วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

[BSD One-shot FanFiction] Red

Bungou Stray Dogs Fanfiction: Red
Pairing: Soukoku
Genre: Romance
Rated: PG
Writer: Chiyuu_ki


Loving him is like driving a new Maserati down a dead end street
เขาน่าหลงใหล น่าค้นหา มีสเน่ห์เกินกว่าที่ผมจะต้านทานไหว ตั้งแต่วันนั้นที่เราพบกัน มันไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมจะเลิกคิดถึงเขา เส้นผมสีส้มสว่างกับนัยน์สีฟ้าที่สุกสกาวราวกับอัญมณีล้ำค่า มันช่างติดตรึงในความคิดของผม


Faster than the wind
Passionate as sin, ended so suddenly
เขาเคยเป็นของผม เราเคยเป็นคนรักกัน ความสัมพันธ์แสนหวานเมื่อตอนที่เรายังเป็นนักศึกษา ก่อนที่เราทั้งคู่จะเข้ามาในวงการมายา ด้วยหน้ากากที่ต้องสวมและภาระหน้าที่ของพวกเรา ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราจบลงอย่างไม่ค่อยสวยนัก


Loving him is like trying to change your mind
Once you’re already flying through the free fall
ผมไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกหลังจากที่เราแยกทางกันครั้งนั้น แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ปราณีผมซักเท่าไหร่เมื่อโปรดิวเซอร์ส่งเขามาแคสติ้งในภาพยนต์เรื่องใหม่ที่ผมเป็นผู้กำกับ ผมไม่มีทางลืมว่าตอนนั้นผมดีใจแทบบ้าที่ได้เจอเขาอีกครั้ง


Like the colors in autumn
So bright just before they lose it all
แต่มันก็ไม่ได้น่าดีใจอย่างที่ผมคิด เขาถูกวงการมายาเจียระไนและชโลมสีทับจนแทบจะกลายเป็นคนใหม่ สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ถึงผมจะได้เจอเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก ผมเฝ้ามองเขาผ่านหน้าจอและเลนส์กล้อง เฝ้ามองเขาที่สวมหน้ากาก แต่งแต้มสีสันให้กับโลกมายาจนได้รับความรักล้นหลามจากทุกคนๆที่เขาทำงานด้วย


Losing him was blue like I’ve never known
          Missing him was dark grey all alone
ผมยังคิดถึงเขาอยู่ตลอดแม้ว่าเราจะเลิกลากันไปแล้ว การกลับมาเจอกันอีกครั้งของเราทำให้ผมหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาที่อยู่หน้าผมตอนนี้ช่างแตกต่างจากเดิมมากเหลือเกิน


Forgetting him was like trying to know somebody you've never met
But loving him was red
แต่ก็ถือว่าผมยังพอมีโชคอยู่บ้าง เมื่อวันนึงหลังเลิกกองเขาเดินเข้ามาหาผมและส่งยิ้มให้ ก่อนจะชวนผมไปที่คอนโดของเขา เราพูดคุยกันทั้งคืน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เขาเป็นตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นทำให้ความคิดของผมที่จะปล่อยมือจากเขาหายไปโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่วันนั้นมันทำให้ผมหลงรักเขาอีกครั้ง


