป็นท่า
และแย่ยิ่งไปกว่านั้น งานอดิเรกของหมอนี่คือ….
“จะว่าไปนะคุนิคิดะคุง ผู้ชายคนนั้นน่ะคงจะหนีไปแล้วล่ะ”
เสียงของดาไซดังขัดจังหวะขึ้น และในขณะที่ผมหันไปด้านหน้า ชายที่กำลังหลบหนีก็กวาดเอาผักร่วงลงมาจากแผงขายและเลี้ยวไปทางซ้าย ก่อนจะหายไปจากถนน
ผมเดาะลิ้นอย่างเจ็บใจ
ภาพแผนผังของเมืองถูกนึกขึ้นในหัว ถนนเส้นที่หมอนั่นวิ่งหายเข้าไปเป็นพื้นที่อาศัยส่วนบุคคลและแน่นอนว่ามีสถานที่ให้เข้าไปซ่อนตัวได้มากมาย
“เห็นไหมดาไซ! เพราะแกมัวแต่อืดอาด ไอ้หมอนั่นเลยวิ่งหายไปซ่อนในที่ที่น่าปวดหัวแบบนั้น!”
“เอ๋– ไม่ดีหรอกหรอคุนิคิดะคุง มันก็เป็นแค่แผนการน่ะนะ แล้วฉันมีอะไรเจ๋งกว่านั้นจะบอกนายด้วยล่ะ อยากรู้ไหมล่ะ ”
“เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน”
“ว่ากันตามตรง มันมีหนังสือหายากเล่มนึงชื่อว่า 'วิธีการฆ่าตัวตายฉบับสมบูรณ์' ฉันตามหามันมาตลอดเลยล่ะ ฉันเห็นมันขายอยู่ที่ร้านขายหนังสือเก่า เราต้องกลับไปก่อนที่จะโดนใครซื้อตัดหน้าไปนะ"
ถึงผมจะพูดปัดไป หมอนั่นก็บอกออกมาอยู่ดี
“ถ้าแกอยากจะตายขนาดนั้นฉันควรจะยิงแกเลยดีไหม” ผมตวาดใส่ดาไซที่กำลังยิ้มอย่างเขินอาย “เอ๋– อย่างนั้นได้หรอ ขอบใจนะคุนิคิดะคุง” และไม่มีท่าทีจะปฏิเสธข้อเสนอซักนิด
ดาไซไม่เคยจัดการงานของตัวเองได้อย่างเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นตอนตื่นหรือตอนหลับ สิ่งเดียวที่หมอนี่คิดคือการฆ่าตัวตาย มันเป็นโลกที่ผมไม่เคยคิดจะเหยียบเข้าไป ไม่ว่าวิธีการจะง่ายหรือโง่ขนาดไหน ทั้งวันทั้งคืนสิ่งที่หมอนี่คิดคือการฆ่าตัวตาย
พวกโรคจิตชอบฆ่าตัวตาย?
เป็นคำที่น่าขยะแขยงซะจริง
แต่ไม่ว่างานอดิเรกของดาไซจะปัญญาอ่อนขนาดไหนหรือความสาหัสที่ผมต้องบังคับให้หมอนี่ทำงานจะมีมากแค่ไหนก็ตาม มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ภารกิจล้มเหลว
เพราะคำว่าล้มเหลวไม่มีเขียนอยู่ในบันทึกของผม
ผมวิ่งตามคนร้ายต่อและเลี้ยวที่หัวถนน
ถนนที่ผมกำลังมุ่งหน้าไปทั้งมืดและแคบ เป็นตรอกที่แคบจนสามารถเดินผ่านได้ทีละคน ทั้งสองข้างเป็นรั้วกั้น อีกฝั่งของระแนงรั้วคือสวนด้านหลังของบ้านเก่าๆที่มีบ่อน้ำตั้งอยู่ ด้านหน้าของบ้านเหล่านั้น มีเสื้อผ้าที่ถูกตากเอาไว้กำลังปลิวไปตามลม
ผมเปิดแผนที่จากโทรศัพท์มือถือเพื่อดูแผนผังของพื้นที่โดยรอบ ตรอกนี้ขนานไปกับย่านพักอาศัยและถ้าหากว่าคนร้ายยังคงมุ่งหน้าวิ่งต่อไป จุดหมายปลายทางก็จะเป็นเขตโรงงาน ถ้าเกิดมันวิ่งไปได้ไกลอย่างที่ว่า มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกเจอตัวในสถานที่ที่มีที่หลบซ่อนมากมายขนาดนั้น
เงาของคนร้ายหายไปตรงสุดถนนฝั่งตรงข้าม จุดหมายของหมอนั่นคือคลังสินค้าจริงเหรอ?
“ให้ตายเถอะ”
นับจากตรงนี้จะเป็นเรื่องยากที่จะไล่ตามจับต่อไป ถ้าหากเราพลาดโอกาสในครั้งนี้ หมอนั่นก็จะเดินอยู่บนเส้นทางของอาชญากรต่อไป ทำยังไงดีล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบจบเรื่องนี้แล้วรีบกลับไปซื้อหนังสือเถอะ ถ้าพวกเราแค่ไปกีดขวางทางหนีได้ก็เยี่ยมเลย ใช่ไหม?” ดาไซหัวเราะ
หมอนั่นสูดหายใจลึกและเปล่งเสียงกึกก้องออกมา
“ไฟไหม้!”