นากาฮาระ ชูยะ โดดเด่นอยู่บนพรมแดง ท่ามกลางแสงแฟลชจากเหล่าช่างภาพและนักข่าวมากมายที่มาร่วมงานเทศกาลภาพยนต์นานาชาติที่ถูกจัดขึ้น ร่างเล็กในชุดทักซิโด้สีขาวโปรยยิ้มแจกผู้ร่วมงานนับร้อยก่อนเดินตรงเข้าไปในโถงงานเลี้ยง
ผมมองเขาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผ่านเลนส์กล้องก่อนนิ้วของผมจะกดชัตเตอร์บันทึกภาพนั้นเอาไว้ เขาเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะและส่งยิ้มให้ผม
“ว่าไงชูยะ~ เรตติ้งพุ่งไม่ตกเลยนะ” ผมเอ่ยทักทายเขาทันที ชูยะคลี่ยิ้มเล็กน้อย ผมเฝ้ามองใบหน้าที่ติดหวานของเขาด้วยความคิดถึง
“ถ้าไม่ได้เป็นเพราะนาย ฉันคงไม่มีวันนี้” ริมฝีปากของเขายังคงคลี่ยิ้ม ก่อนจะรับแก้วน้ำสีอำพันที่บริกรส่งมาให้
“แด่ความสำเร็จของนาย” เขายื่นแก้วมาหน้าผม ผมยกแก้วของตัวเองขึ้นและชนตามมารยาท ก่อนจะดื่มด่ำกับรสกลมกล่อมของแอลกอฮอล์ที่ไหลลงคอ
“อย่าลืมมาถ่ายรูปกับฉันตอนเลิกงานล่ะดาไซ” เขาเอื้อมมือมาผลักศรีษะของผมเบาๆด้วยความคุ้นเคยก่อนเดินจากไป
ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อ เสียงของพิธีกรประจำงานก็ดังขึ้น เรียกทุกความสนใจไปยังหน้าเวที ม่านสีกำมะหยี่สีแดงและโคมระย้าขนาดยักษ์ช่วยเสริมความหรูหราให้กับงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก เหล่าคนในวงการบันเทิงเริ่มทยอยเดินเข้างานมา ชุดราตรีราคาแพงและเครื่องประดับสุดหรูจากทั่วทุกมุมโลกถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่
และแล้วช่วงสำคัญของงานก็มาถึง การประกาศรางวัลยอดเยี่ยมในสาขาต่างๆ ชื่อของชูยะถูกประกาศขึ้นอย่างไม่ต้องลุ้นให้มากความ ผมมองเขาเดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลด้วยรอยยิ้ม แสงแฟลชที่สว่างวาบทำให้เขาดูโดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเดินลงเวทีไป จากนั้นชื่อของผมก็ถูกขานขึ้น ผมเดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของเพื่อนร่วมงาน ภาพยนต์ของผมได้รับรางวัลในปีนี้ ภาพยนต์ที่มีชูยะรับบทแสดงนำ ผมมองลงไปยังด้านหน้าเวที ส่งยิ้มตอบให้กับเขาด้วยความภาคภูมิใจ
ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของผม
“ยินดีด้วยนะครับคุณผู้กำกับ” กลุ่มเพื่อนและทีมงานหลายชีวิตรี่เข้ามาหาผมทันทีที่ผมลงจากเวที ผมได้แต่ยิ้มตอบพวกนั้นไป ตอนนี้ผมอยากเห็นหน้าเขาใกล้ๆชะมัด
นายหายไปไหนของนายกันนะชูยะ
ผมชะเง้อมองหาเขาจนเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้
"เจ๋งมากดาไซ" ผมรู้สึกถึงแขนของเขาที่โอบรอบคอผม กลิ่นน้ำหอมของเขาช่างเป็นเอกลัษณ์
ผมยกยิ้มบางๆก่อนเอื้อมมือไปยีกลุ่มผมนิ่ม
“เพราะพวกเราทุกคนต่างหากล่ะ” ผมเอ่ยตอบเขาไป เรียกรอยยิ้มให้ปรากฎบนใบหน้าหวาน
“คืนนี้พวกเราจะไปต่อกันใช่ไหม หนังของเราได้รางวัลตั้งหลายสาขา แบบนี้มันต้องฉลองกันให้เมาพับซะหน่อยแล้วล่ะ” เขาเอ่ยถามคนอื่นๆ นิสัยแย่ๆของเขายังแก้ไม่หายซะทีสินะ ผมได้แค่นหัวเราะให้กับเหล่ามนุษย์กลางคืนทั้งหลายในกองถ่ายของเราที่ต่างเฮตอบรับคำชวนของชูยะเป็นเสียงเดียวกัน



ลีมูซีนสีดำขลับจอดนิ่งอยู่หน้าไนท์คลับแห่งหนึ่งในย่านสถานบันเทิงชื่อดัง
ภายในร้านเนืองแน่นไปด้วยเหล่าบรรดานักท่องราตรีที่ออกมาสังสรรค์กันเต็มพื้นที่ ที่นี่เป็นสถานบันเทิงชั้นดีที่รวมวัยรุ่นหนุ่มสาวผู้หลงใหลเสียงเพลงและสีสันยามค่ำคีน บรรยากาศมืดสลัวภายในร้านถูกกลบด้วยแสงไฟเลเซอร์และเสียงเพลงเทคโนแดนซ์ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ
ผมนั่งอยู่ในโซนวีไอพีของร้าน กวาดสายตาไปยังฟลอร์เต้นรำเบื้องหน้า แสงเลเซอร์สว่างวูบวาบเรียกเอาหนุ่มสาวที่เริ่มมัวเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ออกมาโชว์สเต็ปของตัวเองกันอย่างคึกคัก ผมมองชูยะที่กำลังยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มก่อนจะลุกออกไปเต้นกับเพื่อนคนอื่นๆ


Touching him is like realizing all you ever wanted
was right there in front of you
ผมสะบัดใบหน้าสองสามทีให้หายจากอาการมึนหัว ก่อนลุกตามเขาไป ผมเห็นชูยะกำลังวาดลวดลายอยู่กลางแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังออกสเต็ปแข่งกับเสียงเพลง แสงเลเซอร์ที่สาดอยู่ทำให้ผมมึนหัวมากขึ้น ร่างเล็กเดินเข้ามาหาเมื่อเขาเห็นผม


Memorizing him was as easy as knowing all the words to your old favourite song
มือของเราสัมผัสกัน ผมดึงชูยะเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดเอาไว้ ผมจับข้อมือของเขาไว้แน่น ชูยะเบะปากใส่ผมเมื่อเห็นว่าผมยังคงไม่ยอมปล่อยเขา


Fighting with him was like trying to solve a crossword
and realizing there’s no right answer
ผมยื้อร่างของเขาเอาไว้ก่อนจรดหน้าผากลงไปใกล้ เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นเมื่อมีคนเริ่มจำได้ว่าเราเป็นใคร ชูยะขืนตัวออกจากอ้อมแขนของผมแต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


Regretting him was like wishing you never found out
that love could be that strong
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางมองใบหน้าเขาใกล้ๆ ใบหน้าหวานของเขาเริ่มงอเมื่อโดนผมขัดใจ ผมยกยิ้มให้เขา
ผมคิดถึงเขามาก
ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน


Remembering him comes in flashbacks and echoes
Tell myself it’s time now, gotta let go
But moving on from him is impossible
When I still see it all in my head
We're burning red
ผมสบตาเขาอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าอยากจะให้ความคิดถึงของผมส่งไปถึงเขา ให้เขารู้ว่าผมยังรักเขามากแค่ไหน ตัวตนของเขายังคงอยู่ในความทรงจำของผม ผมแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของเขาและไล่ลงมาตามใบหน้า แก้มของเขากำลังขึ้นสีเรื่อ ผมโอบกอดชูยะแน่น ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน


Oh, losing him was blue like I’d never known
Missing him was dark grey all alone
Forgetting him was like trying to know somebody you've never met
Cause loving him was red
ความทรงจำตอนที่เราเลิกกันยังคงเด่นชัด คำว่าเวลาจะช่วยเยียวยามันใช้ไม่ได้เลยสำหรับผม ในเมื่อผมยังคงต้องเจอเขาทุกวันและทำงานด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในอ้อมกอดของผมเหมือนตอนที่เรายังเป็นคนรักกัน ผมรู้สึกถึงแขนของเขาที่กำลังกอดตอบผม ผมละริมฝีปากออกมาก่อนจะสบนัยน์ตาสีฟ้าสดใสของเขาอีกครั้งและคลี่ยิ้มบางให้


And that's why he's spinning round in my head
Comes back to me burning red
ผมแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา
และเสียงดนตรีรอบตัวก็เหมือนจะหายไปกับสัมผัสตรงหน้า


...Cause love was like driving a new Maserati down a dead end street...

[BSD One-shot FanFiction] The Same Old "You"

Bungou Stray Dogs Fanfiction: The Same Old "You"
Pairing: Oda x Dazai
Genre: Drama
Rated: PG
Writer: Chiyuu_ki