พลเรือนที่ตื่นตกใจแห่กันหนีลงมาบนท้องถนน แม่บ้านที่กำลังอุ้มหม้อ ชายหนุ่มที่กำลังสะลึมสะลือและชายแก่ที่กำลังถือกระดานโชงิ ทุกๆคนต่างพร้อมใจกันวิ่งออกมารวมตัวกันเพราะเสียงร้องของดาไซเมื่อครู่
เจ้าโจรนั่นกำลังกังวล
เส้นทางหลบหนีของมันเต็มไปด้วยชาวเมืองที่ล้นทะลักทำให้ไม่สามารถเดินต่อหรือถอยหลังได้ ถึงแม้ว่าเจ้าโจรจะขู่กรรโชกยังไง ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับการมองหาต้นเพลิง
“เป็นไงล่ะคุนิคิดะคุง?”
“เจ้าโง่! ถึงจะหยุดคนร้ายได้แต่พวกเราก็ขยับไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรามียอดนักสืบมากความสามารถอย่างคุนิคิดะ ดอปโปอยู่ตรงนี้ทั้งคน ฉันสร้างสถานการณ์ให้นายโดยเฉพาะเลยนะ เพราะฉะนั้นลุยเลยคุนิคิดะคุง!”
ผมจะเย็บปากหมอนั่นทีหลังก็แล้วกัน
ผมเปิดสมุดบันทึกออกก่อนจะเขียนตัวอักษรลงไป ‘ปืนสลิง’ ถูกเขียนลงบนหน้ากระดาษและฉีกออกด้วยความรวดเร็ว “บทประพันธ์ ดอปโป–!”
พลังพิเศษ
ของแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้อธิบายโดยใช้ตรรกะ มันเป็นเพียงแนวทางของมัน ไม่มีคำอื่นมาอธิบายได้ ทำไมต้องเป็นหน้ากระดาษจากสมุดบันทึก? เป็นไปได้อย่างไรที่จะท้าทายหลักฟิสิกส์และเปลี่ยนโครงสร้างของสิ่งของ คงจะไม่มีใครสามารถกำหนดทฤษฎีให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
หน้ากระดาษที่ถูกฉีกและคำบัญชา เปลี่ยนรูปร่างเป็นปืนสลิงตามตัวอักษรที่ถูกกำหนดเอาไว้
ผมกระโดดขึ้นไปบนรั้วและเล็งปืนสลิงไปที่คนร้าย
จากการมองเห็น หมอนั่นกำลังหยิบปืนพกออกมาจากอกเสื้อเพื่อขู่ผู้คนที่กำลังกีดขวางทางหลบหนี
ต่อให้เป็นแค่โจรกระจอกที่มีอาวุธ แต่หากเป็นในตรอกที่เสื่อมโทรมเช่นนี้คงไม่มีที่ไหนให้หลบเลี่ยงไปได้เป็นแน่
ไม่ว่ายังไง ผมจะไม่ให้มันยิงไปในที่ที่มันคนพลุกพล่านขนาดนี้เด็ดขาด!
ผมเล็งและเหนี่ยวไกปืนทันที ตะขอถูกปล่อยออกจากปากกระบอกและตรงเข้าสู่เป้าหมาย เชือกสลิงถูกดึงจนแน่น
กระบอกปืนที่กำลังถูกหยิบออกมาปลิวไปติดกับกำแพงด้านหลังตามแรงเหวี่ยงของตะขอ
“แจ็กพ็อต!” ดาไซผิวปาก
ผมดึงลวดสลิงกลับเข้ามาและถีบตัวลงจากรั้ว ข้ามหัวกลุ่มคนมากมายและลงยืนบนพื้นหน้าเจ้าโจรนั่น
ผมเงยหน้าขึ้นในจังหวะที่มันหยิบมีดออกจากกระเป๋าเสื้อและใช้ช่องว่างในการแทงมีดลงมา แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของมือสมัครเล่นแบบนั้นไม่มีทางโดนฉัน
ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบใบมีด จากนั้นก็จับข้อมือของมันบิดลง ใช้แรงเหวี่ยงจากการเงื้อมืดออกแรงทุ่มอีกฝ่ายลง
หมอนั่นลอยเคว้งทันที
หมอนั่นลอยเคว้งในอากาศก่อนที่จะกลับหัวและกระแทกเข้ากับกำแพง ดูเหมือนว่าคนร้ายจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะเป็นลมพับไป
การใช้น้ำหนักตัวของฝ่ายตรงข้ามในขณะที่อีกฝ่ายกำลังออกแรง เป็นเทคนิคการทุ่มแบบหนึ่ง
พลเรือนที่กำลังตื่นตกใจมองพวกเราสลับกับอาชญากรด้วยความตื่นตระหนักและเงียบงัน
ดาไซที่ประมวลสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วก็กล่าวแก้ต่างกับพวกเขาทันที “สวัสดีครับทุกคน ผมขอโทษที่สร้างความวุ่นวาย แต่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วล่ะ เสียงเตือนไฟไหม้เมื่อครู่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ–”
“พะ พวกนายเป็นใครกัน!” ชาวบ้านคนนึงเอ่ยถาม
ผมหยิบตราประจำตัวออกจากกระเป๋าและชูขึ้นสูงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเห็นมัน
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง พวกเรามาจากสำนักงานนักสืบบุโซ!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น