ผมลืมตาขึ้นในห้องสีขาว แสงแดดที่ส่องเข้ามาและเสียงนกร้องที่ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ผมลุกขึ้นจากเตียงและทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ผมแนบใบหน้าลงกับบานหน้าต่างเพื่อมองบรรยากาศด้านนอก วันนี้ดูจะเป็นวันที่อากาศดีวันหนึ่งเลยทีเดียวสำหรับเมืองแห่งนี้ที่มักจะปกคลุมไปด้วยม่านหมอก
ผมเดินออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวอย่างขี้เกียจๆ อุณหภูมิของน้ำมันทำให้ผมอยากกลับไปนอนซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆของผมต่อเหลือเกิน ผมเดินออกจากห้องของผมและมองไปยังประตูห้องฝั่งตรงข้ามด้วยความเคยชิน
ห้องนั้นเงียบกริบ
ผมเดินทอดน่องไปตามฟุตบาท บรรยากาศยามเช้าในวันนี้มันช่างสดชื่นอย่างเหลือเชื่อ ผมกระชับเสื้อโค้ทตัวโปรดและสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ลมหายใจของผมปล่อยออกมากระทบกับความเย็นของอากาศจนเป็นไอ ผมเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงลอดผ่านสายหมอกลงมาทักทายผู้คนพลางกุมกล่องไม้ขีดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
ผมนึกถึงเจ้าของของมันก่อนจะอมยิ้มออกมา
อากาศดีๆแบบนี้ทำให้ผมนึกเสียดายแทนเขาจริงๆ
ผมเดินผ่านมุมตึกไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ตรงข้ามของฝั่งถนน ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน ผมพบกับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี ผมกล่าวทักทายกับเด็กชายตัวน้อยที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและนักเรียนของผม ในมือของเขาถือดอกไม้ช่อใหญ่ ผมลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู
"ไงอัตสึชิคุง มาช่วยคุนิคิดะคุงถือของอีกแล้วหรอ"
"ใช่แล้วครับ! ว่าแต่วันนี้ดาไซซังจะไปหาโอดะเซนเซย์รึเปล่าครับ"
ผมมองเด็กชายตรงหน้าก่อนคลี่ยิ้มออกมา
"อื้มๆ ไปสิ"
"งั้นผมฝากเอานี่ไปให้เซนเซย์ทีนะครับ!"
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนยื่นช่อดอกไม้ในมือให้ผม
ผมคุยกับเด็กคนนั้นอีกซักพักก่อนแยกไปที่ซุปเปอร์เพื่อซื้อขนมปังซักแถวมาตุนเอาไว้ที่ห้อง ผมเอื้อมมือไปหยิบก้อนแกงกระหรี่สำเร็จรูปติดมือมาด้วยความเคยชิน ก่อนจะนำทุกอย่างไปที่แคชเชียร์
ระหว่างทางเดินกลับ ผมก้มมองช่อดอกไม้ของเด็กคนนั้นก่อนคลี่ยิ้มออกมา ผมมั่นใจว่าโอดะซาคุจะต้องชอบแน่ๆ
ผมกลับมาถึงอพาร์ทเม้นต์และเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ผมนำขนมปังเข้าไปวางในห้องของตัวเองก่อนจะไขประตูห้องตรงข้ามเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ผมมองเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง
นาฬิกาไขลานของโอดะซาคุหยุดเดินอีกแล้ว
และมันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องคอยมาไขลานให้นาฬิการุ่นคุณปู่ของเขากลับมาเดินอีกครั้งในทุกๆสามวัน ผมวางถุงใส่ข้าวของที่เพิ่งซื้อมาลงบนโต๊ะและนำดอกไม้ที่เด็กคนนั้นให้เสียบลงในแจกันที่วางอยู่บนชั้นหนังสือก่อนจะลงมือทำความสะอาดห้องด้วยความเคยชิน
ผมเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของโอดะซาคุก่อนสายตาจะสะดุดกับอะไรบางอย่างที่ขอบหน้าต่าง ผมคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ดอกลิลลี่สีขาวที่เขาปลูกกำลังผลิดอกบานสะพรั่ง
ผมละความสนใจจากห้องนอนและตรงเข้าไปรดน้ำให้ดอกไม้ของเขาทันที
ผมอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าโอดะซาคุมาเห็นดอกไม้ตอนนี้เขาจะมีสีหน้าแบบไหน
ผมกลับเข้ามาในห้องและชงชาสมุนไพร เอิร์ลเกรย์ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมเปิดทีวีเพื่อติดตามข่าวสารประจำวันก่อนจะขมวดคิ้วอย่างเซ็งๆเมื่อผู้ประกาศข่าวรายงานว่าอากาศแจ่มใสจะอยู่กับเราแค่ไม่กี่วัน
ต่อจากนี้ก็คงจะฝนตกหมอกลงอีกตามเคย
จะว่าไป วันแรกที่ผมเจอกับโอดะซาคุก็ฝนตกนี่นา
ผมจำได้ว่าเราเจอกันครั้งแรกท่ามกลางสายฝน ผมกำลังยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ข้างๆป้ายรถบัส ผมเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งยืนร้องไห้จ้าอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงคนทำงานที่เร่งรีบ เด็กนั่นเนื้อตัวเปียกปอน
ก่อนที่ผมจะใช้โทรศัพท์เสร็จและเดินออกจากตู้ ผมเห็นชายคนหนึ่งเดินสวนคนกลุ่มใหญ่ตรงมาที่เด็กคนนั้น เขากางร่มให้และย่อตัวลงพูดคุยกับเด็กคนนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผมยืนมองทั้งคู่อยู่ซักพักก่อนจะเดินจากไป
ผมประทับใจเขาตั้งแต่แรกเห็น
ผมพบกับเขาอีกครั้งตอนที่ผมกำลังนำหนังสือและเสื้อผ้าไปบริจาคที่บ้านเด็กกำพร้า เขากำลังยืนคุยกับเจ้าของบ้านพักด้วยสีหน้าจริงจัง ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้
เราพบกันอีกแล้ว
ผมเองก็ไม่รู้ว่าวันนั้นเขาจะเห็นผมและจำผมได้รึเปล่า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก
ผมเดินเข้าไปคุยกับเขา ปรากฎว่าเขาจำผมได้
โอดะซาคุแนะนำตัวเองและเราก็ยืนคุยกันซักพักก่อนที่ผมจะขวนเขาไปที่ร้านกาแฟแถวๆนั้น เขาบอกว่าตัวเองกำลังทำเกี่ยวกับมูลนิธิช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงตรงเข้าไปหาเด็กคนนั้นทั้งๆที่ไม่มีใครทำแม้แต่จะเหลียวมองด้วยซ้ำ
เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นและผมกับเขาก็เข้ากันได้ดี โอดะซาคุเพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่ผมจึงแนะนำที่พักในอพาร์ทเม้นต์เดียวกันกับผมให้ เขากลายเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมในเวลาอันรวดเร็ว ผมมักจะไปนั่งเล่นในห้องของโอดะซาคุ นั่งมองเขาแต่งนิยาย อ่านหนังสือหรือแม้กระทั่งทำอาหาร
ในวันธรรมดาโอดะซาคุมักจะหายหัวไปทำงานทั้งวันและกลับมาที่อพาร์ทเม้นต์ตอนค่ำๆ ถึงอย่างนั้นผมก็มักจะไปไหนมาไหนกับเขาอยู่เสมอในวันหยุด คอยช่วยงานเขาบ้างในบางครั้งและผมก็บอกให้โอดะซาคุทำอาหารเย็นให้เป็นการแลกเปลี่ยน
ผมมีงานประจำของผม แต่ผมก็หาเวลาช่วยงานโอดะซาคุนิดๆหน่อยๆตามโอกาส ส่วนมากก็จะบริจาคหนังสือเก่าๆที่มีเป็นภูเขาของผมให้กับมูลนิธิที่เขาทำงานอยู่ เขาชวนผมไปอ่านนิทานให้เด็กๆฟังในบางครั้ง มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
ผมใช้เวลากับโอดะซาคุเกือบสองปีเต็ม
การมีเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้โลกที่เคยเงียบเหงาของผมเปลี่ยนไป
แต่ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
ในวันนั้น ขณะที่ผมกำลังจะไปหาโอดะซาคุที่บ้านเด็กกำพร้า รถดับเพลิงหลายคันขับผ่านผมไปบนถนนเส้นเดียวกัน ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยซักนิด ผมรีบโทรหาเขาด้วยความเป็นห่วง แต่ผมกลับติดต่อเขาไม่ได้
ผมได้แต่ภาวนาให้โอดะซาคุปลอดภัย ทว่าทันทีที่ผมมาถึง บ้านพักหลังนั้นก็เหลือแต่ตอตะโก เด็กๆร้องไห้กันระงม นักดับเพลิงช่วยกันดับไฟที่ยังลุกไหม้อยู่ที่อีกฟากของตัวอาคาร ผมได้แต่มองหาเขา
จิตใจผมเตลิดไปหมด
ผมรีบรุดไปที่โรงพยาบาลทันทีที่เจ้าหน้าที่ของบ้านเด็กกำพร้าบอกผมว่าโอดะซาคุเพิ่งถูกนำตัวไป ผมวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินด้วยหัวใจที่ปวดหน่วง แพทย์บอกว่าเขาพยายามช่วยเด็กคนหนึ่งที่หลงขึ้นไปอยู่บนห้องใต้หลังคาจนตัวเองถูกไฟครอกจนเป็นแผลสาหัสและช็อคหมดสติไปเพราะอากาศหายใจไม่เพียงพอ
แพทย์ยื้อลมหายใจของเขาไว้ได้อีกสองวันก่อนที่โอดะซาคุจะเสียชีวิตเพราะบาดแผลที่ติดเชื้อและการหายใจเอาไอร้อนและเขม่าควันเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว
ผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลลงข้างแก้ม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความทรงจำของผมที่มีต่อเขายังคงเด่นชัด ผมทำเรื่องเช่าห้องของโอดะซาคุต่อและเก็บทุกๆอย่างเอาไว้หลังประตูบานนั้น ผมคอยดูแลดอกไม้ของเขาอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่
ทุกวันนี้ผมลาออกจากงานประจำและมาเป็นคุณครูในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ผมยังคงช่วยเหลือมูลนิธิที่โอดะซาคุเคยทำมากเท่าที่จะทำได้ ทุกครั้งที่ผมได้ทำงานพวกนั้นผมยังคงรู้สึกเสมอว่าเขายังคงอยู่ใกล้ๆ
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมและเดินไปยังห้องของเขาอีกครั้ง
ดอกลิลลี่สีขาวบานสะพรั่งอยู่ตรงหน้า ผมคลี่ยิ้มบางๆพลางตัดก้านของมันออกและรวบเป็นช่อ ก่อนจะหันมาจัดการใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นลิลลี่ในกระถาง
ผมขับรถออกไปที่เขตชานเมือง ทุ่งหญ้าเขียวสดกับสายลมเย็นทำให้บรรยากาศของที่นี่ปลอดโปร่งเป็นพิเศษ ผมขับรถขึ้นเนินไปตามถนนดินขรุขระที่ทอดยาวเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
ผมลงจากรถ
เบื้องหน้าผมเป็นทุ่งดอกไม้สีสวยที่เริ่มผลิบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังใกล้เข้ามา
ผมคุกเข่าลงที่ใต้ต้นไม้ หน้าแผ่นหินอ่อนสีขาว ก่อนจะวางช่อดอกไม้ในมือลง
“นี่ๆ โอดะซาคุ วันนี้ฉันเจออัตสึชิคุงตอนที่กำลังไปซื้อของด้วยล่ะ” ผมยิ้มให้กับป้ายหินอ่อนตรงหน้า "เขาฝากดอกไม้มาให้ด้วย ฉันว่าอัตสึชิคุงคงคิดถึงนายน่าดูเลยนะ"
ฉันเองก็คิดถึงนายเหมือนกัน

หลับให้สบายนะ โอดะซาคุ

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

[BSD Trans] Dazai Osamu and the dark era: Chapter 4 [บทส่งท้าย]

คณะประพันธกรจรจัด
เล่มที่ 2: Dazai Osamu and The dark era: บทส่งท้าย
ผู้ประพันธ์: Asagiri Kafka
ภาพประกอบ: Harukawa35
แปลไทย : Chiyuu_ki
← Previous: Final Scene


หลังจากการต่อสู้จบลง ถนนทุกสายต่างกลับคืนสู่ความปกติ
หากมองอย่างผิวเผิน ทุกอย่างไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่สงครามยังไม่อุบัติขึ้น เศรษฐกิจหมุนเวียน ผู้คนตื่นและนอนหลับ เรื่องราวต่างๆที่ดำเนินในเวลากลางวันและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืน ทุกอย่างวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนเดินถนนหรือสมาชิกจากกลุ่มอาชญากร ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย


เครื่องบินขนาดเล็กบินผ่านน่านฟ้าและแนวชายฝั่งทะเลเบื้องล่าง
มีคนไม่กี่คนนั่งอยู่บนเครื่องบินลำนั้น
“อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เราจะถึงที่หมายสำหรับภารกิจต่อไปครับ”
ที่เบาะผู้โดยสาร ชายหนุ่มในชุดสูทเอ่ยขึ้น
“อ่า ฉันรู้”
ชายหนุ่มผู้สวมแว่นตาทรงกลมนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างและจ้องมองรูปภาพในมือของตนเองอย่างเงียบขรึม
“สารวัตรซาคากุจิ นั่นเป็นรูปของเป้าหมายถัดไปรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มในชุดสูทเอ่ยถามเขา
ชายหนุ่มผู้สวมแว่นทรงกลม –อันโกะ– เก็บรูปนั้นใส่เข้าไปในอกเสื้อของตัวเองอย่างรวดเร็วราวกับกำลังพยายามซ่อนบางสิ่งจากเพื่อนร่วมงาน
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เป็นรูปส่วนตัวน่ะ”
เมื่อเขาเก็บรูปลง อันโกะเลื่อนสายตาออกไปนอกหน้าต่างและมองลงไปยังเมืองด้านล่างด้วยความเศร้าสร้อย




กลุ่มเงาสีดำกำลังวิ่งอย่างหวาดกลัวไปตามท่อระบายน้ำเสียในเขตโยโกฮาม่า
ทหารจากมิมิคสามคนที่เหลืออยู่กำลังหนีออกจากทางระบายน้ำอันมืดมิด พวกเขาเป็นทหารที่พ่ายแพ้จากการต่อสู้ที่บ้านพักเพราะว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในแนวหน้าของการจู่โจม
ผืนผ้าสีดำสนิทยืดยาวออกราวกับใบมีด ตัดผ่านร่างของทหารคนหนึ่งออกเป็นสองส่วน
ทหารคนที่เหลือหันหลังกลับและใช้ปืนยิงไปยังสิ่งนั้น ท่ามกลางความมืด ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบขึ้นในทางระบายน้ำ
–ไร้ประโยชน์
เด็กหนุ่มในโค้ทสีดำปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลัง เสื้อโค้ทของเขาเคลื่อนไหวราวกับสัตว์ป่าและไล่ตามล่าเหล่าทหารที่เหลืออย่างไร้ความปราณี
“ผมต้องการสิ่งที่แข็งแกร่งกว่านี้– ยอดเยี่ยมกว่านี้ จนกว่าคนๆนั้นจะยอมรับผม ไม่ว่าจะเป็นทหาร ปืน หรือผู้ใช้พลังพิเศษ ผมจะไม่แพ้ให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น มองมา! มองมาที่ผม!
อาคุตะกาวะกรีดร้องพร้อมกับเร่งความเร็วของใบมีดมรณะที่กำลังร่ายรำเพื่อปลิดชีพเหล่าทหารผู้เคราะห์ร้าย เสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าของเขาจางหายไปกับความมืดยามราตรีในโยโกฮาม่า


บนเขาลูกหนึ่งที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองโยโกฮาม่าได้ ถนนภายในภูเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยความเขียวขจี ที่นั่นมีสุสานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่หันหน้าออกไปยังทะเล
ที่ตรงนั้นมีสุสานหลุมใหม่ตั้งเรียงรายอยู่ บนป้ายหินอ่อนสีขาวสำหรับจารึกข้อความไม่มีชื่อของเจ้าของผู้ล่วงลับถูกสลักลงไป
ดาไซยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายหิน
เขาอยู่ในชุดประกอบพิธีศพสีดำ ในมือของเขามีช่อดอกไม้สีขาว
“...”
ลมทะเลพัดผ่านตัวเขา ดาไซหรี่ตาลง ดอกไม้ในมือของเขาไหวเอนตามลม
“รูปนั้น.. ฉันจะวางเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน”
ดาไซหยิบรูปใบหนึ่งออกมาและวางลงหน้าหลุมศพ
ภาพของชายสามคนปรากฏอยู่ในรูปถ่าย ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่เข็มนาฬิกาหยุดหมุน รอยยิ้มที่ไม่มีวันจางหายไปปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
“ฉันอยากให้นายได้ลองเต้าหู้นั่นจริงๆนะ..”
ดาไซหลับตาลงและยืนนิ่ง


ตึกสีน้ำเงินตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเศรษฐกิจใจกลางเมืองโยโกฮาม่า มันคือศูนย์บัญชาการของพอร์ตมาเฟีย
ในห้องทำงานชั้นบนสุดของอาคารนั้น ศรีษะของโมริซบลงกับฝ่ามือของเขา
“‘จงช่วยเหลือเขาอย่างที่ฉันเคยบอกไปโดยที่ไม่ต้องกล่าวถามอะไรเพิ่ม เพื่อที่เขาจะได้จบการสอบสวนด้วยความสงบและเยือกเย็น’ อย่างนั้นหรอ?”
มีเอกสารจำนวนนับไม่ถ้วนวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะของเขา มันคือรายงานความเสียหายของมาเฟีย ด้านบนสุดของเอกสารพวกนั้นคือจดหมายที่โมริเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง ‘คำพยากรณ์สีเงิน’ (Silver Oracle) มันถูกนำกลับมาจากบ้านพักที่เกิดการต่อสู้ขึ้น
โมริหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาและมองมันอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งของเขาเอ่ยปากพูดขึ้น
“บอส เราไม่สามารถติดต่อผู้บริหารดาไซได้มาสองสัปดาห์แล้วครับ เราควรเรียกประชุมผู้บริหารทั้งห้าเพื่อทำการตัดสินใจเรื่องผู้บริหารคนถัดไป..”
“หืม.. จริงด้วยสินะ”
โมริเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจและเริ่มพับกระดาษในมือ
“ไม่ต้องเรียกประชุมหรอก ทิ้งตำแหน่งของดาไซให้ว่างเอาไว้อย่างนั้นล่ะ”
โมริเหลือบมองเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
ถึงแม้จะนับเรื่องความเสียหายทางการเงินและลูกน้องฝีมือดีที่สูญเสียไป องค์กรก็ยังคงได้ผลประโยชน์มากพอที่จะครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด การหายตัวไปของดาไซเองก็ถูกคาดการณ์เอาไว้แล้วเช่นกัน ถ้าหากว่ากันตามหลักเหตุผล ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่ายอดเยี่ยมตามแผนการณ์
โมริพับกระดาษในมือเป็นเครื่องบินหน้าตาประหลาด ศรีษะของเขายังคงซบอยู่บนฝ่ามือ เขาปาเครื่องบินกระดาษออกไป
เครื่องบินกระดาษที่ยับย่นร่วงลงบนพื้นในเวลาไม่กี่วินาที
“มันเริ่มน่าเบื่อแล้ว..”


ในย่านชุมชนเมืองโยโกฮาม่า ป้ายไฟฟ้าหลายหลากสีถูกติดตั้งอยู่มากมายแทนที่ต้นไม้ในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้ว ผู้คนก็ยังคงคับคั่ง
ในบาร์ขนาดเล็กที่มีตะเกียงสีส้มถูกห้อยเอาไว้ด้านนอก ชายหนุ่มผมขาวร่างสูงคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ที่นี่เป็นบาร์ราคาถูกที่แออัดไปด้วยผู้คน ชายร่างสูงคนนั้นนั่งดื่มอยู่คนเดียวด้วยท่าทีเงียบขรึม
“ลองมาคิดดูแล้ว.. ผู้นำแห่งกระทรวงความมั่นคงภายในมานั่งดื่มอยู่คนเดียวในบาร์กระจอกๆแบบนี้ ช่างเป็นความเหงาที่น่าเศร้าซะจริง หัวหน้าทาเนดะ”
ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เรียกให้ทาเนดะเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“นายคือ..”
“ให้ผมรินเหล้าให้คุณเถอะ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝ่ายยกยิ้มให้เขาและเอียงขวดในมือ เขารินเครื่องดื่มมึนเมาลงไปยังแก้วใส ชายหนุ่มคนนั้นคือดาไซ
ทาเนดะยกแก้วเครื่องดื่มที่ดาไซรินให้ดื่มรวดเดียวจนหมด เขาจ้องไปที่ดาไซ
“หน้าของนายโผล่ขึ้นมาอยู่ในรายงานของฉันหลายครั้ง เป็นแขกคนสำคัญที่ต้องคอยจับตาดูเป็นพิเศษ นายรู้จักที่นี่ได้ยังไง?”
“เรื่องหลายเรื่องรู้ได้จากการสืบสวน” ดาไซยิ้มและยักไหล่
“ตอนนี้นายควรจะหายตัวไปอย่างชั่วคราวจากองค์กร.. มีธุระที่ต้องจัดการหรือไง?”
“ผมกำลังหางานใหม่ มีที่ไหนแนะนำผมได้บ้างรึเปล่า?”
หัวหน้าทาเนดะมองดาไซด้วยความแปลกใจ
ใบหน้าของดาไซเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่อยากจะเขื่อ มีคำถามเป็นภูเขาที่ฉันต้องถามนาย..” หัวหน้าทาเนดะใช้นิ้วเกาคางของตัวเอง   “นายอยากมาทำงานที่กรมผู้ใช้พลังพิเศษรึเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น
“ผมขออนุญาตปฏิเสธ” ดาไซยิ้มอย่างขมขื่น “ที่ที่เต็มไปด้วยกฎไม่เหมาะกับผมซักเท่าไหร่”
“ถ้าอย่างนั้นนายกำลังหวังอะไรอยู่?”
“ที่ที่ผมสามารถช่วยผู้คน” ดาไซเอ่ยตอบโดยทันที
“นายอยู่ในบัญชีดำมานานเกินไป ถ้าอยากจะล้างประวัติให้กลับมาสะอาดเหมือนเดิม นายต้องอยู่เงียบๆซักสองปี แต่.. ฉันขอตอบคำถามของนายก่อนก็แล้วกัน อันที่จริงฉันสามารถหาสถานที่แบบนั้นได้อยู่”
“พูดมาเลยครับ”
“ที่นั่นคือสำนักงานนักสืบที่ประกอบด้วยผู้ใช้พลังพิเศษ พวกเขามีหน้าที่จัดการกับพื้นที่สีเทาแล้วก็ปัญหาน่าปวดหัวที่สารวัตรทหารกับตำรวจไม่สามารถรับมือได้ ผู้บริหารของที่นั่นเป็นชายที่มีจิตใจที่ดี เขาอาจจะเติมเต็มความปรารถนาของนายได้”
ดาไซพยักหน้าและหลับตาลงราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งที่แสนสำคัญ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมความมุ่งมั่นในแววตา เขาเอ่ยปากถามชายตรงหน้า
“สำนักงานนั่นชื่ออะไรครับ?”
“ชื่อหรอ? ชื่อของมันคือ––


Dazai Osamu and the Dark Era: จบบริบูรณ์